พื้นที่รอบนอกก่อนเข้าไปยังสุสานราชายมโลกมีหลายเขต เนินเศษศิลาแห่งนี้เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าผ่านง่ายที่สุด ดังนั้นพวกหลิ่วหมิงสองคนจึงเลือกเข้าสุสานราชายมโลกจากที่นี่
แม้เป็นเช่นนั้นแต่ทันทีที่ทั้งสองคนเหยียบย่างเข้ามาในเนินเศษศิลา หลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ว่าใต้ฝ่าเท้าหนักอึ้ง พลังเวทในร่างไหลรั่วราวกับถูกระบายออก สองตามืดดับ ทั้งร่างร่วงจากท้องฟ้าอย่างเร็วไว
ยังดีที่เขาตั้งสติเรียกพลังจิตจากหนอนพลังจิตออกมาใช้ในพริบตา ดวงตาทั้งสองจึงฟื้นกลับเป็นปกติ ก่อนจะร่อนลงบนเนินเศษศิลา
ยามนั้นสภาพของอินหลิวก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทราบเขาใช้วิธีใด หลังจากพลิกกายกลางอากาศครั้งหนึ่ง ความเร็วที่ร่างกายร่วงลงมาก็ลดลงอย่างฉับพลันแล้วร่อนลงบนเศษศิลากองหนึ่งอย่างเชื่องช้า
“ที่แห่งนี้มีชั้นจำกัดผนึกนภาอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ระยะทางที่เหลืออีกหลายร้อยลี้คงจะต้องเดินทางนับเดือน” หลิ่วหมิงเหยียบเศษศิลาเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม
“หากเพียงเท่านั้นก็ช่างเถิด แต่ด้านหน้ายังมีชั้นจำกัดประหลาดพิสดารอีกไม่น้อย เจ้ากับข้าต้องเตรียมใจให้พร้อม” อินหลิวพยักหน้าแล้วเอ่ยเช่นนี้
ในตอนนี้เอง “ฮู่” สายลมหนาวก็พัดกรรโชกมาล้อมทั้งสองคนไว้ในพริบตา
เศษศิลาจำนวนมากดีดเข้าใส่ร่างกายของทั้งสองเสียงดังเปรี้ยงปร้างประหนึ่งห่ากระสุน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงส่งผ่านมาจากทั่วร่าง เขารีบโคจรพลังเวทในตัว ไอหมอกสีดำทะลักจากทั้งร่างล้อมตนเองเอาไว้ ในที่สุดจึงขวางเศษหินมืดฟ้ามัวดินแล้วเดินหน้าต่อได้
อึดใจต่อมาเขากลับพบพลังเวทที่ตนเองใช้อยู่มีเวลานี้เพียงสองหรือสามส่วนจากยามพลังสูงสุดเท่านั้น ในใจอดไม่ได้ยิ้มฝืดเฝื่อน
เข้ามาในเขตรอบนอกของสุสานราชายมโลกก็ถูกผลกระทบจากชั้นจำกัดมากมายเช่นนี้แล้ว เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเผ่ายมโลกมากมายเช่นนั้นมาแล้วไม่ได้กลับ
อีกด้านหนึ่งของสายลมหนาว ไอหมอกสีเทาขยับไหวไม่หยุด เสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างดังขึ้นไม่ขาด
เทียบกับหลิ่วหมิงผู้เป็นเผ่ามนุษย์และมีร่างกายแข็งแกร่ง อินหลิวผู้มีร่างกายบอบบางกว่าเวลานี้อเนจอนาถอย่างยิ่ง เศษหินแต่ละก้อนกระทบบนกายเนื้ออ่อนแอของเขาล้วนเท่ากับการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งหนึ่ง
ยังดีที่เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบเรียกกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นจิตกระบี่มหึมาสายหนึ่งพลันกวาดออกมาจากร่าง ม่านกระบี่สีดำถี่ยิบบดบังร่างกายเขาไว้ข้างใต้
ทันทีที่เศษหินเต็มฟ้าสัมผัสถูกม่านกระบี่ก็เกิดเสียงระเบิดทุ้มต่ำดังระรัว จากนั้นพวกมันจึงกลายเป็นฝุ่นลอยหายไป
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าสายลมหนาวจะสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงกับอินหลิว
หลิ่วหมิงสีหน้าดูเป็นปกติ แต่เสื้อผ้าสีเทาบนร่างขาดวิ่นไม่เหลือดี
ส่วนอินหลิวหอบหายใจหนักๆ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย สภาพเหมือนใช้พลังเวทเกินขนาดไปบ้าง
“สหายอิน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร กายเนื้อเป็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของพวกเราเผ่ายมโลก การโจมตีระดับนั้นเมื่อครู่หากถูกโจมตีโดนทั้งหมดคงบาดเจ็บไม่น้อย จะว่าไปพี่อิ่นกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้ผิดคาดยิ่งนัก แต่ยิ่งเข้าใกล้สุสานราชายมโลก ชั้นจำกัดก็ยิ่งร้ายกาจ พี่อิ่นระวังให้มากหน่อยดีกว่า” อินหลิวถอนหายใจยาว แววตาวูบไหวเอ่ยขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาได้ฝึกวิชาลับฝึกฝนร่างพิเศษบางอย่างมาจริงๆ ดังนั้นกายเนื้อจึงพอฝืนผ่านมาได้ แต่วิชาขี่กระบี่ของพี่อินหลิวล้ำเลิศนัก ทำให้ผู้แซ่อิ่นเปิดหูเปิดตาแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างคลุมเครือ แล้วเปลี่ยนประเด็นทันที
“วิชากระบี่เท่านี้ของข้านับเป็นอะไรได้ สถานที่แห่งนี้ไม่สมควรอยู่นาน พวกเรารีบเร่งเดินทางเถิด” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ หลังจากนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งกวักอากาศ ไอหมอกสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากแขนเสื้อแล้วเลื้อยพันอยู่ตรงเท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกลายเป็นรองเท้าจิตวิญญาณสีเขียวเข้มคู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบโอสถสีดำขลับเม็ดหนึ่งออกมากิน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าที่ซีดเผือดอยู่บ้างของอินหลิวก็ฟื้นกลับมาดังเดิม
หลิ่วหมิงพลิกมือปัดฝุ่นบนร่างแล้วเดินหน้าต่อ
อินหลิวมีรองเท้าจิตวิญญาณช่วยเสริม ใต้เท้าดั่งมีสายลมช่วยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ส่วนหลิ่วหมิงเองก็ใช้วิชาตัวเบา ก้าวเท้าเร็วประหนึ่งเหาะ มุ่งหน้าเคียงคู่ไปกับอินหลิว
เกือบครึ่งวันหลังจากนั้นทั้งสองคนก็พบการจู่โจมจากสายลมหนาวอีกเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดก็ฟันฝ่าขวากหนามเดินทางผ่านเนินเศษศิลามาได้
หลังจากข้ามพ้นเนินเขาเตี้ยที่ทอดต่อกันเป็นแนวก็มาถึงหน้าป่าทึบสีโลหิตอันหนาทึบผืนนั้นที่เห็นก่อนหน้านี้
ทว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากที่คิด ด้านในป่าทึบผืนนี้กลับแผ่ลมปราณหนาวเย็นสายหนึ่งออกมา ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นแล้วต้นเล่างอกจากพื้นดินเรียงรายเป็นระเบียบ แลดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง
ลำต้นของต้นไม้โบราณเหล่านี้เป็นสีน้ำตาลหม่น ตรงรากมีเถาวัลย์คดเคี้ยวสีดำเลื้อยพันอยู่ กิ่งก้านสาขาแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด บนกิ่งมีใบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือสีเลือดใบแล้วใบเล่าเกาะกลุ่มเต็มไปหมด
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเห็นแต่สีเลือด มองไม่เห็นท้องฟ้าหรือดวงตะวันแม้แต่น้อย
“ที่นี่คือ ‘ป่าวงกตใบไม้เลือด’ เล่ากันว่าหากเดินเลี้ยวขวาทุกครั้งที่พบทางแยกก็จะออกจากป่าทึบผืนนี้ได้อย่างราบรื่น แต่ไม่เคยมีการพิสูจน์มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” อินหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง
“ผู้ที่ขายข้อมูลนี้ก็คงเป็นผู้ที่รอดออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ แต่เพื่อรับรองความปลอดภัย อย่างไรก็สำรวจสักหน่อยก่อนค่อยว่ากันดีกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรอยู่
“พี่อิ่นพูดมีเหตุผล ระวังสักหน่อยย่อมดี”
อินหลิวพยักหน้าพลางตบถุงผ้าข้างเอวเบาๆ ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมากลายเป็นวานรสูงหนึ่งฉื่อกว่าตัวหนึ่งที่มีขนยาวสีดำทั้งตัว
วานรตนนี้กระโดดโลดเต้นอยู่ครั้งสองครั้ง ร่างกายก็พุ่งหายเข้าไปในป่าทึบ
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากลึกเข้าไปในป่าทึบ จากนั้นก็เงียบหายไป
“เส้นทางน่าจะไม่ผิด แต่ลึกเข้าไปในป่าแห่งนี้เหมือนจะมีอสูรแห่งความมืดตัวอื่นอาศัยอยู่อีก ภูตวานรแขนยาวตัวนี้ของข้าแม้พลังเพียงระดับผลึกขั้นกลาง และเมื่ออยู่ที่นี่ก็ถูกกดพลังไว้บางส่วน แต่ความเร็วของมันก็ว่องไวไม่ธรรมดา ต่อให้เผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับแก่นแท้ก็ไม่ตายง่ายดายเช่นนี้” อินหลิวถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยดังนี้
“มาถึงตอนนี้พวกเราย่อมไม่มีทางอื่นให้เดินอ้อมได้อีก ทิศทางอื่นมีแต่จะยิ่งอันตรายกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“ในเมื่อพี่อิ่นไม่หวาดกลัวอสูรแห่งความมืดที่นี่ ผู้แซ่อินย่อมร่วมทางไปด้วยจนถึงที่สุด” อินหลิวครุ่นคิดเล็กน้อยก็เหมือนตัดสินใจแน่วแน่ ยกเท้าก้าวเข้าสู่ป่าทึบสีเลือดนำไปก่อน
หลิ่วหมิงลอยละล่องติดตามไป
ทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวเข้าไปในป่าทึบได้ร้อยกว่าจั้ง อุณหภูมิของอากาศรอบตัวก็ลดต่ำอย่างฉับพลัน ลมปราณเย็นยะเยือกอย่างที่สุดสายหนึ่งราวกับจะเยือกแข็งอากาศทั้งหมด รอบด้านเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจน
ลมปราณเย็นยะเยือกนี้ทำให้ในใจหลิ่วหมิงเพิ่มความระวังขึ้นไปอีก
เมื่อทั้งสองคนมาถึงทางแยกแห่งที่สอง ทันใดนั้นลมหนาวสายหนึ่งก็พัดมาทิ่มแทงแผ่นหลัง เงาสีเทาสายหนึ่งพุ่งออกมา
หลิ่วหมิงเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ร่างกายขยับแผ่วเบาก็หลบพ้นอย่างหมดจด อินหลิวก็เหมือนจะคาดเดาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน สองเท้ากระทืบพื้นอย่างแรงครั้งหนึ่งพุ่งถอยหลังออกมา
“แซกๆ”
แสงสีเทาพุ่งพรวดเข้ามาก่อนจะเผยให้เห็นร่างหมาป่ายักษ์ดุร้ายขนยาวสีเทาทั้งร่างตัวหนึ่ง
หมาป่าตัวนี้สูงราวสามสี่จั้ง รอบตัวมีไอหมอกสีเทาสายน้อยวนเวียน ตรงลำคอมีลวดลายจิตวิญญาณสีแดงเส้นหนึ่งเรียงกันอย่างสมดุล กรงเล็บแหลมคมสี่ข้างวาววับคมกริบอย่างยิ่ง ดูจากลมปราณเห็นชัดว่าบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว
“พี่อิ่น อยู่ภายใต้ชั้นจำกัดเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องดันทุรังสู้!”
อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด แขนเสื้อสะบัด แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา ม้วนรอบตัวหมาป่ายักษ์ห่างหนึ่งจั้ง กลายเป็นแสงสีแดงผืนใหญ่ล้อมมันไว้
ส่วนหลิ่วหมิงพลิกมือเรียกมุกกลมสีทองสองเม็ดออกมาขว้างใส่จุดที่หมาป่ายักษ์อยู่
“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น แสงสีแดงที่มีอสนีบาตสีทองแทรกอยู่พุ่งขึ้นฟ้า
อากาศในป่าทึบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใบไม้สีเลือดกลายเป็นละอองแสงสีแดงจุดแล้วจุดเล่าจากการโจมตีอันดุดัน
ชั่วขณะหนึ่งแสงสีเลือดลอยล่องเต็มท้องฟ้าประหนึ่งฝนโลหิตโปรยปราย
พวกหลิ่วหมิงไม่สนใจสภาพของหมาป่ายักษ์ตัวนี้แต่อาศัยฝนโลหิตหลบซ่อน ทะยานไปยังทางแยกถัดไปโดยไม่หันศีรษะกลับมามอง
ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็อาศัยยันต์และอาวุธจิตวิญญาณใช้แล้วทิ้งจำนวนหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของอสูรแห่งความมืดที่พบแต่ละครั้ง แล้วเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดพัก
ไม่รู้ว่าข่าวผิดพลาดหรือป่ามหึมาเกินไป ป่าทึบผืนนี้จึงเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองคนเดินทางนานหนึ่งวันหนึ่งคืน จนแม้แต่หลิ่วหมิงที่เตรียมตัวมาพร้อมสรรพ ตอนนี้ก็เริ่มทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
ระหว่างนี้พวกเขาบังเอิญพบหมียักษ์ลายโลหิตระดับแก่นแท้ขั้นกลางตัวหนึ่งอย่างไม่คาดคิด
หมียักษ์ตัวนี้พลังมหาศาลอย่างยิ่ง ในสภาวะที่ถูกกดพลังอยู่ หลิ่วหมิงฝืนอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของตนกับวิชาท่าร่างอันลึกลับ ร่วมกับการโจมตีด้วยวิชาลับที่เหมือนระเบิดของอินหลิวสังหารมันได้อย่างยากลำบากยิ่งนัก
หลังจากนั้นเมื่อทั้งสองคนพบอสูรแห่งความมืดเหล่านี้อีกจึงไม่คิดสู้ติดพัน ส่วนใหญ่หลิ่วหมิงจะใช้คุกมืดขังมันไว้แล้วหนีอย่างว่องไว
เวลาผ่านไปถึงครึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงขอบของป่าทึบสีเลือดผืนนี้ ทว่าภาพที่อยู่เบื้องหลังป่าทึบกลับทำให้ทั้งสองคนเบิกตาค้างลิ้นผูกเป็นปมอย่างห้ามไม่ได้!
ถัดจากป่าทึบคือดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง ยังไม่ทันก้าวเข้าไปลมปราณร้อนระอุก็โถมใส่หน้า ตรงข้ามกับป่าทึบสีเลือดอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองก็เห็นแสงสีทองแสบตาระยิบระยับอยู่กลางท้องฟ้า แสงสีทองสายแล้วสายเล่าแผ่ลงมาจากท้องนภา
เขาหรี่ตาสองข้างจึงพอมองเห็นว่าบนท้องนภามีดวงตะวันร้อนระอุสีทองสิบดวงลอยสูงอยู่ด้านบน เมื่อทอดสายตามองไกลๆ จึงเห็นว่ารอบดินแดนรกร้างว่างเปล่าอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นสุดปลายอย่างสิ้นเชิง
“ค่ายกลตะวันระอุ!” อินหลิวหลุดปากออกมา สีหน้าตกตะลึงอยู่รางๆ
หลิ่วหมิงได้ยินพลันสีหน้าเคร่งขรึม
แม้เขาไม่เคยได้ยินชื่อค่ายกลนี้มาก่อน แต่แค่คำว่า “ตะวันระอุ” สองคำ ไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจความหมายของมันได้
เขายื่นมือเข้าไปในแสงสีทองอย่างเชื่องช้า ลมปราณร้อนระอุสายหนึ่งแล่นเข้าใส่ ผิวด้านนอกถูกอุณหภูมิร้อนผ่าวย่างจนค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ไอหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าสลายไปช้าๆ
“กายเนื้อของพี่อิ่นแข็งแกร่งจริงๆ ถึงขนาดต้านทานแสงทองคำทมิฬนี่ได้” อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็ทำหน้าแปลกใจ