ตอนที่ 443
เล่นพักเล่นพวก
“พี่จูล่ง…..”ผิงกั่วกำชายเสื้อของจูล่งเอาไว้พลางออกแรงดึงเหมือนจะไม่ยอมให้จูล่งเดินออกนอกประตูไปเสียอย่างนั้น แม้จะเดินทางด้วยกันไม่กี่วัน แต่จูล่งก็เป็นคนช่วยนางเอาไว้แถมยังพานางกลับมาบ้านอีกต่างหาก นับว่าสร้างความเชื่อถือและความผูกพันได้มากเกินพอ ส่งผลให้ในวันที่จูล่งกำลังจะกลับบ้านผิงกั่วก็เลยออกอาการไม่อยากให้จูล่งไปทันที
“ผิงกั่ว พี่จูล่งของเจ้าต้องกลับไปที่บ้านนะ”ราชินีน้ำแข็งว่าพลางเดินเข้ามาหาผิงกั่วที่กำลังเกาะชายเสื้อจูล่งไม่ยอมให้ไปไหน
“ไม่เอา หนูอยากให้พี่จูล่งอยู่กับหนูด้วย”ผิงกั่วว่าพลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ผิงกั่ว พี่จูล่งของเจ้าก็ต้องกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่เหมือนกัน เจ้าจะให้พี่เขาอยู่กับเจ้าตลอดไม่ได้นะ”ราชินีน้ำแข็งถอนหายใจออกมาพลางมองไปทางจูล่งที่ยิ้มเจื่อนๆอยู่ๆตรงหน้า
“น้องผิง เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก เอาไว้วันหลังค่อยให้จูล่งมาเยี่ยมเจ้าก็ได้”ไป๋หลินว่าพลางนั่งลงมองผิงกั่วด้วยท่าทีเอ็นดู
“สัญญานะ”ผิงกั่วว่าพลางมองไปทางไป๋จูล่งตาแป๋ว พอต้องจากกันแล้วก็อดใจหายไม่ได้ จูล่งนับเป็นคนรู้จักคนแรกในโลกภายนอกของผิงกั่วเลยทีเดียว
“สัญญาสิ เอาไว้ข้าจะหาของมาฝากเยอะๆเลย”จูล่งตอบพลางยิ้มออกมา แม้จากหมู่บ้านของมันกับเขตอสูรผลึกฟ้าของราชินีน้ำแข็งจะห่างกันมาก แต่หากขี่หลังตงฟางมาก็ใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันเท่านั้น
“เจ้าค่ะ”ผิงกั่วพยักหน้าทั้งๆที่ยังมีน้ำตาอยู่ หลังจากจัดการจางหลงไปได้ พวกจูล่งก็พักอยู่ที่ปราสาทน้ำแข็งหลายวันทีเดียว แต่เพราะคำสัญญาที่จูล่งจะพาผิงกั่วมาส่งบ้านก็สำเร็จลุล่วงไปแล้ว แถมไป๋จูล่งยังต้องกลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองของหลิงจงอีกต่างหาก ทำให้มันไม่อาจอยู่ที่นี่ไปตลอดได้จริงๆ
“ผิงกั่ว รับนี่ไปสิ”ไป๋หลินว่าพลางยื่นตำราเล่มหนึ่งให้ผิงกั่ว มันคือตำราสอนภาษาที่ไป๋หลินทำให้ผิงกั่วโดยเฉพาะ ผิงกั่วโตมาในเขตอสูร ใช้ภาษาที่ราชินีน้ำแข็งใช้ ซึ่งมันใช้ไม่ได้กับคนภายนอกทำให้ไป๋หลินเขียนตำราสอนภาษากลางของแผ่นดินที่พวกนางอยู่ให้กับผิงกั่ว ในภายภาคหน้าหากนางออกมาข้างนอกจะได้ใช้ชีวิตกับมนุษย์ธรรมดาได้
ส่วนเรื่องที่ทำไมนางมาอยู่ในเขตอสูรนั้นชิงชิวได้สอบถามจากราชินีน้ำแข็งแล้ว ดูเหมือนเมืองร้างก่อนมาถึงเขตอสูรจะเป็นบ้านเกิดของผิงกั่ว อยู่ๆคนในหมู่บ้านก็อพยพออกไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเพราะทนสภาพอากาศที่เลวร้ายขึ้นทุกปีไม่ได้ หรือมีโรคระบาดก็ไม่แน่ใจ แต่ขณะที่ราชินีน้ำแข็งกำลังลงไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นนางก็เจอเข้ากับผิงกั่วที่กำลังนอนอยู่ในบ้านหลังหนึ่งเข้าพอดี นางในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอยู่เลย เรียกได้ว่าแทบจะตายเพราะความหนาวเย็นอยู่แล้ว โชคดีที่ราชินีน้ำแข็งเป็นอสูรที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ ทำให้เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเข้าก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาเลยเก็บนางไปเลี้ยงดู นางไม่ได้มีพลังเหมือนคนตระกูลไป๋หรือคนตระกูลหวังแต่อย่างไร นางเพียงโชคดีที่เจอราชินีน้ำแข็งเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะพี่ไป๋หลิน”ผิงกั่วตอบพลางรับตำราในมือไป๋หลินเอาไว้ แม้นางจะยังมีท่าทีเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่แต่พวกจูล่งก็ต้องไปแล้ว ทำให้จูล่งได้แต่ลูบหัวนางเบาๆพลางบอกลาอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากปราสาทน้ำแข็งไป
.
.
“ท่านลุง เป็นอย่างไรบ้าง”หลังออกมาจากเขตอสูรผลึกฟ้า ไป๋หลินก็ให้จูล่งขึ้นมาอยู่บนหลังของไป๋ไป่ด้วยกันโดยให้ตงฟางอยู่ในร่างขนาดเล็กไปก่อน เพราะนางเองก็อยากกลับไปพบท่านพ่อท่านแม่เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในการขี่หลังไป๋ไป่กลับเป็นหยงเวยเสียอย่างนั้น เพราะตอนนี้มันไม่มีพลังมารอีกแล้ว
“ไม่เลว”หยงเวยตอบพลางปล่อยพลังวิญญาณออกมาจากร่าง เวลาไม่กี่วันที่หยงเวยพักฟื้นในปราสาทน้ำแข็งนั้นก็มากพอแล้วจะทำให้หยงเวยฝึกฝนพลังวิญญาณได้ในระดับหนึ่ง แม้แต่เดิมหยงเวยจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่ยอดเยี่ยมอะไร แต่หลังจากแบกรับพลังมารมานานหลายสิบปี ทำให้เส้นชีพจรและจุดลมปราณทั้งหลายขยายใหญ่และเปิดออกจนหมดสิ้นไปนานแล้ว ยามนี้ร่างกายของหยงเวยเหมือนทะเลกว้างใหญ่ที่ถูกสูบน้ำทะเลออกไปจนหมดแล้วไม่มีผิด สิ่งที่ต้องทำก็คือเอาน้ำที่ชื่อพลังวิญญาณมาแทนที่พลังมารที่หายไปให้เต็มเท่านั้น แม่จะต้องใช้เวลามากหน่อย แต่ในอีกไม่ช้าก็คงสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณได้มากแน่ๆ
“ดีแล้วเจ้าค่ะ”ไป๋หลินพูดด้วยท่าทีโล่งอก นึกว่าท่านลุงของนางจะเสียพลังไปเลยซะอีก แบบนั้นคงใช้ชีวิตลำบากขึ้นมากแน่ๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้ลุงไม่มีพลังอะไรเลย ก็แค่กลับไปบวชที่วัดก็พอ”หยงเวยว่าพลางยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ตอนนี้หยงเวยทำทุกอย่างที่หวังเอาไว้จนหมดแล้ว หลังจากนี้ก็คงทำเพียงฟื้นฟูวัดที่เขาทางเหนือของเมืองหลวงอาณาจักรอู๋ขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น
“แล้วเจ้าล่ะชิงชิว ทำใจได้หรือยัง”ไป๋ไป่ถามพลางเงยหน้าขึ้นมามองทางชิงชิว
“ขอรับ ข้าทำใจไว้แล้ว”ชิงชิวว่าพลางยิ้มออกมา ตอนนี้มันได้เจอกับไป๋หลินแล้ว และขั้นต่อไปก็คือไปพบกับไป๋จูเหวินและเหม่ยหลินเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมด และหวังว่าตนจะยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ของตนกับไป๋หลินเอาไว้ได้
วูบ…เพียงวันเดียวร่างของไป๋ไป่ก็ทะยานมาถึงเมืองที่หลิงจงและลั่วสุนอยู่ เมื่อไม่ต้องตามหาเมืองแบบสุ่มๆแล้วการเดินทางก็ง่ายดายมากทีเดียว
“น้องจูล่ง เจ้ากลับมาแล้ว”ทันทีที่เห็นจูล่งลงมาจากหลังของไป๋ไป่ หลิงจงก็เข้าไปหาไป๋จูล่งทันที ท่านไป๋จูเหวินฝากฝังเด็กคนนี้เอาไว้ให้มันดูแล แต่มาวันเดียวจูล่งก็หนีหายไปหลายวันแล้ว ทำเอามันจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
“น้องจูล่ง เจ้าไปไหนมา”พี่สาวซูว่าพลางเดินเข้ามาหาไป๋จูล่งทันทีที่ไป๋ไป่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์แล้ว
“ข้าขอโทษขอรับ ข้าแค่อยากจะพาผิงกั่วไปส่งบ้านเท่านั้นเอง”จูล่งตอบพลางก้มหน้าลงน้อยๆ ทำให้พี่สาวซูถอนหายใจออกมา มันทำหน้าใสซื่อเช่นนั้นแล้วจะให้นางต่อว่าอะไรมันได้อีก
“หลิงจง ที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”ชิงชิวถามพลางมองไปรอบๆ ตั้งแต่มาถึงชิงชิวก็สังเกตเห็นแล้วว่าสำนักคร่าตะวันมีบางอย่างแปลกๆไป นอกจากรอยอาวุธที่อยู่บนกำแพงสำนักแล้ว ยังมีร่องรอยการต่อสู้อีกต่างหาก
“พวกทหารขอรับ”หลิงจงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“ทหาร? ทำไมทหารถึงมาหาเรื่องพวกเจ้า…”ชิงชิวขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงง ตอนแรกมันนึกว่าสำนักจันทร์กระจ่างมาแก้แค้นเสียอีก
“เพราะเรื่องของเถ้าแก่อู้ต๋งขอรับ พอข้าพามันไปส่งทางการ แทนที่จะลงโทษเจ้าเมืองกลับปล่อยเถ้าแก่อู้ต๋งเป็นอิสระ แล้วยังส่งทหารมาจับตัวท่านเจ้าสำนักอีก ตอนแรกพวกเราไม่ยอมก็เลยมีเรื่องกันนิดหน่อยขอรับ”หลิงจงตอบออกไปด้วยท่าทีเจ็บใจ แม้จะเป็นสำนักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง พอโดนประกาศจับตัวเจ้าสำนักก็ออกมาไม่ยอมให้ศิษย์ของตนมีเรื่องกับทหารและยอมให้อีกฝ่ายจับไปแต่โดยดี
“มีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ”ไป๋หลินถามพลางเดินเข้ามาหาชิงชิว ก่อนที่ชิงชิวจะเล่าเรื่องที่ตนเองและจูล่งพบผิงกั่วในห้องใต้ดินของเถ้าแก่อู้ต๋งเข้า
“……”ไป๋หลินนิ่งไปเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ก่อนหน้านี้ไป๋หลินพาผิงกั่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เห็นบาดแผลบนร่างของนาง และนางก็เล่าให้ไป๋หลินฟังด้วยว่าแผลพวกนี้เป็นฝีมือของคนที่จับตัวนางไปก่อนที่จูล่งจะไปช่วย
“ท่าทางข้าคงจะต้องไปเยี่ยมหาท่านเจ้าเมืองเสียหน่อยแล้ว”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มหวานออกมา แม้จะไม่มีพลังมารแล้วแต่เหตุใดไม่ทราบถึงรู้สึกถึงพลังธาตุน้ำแข็งจากตัวไป๋หลินก็ไม่ทราบ
“นั่นสิ จูล่ง เจ้ารอพวกเราอยู่ที่นี่ก่อนนะ”ชิงชิวว่าพลางยิ้มออกมาเช่นกัน ท่าทางเถ้าแก่อู้ต๋งท่านนี้จะต้องเจอสั่งสอนจริงๆจังๆเสียหน่อยแล้ว
“ขอรับ….”จูล่งตอบพลางกะพริบตาปริบๆ ทำไมพี่ๆของมันถึงต้องทำหน้าตาชั่วร้ายด้วยเล่า?
“พี่สาว เดี๋ยวก่อนขอรับ”จูล่งทำท่าเหมือนพึ่งนึกอะไรออก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาไป๋หลินก่อนที่นางจะเดินไปที่จวนเจ้าเมือง
“มีอะไรหรือ”ไป๋หลินถามพลางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ต่างจากใบหน้าจริงจังก่อนหน้านี้คนละเรื่องเลยทีเดียว
“ข้าขอใช้เงินที่ท่านให้มาหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”จูล่งถามพลางเอาถุงเงินที่ไป๋หลินให้มาก่อนหน้านี้ออกมา
“เงินนั้นพี่ให้เจ้าแล้วนี่นา เจ้าจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มอย่างเอ็นดู เงินนางมีตั้งมากมายไม่เห็นต้องขี้เหนียวเลย
“ขอบคุณขอรับ”จูล่งยิ้มรับพลางมองชิงชิวกับไป๋หลินที่เดินหายเข้าไปในเมืองจนลับสายตา เมื่อกลับมาถึงเมืองของหลิงจงแล้วจูล่งก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คืนกระบี่ให้เหล่าลี่เลย มันก็เลยจะไปหาซื้อกระบี่ในเมืองมาให้นางเสียหน่อย
“ท่านลุงข้าขอดูกระบี่เล่มนั้นหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”จูล่งพูดพลางชี้ไปที่กระบี่เล่มหนึ่งที่วางอยู่ในร้านตีเหล็กที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของเมือง
“เจ้าหนู เจ้าอยากใช้กระบี่งั้นหรือ”เจ้าของร้านถามพลางมองมาทางไป๋จูล่ง เจ้าหนูนี่ดูภายนอกก็เป็นเด็กหนุ่มท่าทางดูดีทีเดียว แม้ร่างกายจะไม่ได้ใหญ่โตกำยำแต่ก็ไม่ได้ดูบอบบางขี้โรคอะไร มันย่อมขายกระบี่ให้ได้อยู่แล้ว
“ท่านลุง ท่านมีกระบี่ที่ดีกว่านี้ไหม”จูล่งถามพลางวางกระบี่บนชั้นวางลง
“เจ้าหนู กระบี่ร้านข้าดีที่สุดในเมืองแล้ว เจ้าจะหาว่ามันยังดีไม่พอหรือไง”เจ้าของร้านถามพลางมองไปที่จูล่งด้วยท่าทีไม่พอใจ กระบี่ที่จูล่งเลือกหยิบมาเป็นกระบี่ที่ดีที่สุดในร้านแล้ว แต่เจ้าหนูนี่กลับบอกว่าอยากได้กระบี่ดีกว่านี้งั้นหรือ กระบี่เล่มนั้นใช้วัตถุดิบหายาก ใช้เวลาตีเป็นเดือนๆนับเป็นอาวุธวิเศษชั้นดีชิ้นหนึ่งเลย แต่เจ้าหนูนี่กลับพูดเหมือนมันยังดีไม่พอเสียหย่างนั้น
“ข้าอยากได้กระบี่ที่เหมือนทวนเล่มนี้นะขอรับ”จูล่งตอบพลางนำทวนที่มันใช้ประจำออกมา ทวนเล่มนี้ท่านน้าราชสีห์เพลิงตีให้มันด้วยตนเอง ในสายตาจูล่งแล้วมันเหมือนอาวุธทำมือธรรมดาๆทั่วไป แต่น่าแปลกแม้จะใช้ดวงตาสีทองสำรวจดูแล้วในร้านค้านี้กลับไม่มีกระบี่เล่มไหนแข็งแกร่งเท่าทวนของมันเลย หรือที่ท่านลุงบอกว่าที่นี่เป็นร้านที่ดีที่สุดในเมืองแล้วจะเป็นเพียงเรื่องโอ้อวดกัน แต่พี่หลิงจงก็แนะนำร้านนี้มาเสียด้วยสิ….
“……….ร้านข้าจะไปมีของแบบนั้นได้ยังไง”เจ้าของร้านว่าพลางมองทวนในมือจูล่งด้วยท่าทีตกตะลึง วัตถุดิบที่ใช้มันไม่รู้จักเลย แต่กลิ่นอายที่ส่งออกมานั้นช่างเป็นกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเหลือเกิน ในฐานะช่างตีอาวุธแล้วมันไม่เคยเห็นอาวุธใดงดงามเท่านี้มาก่อน