ตอนที่ 439
ทำลาย
“ทางนี้”ราชินีน้ำแข็งพูดพลางพาไป๋จูล่ง ชิงชิว และ ตงฟางเข้าไปในปราสาทที่สร้างจากน้ำแข็งแทบทั้งหมด แม้ตัวชิงชิวจะติดใจเรื่องที่ทำไมผิงกั่วถึงมาอยู่ในปราสาทน้ำแข็งได้ทั้งๆที่นางไม่ใช่อสูรแท้ๆ แต่เพราะกลิ่นที่โชยออกมาจากประตูปราสาททำให้ชิงชิวโยนเรื่องสงสัยทิ้งไปเดินตามราชินีน้ำแข็งเข้าไปท้องพระโรงด้วยสีหน้าจริงจัง
“…….”ทันทีที่เข้ามาในท้องพระโรง ชิงชิวกลับพบว่าภายในท้องพระโรงมีแต่เพียงความว่างเปล่า แถมกลิ่นยังเหมือนจะไปต่ออีกทางแล้วเสียด้วย เกรงว่าไป๋หลินจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
“ท่าทางพวกนางจะไปกันแล้ว”ราชินีน้ำแข็งพูดก่อนที่ชิงชิวจะได้จูล่งแปลให้อีกรอบ
“พวกนางไปไหนหรือขอรับ”ชิงชิวถามพลางถอนหายใจออกมาน้อยๆ
“ไปที่ยอดเขา พวกนางบอกว่าที่ยอดเขามีของที่พวกนางตามหาอยู่”ราชินีน้ำแข็งตอบผ่านการแปลของจูล่ง เพียงแต่คำตอบของนางกลับทำให้ชิงชิวนิ่งค้างไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชิงชิวไม่ได้ข่าวของไป๋หลินเลย รู้แต่เพียงนางแทบไม่ได้อยู่ที่อาณาจักรไป๋เสียด้วยซ้ำ นางเอาแต่เดินทางออกตามหาอะไรบางอย่างอยู่ แม้จะไม่ได้ข่าวที่แน่ชัด แต่ชิงชิวก็พอทราบว่าสิ่งที่ไป๋หลินตามหาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของพลังมารแน่ๆ
“พี่ชิงชิว มีอะไรงั้นหรือ”จูล่งถามพลางมองชิงชิวที่นิ่งเงียบไป
“เปล่า..ไม่มีอะไรหรอก”ชิงชิวว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ ตัวมันเองก็สืบเรื่องการกำจัดพลังมารมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นชิงชิวก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ไป๋หลินกลับบอกว่าสิ่งที่นางตามหาอยู่บนยอดเขาแห่งนี้งั้นหรือ เช่นนั้นนางก็ทำสำเร็จแล้วหรือไม่ แล้วเหตุใดใจชิงชิวถึงรู้สึกกังวลเช่นนี้
“น้องจูล่ง ข้าขอตัวสักครู่”ชิงชิวว่าพลางมองไปที่ยอดเขา ไม่ทราบทำไม แต่ความรู้สึกของมันบอกว่ามันต้องไปที่ยอดเขานั่นให้ไวที่สุด
.
.
“ที่นี่จริงๆสินะ”ไป๋หลินว่าพลางเดินเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของเขตอสูรผลึกฟ้า ในเขตอสูรที่เต็มไปด้วยเหล่าอสูรเช่นนี้ บนยอดเขากลับมีแต่พลังมารไหลเวียนเต็มไปหมดจนหยงเวยรู้สึกเนื้อเต้นอย่างประหลาด
“น่าจะใช่”เสียงของราคะดังขึ้นภายในหัวของไป๋หลิน การสืบหาวิธีการกำจัดพลังมารนั้นสมควรจะถามเหล่ามารในหัวของไป๋หลินและหยงเวยนับว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายพวกมันไม่มีความทรงจำเลยว่าตนเองกำเนิดมาได้อย่างไร และใครเป็นผู้สร้าง รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นอาวุธมารพร้อมความทรงจำของวิชามารเสียแล้ว
หลายปีมานี้ไป๋หลินพยายามถามราคะและเหล่ามารตนอื่นๆให้นึกถึงเรื่องในอดีต ก่อนที่นางจะได้ทราบว่าอาวุธมารทั้ง 7 นั้นถูกสร้างขึ้นโดยใช้เตาหลอมโลกันตร์ และการสร้างมันขึ้นมานั้นจำเป็นต้องใช้วิญญาณของผู้ฝึกฝนวิชามารในยุคแรกเริ่มอีกด้วย
หลังจากสืบลึกเข้าไป ไป๋หลินก็ได้ทราบว่าจริงๆแล้วผู้สร้างอาวุธมารขึ้นมาก็คือเจ้าลัทธิมารฟ้าแห่งแดนเหนือ มันได้ค้นพบวิชาที่ทำให้สามารถดึงพลังรูปแบบหนึ่งมาใช้ได้ โดยมันให้ชื่อว่าวิชามารนั่นเอง พลังนี้ฝึกฝนง่ายและทำให้ผู้ฝึกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ยิ่งรับพลังมากก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกคลุ้มคลั่ง แต่ดูเหมือนเจ้าลัทธิที่ว่าจะไม่สนใจเลย
แต่ก่อนที่เจ้าลัทธิจะตาย ไม่ทราบเพราะความกลัวว่าวิชาของตนเองจะสูญหายไปหรือเหตุผลกลใดกันแน่ เจ้าลัทธิมารฟ้าตัดสินใจสังเวยชีวิตศิษย์เอก 7 คนสร้างอาวุธมารขึ้นมาโดยกักวิญญาณของทั้ง 7 เอาไว้ในอาวุธวิเศษของสำนัก สลักวิชาที่ใช้ร่วมกันเอาไว้บนอาวุธ ก่อนจะปล่อยให้อาวุธผลัดเปลี่ยนมือคนในยุทธภพไปเรื่อยๆ ส่วนวิชามาร 108 เล่มนั้นเป็นเพียงของที่เจ้าลัทธิทดลองทำก่อนจะสร้างอาวุธมารทั้ง 7 เล่มเท่านั้น
“นี่นะเหรอ เตาหลอมโลกันตร์”หยงเวยพูดพลางมองเข้าไปในถ้ำ ภายในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็งเต็มไปหมด จนทำให้สภาพถ้ำเหมือนโดนน้ำแข็งใหม่คลุมเอาไว้อีกชั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองเห็นสิ่งก่อสร้างภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน ทำให้เห็นได้ว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน
วูบ… ไป๋หลินใช้พลังธาตุน้ำแข็งของราคะเพื่อบังคับให้น้ำแข็งที่ปกคลุมสิ่งก่อสร้างต่างๆเลือนหายไป ทำให้ทั้งหยงเวยและไป๋หลินรวมทั้งไป๋ไป่เองมองเห็นเตาหลอมขนาดใหญ่ที่สลักรูปยักษ์เอาไว้ได้อย่างชัดตา
“……..” ทันทีที่มองเห็นเตาหลอมโลกันตร์ เหล่ามารทั้ง 7 ก็มีท่าทีตกใจทันที พวกมันไม่ได้ตกใจเพราะเห็นเตาหลอมโลกันตร์ แต่เพราะเบื้องหน้าเตาหลอมนั้นมีโครงกระดูกโครงหนึ่งตั้งอยู่ แทบจะทันทีที่มองเห็นโครงกระดูกนั้นเหล่ามารก็เหมือนจะนึกภาพก่อนจะกลายเป็นอาวุธมารออกเสียอย่างนั้น
“ท่านเจ้าลัทธิ”ราคะในหัวของไป๋หลินพูดออกมาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าดูเหมือนว่าโครงกระดูกที่นั่งอยู่หน้าเตาหลอมจะเป็นเจ้าลัทธิมารฟ้านั่นเอง ไม่ทราบว่ามันตายทันทีที่สร้างอาวุธมารเสร็จหรือไม่ แต่ท่าทางมันจะตายอยู่ที่นี่ในช่วงนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
พรึบ…..หยงเวยไม่ได้สนใจท่าทีตกอกตกใจของเหล่ามาร มันเดินเข้าไปที่เตาหลอมโลกันตร์ก่อนจะใช้พลังของตนจุดไฟขึ้นมาทันที
ครืด….ทันทีที่จุดไฟเตาหลอมที่แกะสลักเป็นรูปยักษ์กำลังแยกเขี้ยวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับยักษ์กำลังโกรธจัดไม่มีผิด ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงอะไรแท้ๆ แต่ทันทีที่จุดไฟบนเตาหยงเวยกลับพบว่าไฟที่จุดลงไปนั้นลุกไหม้อย่างรวดเร็วแถมยังร้อนไวมากจนน้ำแข็งที่ยังเหลือละลายอีกต่างหาก
ฟุบ….หยงเวยโยนตำรามาร 1 ใน 108 เล่มลงไปในกองเพลิง ปกติแล้วตำรามารและอาวุธมารไม่ถูกทำลาย แม้จะอยู่ในมิติของใครคนหนึ่งแล้วคนๆนั้นเกิดตายขึ้นมา ตำรามารยังออกมาด้วยตนเองได้เพราะมีวิญญาณของศิษย์ในลัทธิมารฟ้าอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเผาด้วยไฟเลย เพียงแต่เตาหลอมโลกันตร์เตานี้เป็นเตาที่สร้างอาวุธมารขึ้นมา หากข่าวที่ได้ทราบมาว่า จะทำลายอาวุธมารต้องใช้ไฟจากเตาหลอมโลกันตร์เท่านั้นเป็นจริง มันก็สมควรทำลายตำรามารได้
ฟู่….กระดาษของตำรามารเริ่มติดไฟทีละน้อย ทำให้ทั้งหยงเวยทั้งไป๋หลินมีท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก ตำรามารที่อาวุธอะไรก็ฟันไม่ขาด จะน้ำหรือไฟก็ทำอะไรไม่ได้กำลังเริ่มเกิดประกายไฟและเผาไหม้ทีละน้อย ภาพเช่นนี้สร้างความตื่นเต้นดีใจให้ไป๋หลินและหยงเวยอย่างมาก ในที่สุดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาก็เกิดผล
ฟุบๆๆ หยงเวยไม่รอช้าเอาตำรามารทั้ง 108 เล่มออกมาแล้วโยนเข้ากองไฟอย่างไม่ไยดี เด็กๆที่มันรับเลี้ยงเอาไว้ล้วนจากไปหมดแล้ว รายหลังนั้นนับว่าโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตอย่างยาวนาน นับว่าหยงเวยได้ช่วยเหลือพวกมันอย่างเต็มที่แล้วก็ว่าได้ ยิ่งได้ทำลายตำรามารที่ทำให้เด็กๆพวกนั้นต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายก็ยิ่งทำให้หยงเวยโล่งใจขึ้นมาก
พรึบ…ยิ่งตำรามารถูกเผามากเท่าไหร่ ไฟในเตาหลอมก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น ไม่นานตำรามารที่สร้างความลำบากใจและความเดือดร้อนให้หยงเวยมาหลายสิบปีก็โดนทำลายจนสิ้น
“เท่านี้ก็เหลือแค่พวกเจ้าแล้วสินะ”หยงเวยพูดพลางเอาอาวุธมาร 6 ชิ้นออกมา ดาบของโทสะ มีดสั้นของริษยา กระบี่ของอัตตา คราดของโลภะ กระบองของตะกละ และกระบองสั้นของเกียจคร้าน รวมทั้งสิ้น 6 ชิ้น ส่วนไป๋หลินนั้นก็เตรียมเอาพัดหยกขาวของราคะออกมาถือเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน
หลังจากพยายามสืบหาข้อมูลจากพวกมาร พวกมันก็ทราบอยู่แล้วว่าหยงเวยและไป๋หลินต้องการจะทำลายอาวุธมารเสีย ตัวราคะนั้นละทิ้งเรื่องนี้มานานแล้ว ยินดีให้ไป๋หลินทำลายพัดหยกขาวทิ้งอย่างง่ายดาย ส่วนมารตนอื่นๆนั้นก็มีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป แต่หลังจากใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานพวกมันก็เริ่มยินยอมให้ทำลายอาวุธมารของตนเสีย เพราะพวกมันเองก็วนว่ายอยู่กับผู้ใช้พลังมารมาเนิ่นนานหลายพันปีแล้วเช่นกัน
“เอาละนะ”หยงเวยพูดพลางมองไปทางไป๋หลิน มันไม่รอให้ไป๋หลินเป็นคนเริ่มแต่อย่างไร มันคว้าเอาดาบมรกตขึ้นมาเป็นเล่มแรก พลางมองดาบมรกตอยู่ครู่หนึ่ง ดาบมรกตเป็นอาวุธที่มันได้มาเป็นชิ้นแรก และมันก็ทำให้หยงเวยก้าวมาถึงจุดนี้ บอกตามตรงหากไม่ได้ดาบเล่มนี้มันก็อาจจะเป็นเพียงผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นผลร้ายของพลังมารที่มันเห็นก็ไม่ได้ทำให้มันหวงแหนพลังฝีมือที่เกิดจากพลังมาเลยแม้แต่น้อย
ฟุบ…ดาบมรกตถูกโยนลงไปในกองไฟเป็นชิ้นแรก ราวกับจะบอกว่าหยงเวยได้ตัดสินใจเอาไว้อย่างหนักแน่นแล้ว และไม่มีทางย้อนคิดเสียใจ ดาบที่มันผูกพันที่สุดโดนโยนลงกองเพลิงไปก่อนแล้ว อาวุธมารชิ้นที่เหลือก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่นานหยงเวยก็โยนเอาอาวุธมารลงไปในเตาหลอมจนหมด เพียงแต่ทั้งหยงเวยทั้งไป๋หลินไม่ทราบเลยว่าการทำลายอาวุธมารทั้งๆที่วิญญาณของเหล่ามารอยู่ในร่างจะเป็นเช่นไร
“ท่านลุง….”ไป๋หลินเบิกตากว้างมองไปทางหยงเวยที่อยู่ข้างๆ หลังจากโยนอาวุธมารเข้ากองเพลิง พลังมารในร่างของหยงเวยก็เริ่มลดลงราวกับพลังมารจะค่อยๆหายไป
กึก….อาวุธมารที่โดนหลอมละลายในเตาหลอมโลกันตร์ล้มตัวลงกองกันเป็นของเหลวภายในเตาหลอม พร้อมพลังมารของหยงเวยที่ลดหายไปจนหมดสิ้น
ตุบ….แขนมรกตของหยงเวยหลุดลงพื้นพร้อมเศษมรกตที่หยงเวยใช้ปกป้องร่างกายเอาไว้ด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดเลยว่าหยงเวยเสียความสามารถควบคุมมรกตไปเสียแล้ว
“พวกมัน…ไปกันหมดแล้ว”หยงเวยตอบพลางยิ้มออกมา ปกติในหัวของหยงเวยจะมีเสียงของพวกมารคอยถกเถียงกันตลอดเวลา แต่ทันทีที่อาวุธมารถูกทำลาย จิตมารในหัวของหยงเวยก็เงียบไป ทำให้ยามนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่หยงเวยรู้สึกสงบอย่างแท้จริง แม้จะมีความรู้สึกเหงาๆอยู่บ้างก็ตาม
“ไป๋หลิน ต่อไปตาเจ้าแล้ว”หยงเวยว่าพลางมองมาทางไป๋หลินเท่านี้พลังมารที่ไป๋หลินรังเกียจมาตลอดก็จะโดนทำลายไปเสียที นอกจากนี้ยังช่วยปลดปล่อยราคะออกไปได้อีกต่างหาก เพียงแค่โยนพัดหยกขาวลงไปในกองไฟ ความพยายามหลายปีที่ผ่านมาก็จะประสบความสำเร็จเสียที
“เจ้าค่ะ”ไป๋หลินว่าพลางมองพัดหยกขาวในมือ แม้นางจะใช้ประโยชน์จากพลังมารมาบ้าง แต่เมื่อภาพของชินอี้ที่บ้าคลั่งเพราะพลังของราคะปรากฏขึ้นในความทรงจำของนางความรู้สีกเสียดายก็มลายหายไปทันที ไป๋หลินยกมือขึ้นโยนพัดหยกขาวเข้ากองไฟในทันที
ฟุบ….พัดหยกขาวชิ้นเล็กกว่าอาวุธมารชิ้นอื่นๆ ใช้เวลาไม่นานก็หลอมละลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ท่านลุง….”ไป๋หลินพูดพลางมองไปทางหยงเวย พลังมารในตัวไป๋หลินเริ่มสลายหายไปแล้ว เช่นนี้สมควรบอกว่าพวกนางทำสำเร็จใช่หรือไม่
“ไป๋หลิน”ตัวไป๋หลินยังไม่ทันได้แสดงความดีใจออกมา อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมร่างของชิงชิวที่ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าถ้ำ
“พี่ชิว…..”ไป๋หลินนิ่งอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าชิงชิวจะมาที่นี่ นางบอกพี่ไป๋ไป่เอาไว้ว่าจะเผชิญหน้ากับชิงชิวหลังจากกำจัดพลังมารเสร็จสิ้นแล้ว และเวลานี้ก็คือช่วงเวลาที่นางรับปากเอาไว้
“พี่ชิว ข้า…..”ไป๋หลินกำลังจะบอกชิงชิวว่าตนเองทำสำเร็จแล้ว นางกำจัดพลังมารออกไปจากร่างได้แล้ว เพียงแต่ชิงชิวไม่ได้ฟังนางเลยแม่แต่น้อย มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงจนไป๋หลินยังต้องตกใจ อยู่ๆมันก็อุ้มร่างของไป๋หลินเอาไว้ก่อนจะพาร่างของนางทะยานออกมาจากจุดที่นางยืนอยู่
ตูม!! ดาบมรกตที่สมควรจะโดนหลอมทำลายไปแล้วฟาดลงมาที่พื้นตรงจุดที่ไป๋หลินยืนอยู่เข้าอย่างจัง
“ท่านลุง”ไป๋ไป่เห็นชิงชิวพาไป๋หลินหลบออกไปแล้วก็พุ่งตัวเข้าคว้าตัวหยงเวยเอาไว้ ยามนี้คนที่อ่อนแอที่สุดในห้องก็คือหยงเวยที่เสียพลังทั้งหมดไปแล้วนั่นเอง นางพุ่งตัวเข้าไปคว้าตัวหยงเวยเอาไว้ก่อนจะกางปีกของนางออกเพื่อป้องกันกระบองของตะกละที่พุ่งเข้ามาหาตน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”ชิงชิวที่พึ่งมาถึงสับสนและงุนงงที่สุด มันทราบแต่เพียงว่าตอนมันเข้ามามันเห็นโครงกระดูกกำลังคว้าดาบโจมตีใส่ไป๋หลิน ทำไมโครงกระดูกถึงลุกขึ้นมาได้ แล้วทำไมมันถึงใช้อาวุธมารกัน….