ราชครูสันตินิรันดร์ขมวดคิ้วและมองไปยังสนามรบ ที่นั่นมีไฟผีโขมดมากมายอันคือผู้นำทางความตายที่ถือตะเกียงชู เรือเหล่านั้นบรรทุกดวงวิญญาณที่ตกตายในการศึกไปยังแดนใต้พิภพ
หากว่าพวกเขาไม่ปล่อยให้ผู้นำทางความตายนำตัวฉินมู่ไป และพยายามต่อสู้ ผู้นำทางความตายมากมายขนาดนี้คงสามารถเปลี่ยนแปลงสวรรค์ไท่หวงให้กลายเป็นดินแดนอันว่างเปล่าได้!
เขามองไปที่ฉินมู่และพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้
“ข้าเคยไปแดนใต้พิภพเรียบร้อยแล้วสองครั้ง ครั้งแรกนั้นข้าถูกราชามารตู้เถียนล่อลวงไป…”
“ข้าคือคนที่ช่วยเจ้าและส่งเจ้ากลับมายังโลกคนเป็น” ผู้เฒ่ากล่าวมาจากหลังตะเกียง
ฉินมู่มองไปด้วยความตกตะลึง เขาก็ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าของชายผู้นี้อยู่ดี
“ครั้งที่สอง ผู้สูงศักดิ์ มังกรอ้วน พี่น้องค้างคาวขาวและข้า ตกลงไปในแดนใต้พิภพด้วยกัน และพวกเราก็รอดมาได้อีกครั้ง”
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและเดินออกไปจากเรือเหาะ เขาไปยังเรือน้อยและหันกลับไปโบกมือลาทุกคน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “แดนใต้พิภพไม่ได้อันตรายอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการหรอก ข้าจะไปสนทนาเรื่องสาเหตุและผลลัพธ์ของการนำดวงวิญญาณสี่หมื่นแปดพันดวงมา และข้าก็จะกลับมาที่นี่หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น”
กิเลนมังกรอ้าปากหวอ อยากที่จะเอ่ยปากออกไป แต่เขาคิดอยู่นิดหนึ่งและระงับวาจาของตนเอาไว้ จ้าวลัทธิกลายเป็นเซ่อไปเสียแล้ว แดนใต้พิภพจะไม่อันตรายได้อย่างไร มีสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกืออยู่ทุกหนทุกแห่ง และยังมีเทพครองดาวเสาร์อันน่าสะพรึงกลัวตนนั้นอีก…แต่ทว่าตอนนี้สถานะของข้าไม่สู้ดีนัก ข้าดูแย่เมื่อมีพี่เสือมาเปรียบเทียบ ดังนั้นคงจะดีที่สุดหากว่าข้าไม่พูดมาก ไม่อย่างนั้น หากจ้าวลัทธิโมโหเปิดเปิงขึ้นมาคราวนี้ ข้าก็คงจะไม่ได้รับยาวิญญาณมาอีกต่อไป
เทพเสือขนดำก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและกำลังจะเอ่ยถ้อยคำ แต่ราชครูสันตินิรันดร์ยกมือขึ้นห้ามเขาไว้ และกล่าว “จ้าวลัทธิต้องการทิ้งกายเนื้อเอาไว้ข้างหลังหรือไม่”
ฉินมู่หัวใจวูบไหว และเขาพลันเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อทันที–ราชครูสันตินิรันดร์ต้องการให้เขาทิ้งกายเนื้อเอาไว้ หากว่าฉินมู่กลับมาไม่ได้ พวกเขาก็จะสามารถร่ายนำทางวิญญาณเพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณของเขากลับมาด้วยกำลัง
“ราชครูไม่จำเป็นต้องกังวล” ฉินมู่ดึงเอามังกรน้อยออกจากหูของเขาและส่งมันออกไป ก่อนที่จะโบกมือลาทุกๆ คน “ให้ข้านำกายเนื้อไปด้วยจะปลอดภัยกว่า ไว้ข้าจะยืมมังกรน้อยนี้อีกทีหลังจากที่กลับจากแดนใต้พิภพแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจจิตเจตนาของเขา ขณะที่เขากำลังพิศวงอยู่นั่นเอง เรือน้อยก็แล่นลอยห่างไปอย่างแช่มช้า และหายวับไปในความมืด มังกรเยาว์เหาะกลับมาบนเรือ และวิ่งไปหาฉินอวี้เพื่อกระหวัดพันร่างของเขา
“ทำไมจ้าวลัทธิถึงไม่ทิ้งกายเนื้อเอาไว้” ราชครูสันตินิรันดร์ยังคงพึมพำอยู่แผ่วเบา “หากว่าให้เทพเจ้าจำนวนหนึ่งร่ายนำทางวิญญาณพร้อมๆ กัน พวกเราก็น่าจะสามารถเพรียกวิญญาณของเขากลับคืนจากแดนใต้พิภพได้…”
ฉินมู่ยืนอยู่บนเรือน้อยและมองไปรอบๆ เขาเห็นเรือที่เต็มไปด้วยดวงวิญญาณในความมืด ทั้งหมดล้วนลอยล่องไปสู่ก้นบึ้งของแดนใต้พิภพ ตะเกียงของเรือเหล่านั้นขมุกขมัวเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมองจากที่ไกลๆ พวกมันดูเหมือนดวงดาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปบนท้องฟ้าสีหมึก
ครั้งหนึ่งท้าวยมราชบอกฉินมู่ให้ไปที่แดนใต้พิภพสักหนหนึ่งหากว่ามีโอกาส นี่จึงเป็นเหตุให้เขาปฏิเสธข้อเสนอแนะของราชครู
ท้าวยมราชไม่ได้พูดให้ชัดเจนถ้วนถี่นัก แต่ฉินมู่ก็ยังคงตรวจจับได้ว่าการถือกำเนิดของเขาในแดนใต้พิภพคงไม่เรียบง่าย ดังนั้นเขาอาจจะได้ค้นพบความลับของชาติกำเนิดตน
เรือน้อยลอยไปด้วยความเร็วสูง แต่เขาไม่อาจสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของมันได้ระหว่างที่นั่งอยู่ข้างใน เขาเห็นก็แต่โลกอันขมุกขมัวพุ่งผ่านเขาไป
ฉินมู่สะท้านใจ เขาได้ขึ้นเรือในสวรรค์ไท่หวง และโลกมิตินี้ก็กำลังหายลับไปในที่ไกลๆ
ขณะที่อยู่บนเรือ เขาก็เห็นโลกมิติอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ที่ยิ่งใหญ่ตระการ จนถึงเล็กซอมซ่อ เรือน้อยมากมายกับตะเกียงลอยมาจากในโลกเหล่านั้นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อมองไปที่ไกลๆ ท้องฟ้ามืดดำในโลกเหล่านั้น และแสงตะเกียงเลือนราง ได้พาให้ความคิดเตลิดเพริดไปเป็นอย่างยิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะคิดจินตนาการเกี่ยวกับโลกเหล่านั้น เรื่องราวที่กำลังคลี่คลายที่นั่นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ บางทีมันอาจจะมีความเศร้าสลดและขมขื่น บางทีมันก็อาจจะมีความห้าวหาญทะยานจิต หรือมิเช่นนั้นก็เป็นเพียงอารมณ์มนุษย์
“จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่สี่ที่เจ้าเข้ามาในแดนใต้พิภพ” ที่กราบเรือ ผู้นำทางความตายแขวนตะเกียงของเขาเอาไว้ และหันมาประจันหน้ากับฉินมู่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งที่สี่”
ฉินมู่เกิดสนใจขึ้นมาและเขาก็ถาม “ผู้อาวุโส ข้าไม่มีความทรงจำตอนแรกเกิด ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะช่วยบอกเล่าข้าสักหน่อยจะได้ไหม”
“เมื่อเจ้าถือกำเนิด เจ้าสร้างความปั่นป่วนไม่ใช่น้อย และได้เขย่าสะเทือนโลกทั้งหมดในแดนใต้พิภพ ในท้ายที่สุด ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในแดนใต้พิภพก็ตกลงใจว่าจะเนรเทศเจ้า”
ฉินมู่เพ่งพิศใบหน้าของผู้เฒ่าอย่างละเอียด แต่ก็ไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา
“ดังนั้น เจ้าจึงถูกเนรเทศ ส่วนว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ข้าไม่ทราบ” ผู้นำทางความตายกล่าวอย่างเชื่องช้า
ฉินมู่ตกตะลึงและระเบิดหัวเราะออกมา “เมื่อข้าถือกำเนิด ข้าก็จะต้องเป็นทารกตัวเล็กๆ ดังนั้นแล้วข้าจะไปสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ได้อย่างไร และถึงขนาดที่ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายแห่งแดนใต้พิภพต้องมาเนรเทศทารกผู้หนึ่ง นี่มันไม่มากเกินไปหรือ”
“นั่นนับว่ามีไมตรีมากแล้ว” ผู้นำทางความตายกล่าวอย่างหนักแน่น “ในสายตาของข้า หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำลงไป นี่ก็นับว่าเป็นไมตรีของฝั่งพวกข้าแล้ว หลังจากที่เจ้าออกไป ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายก็รื่นเริงยินดีจนเฉลิมฉลองไปหลายวัน”
“ที่ข้าทำไป คืออะไรกันแน่” ฉินมู่ยิ่งพิศวงงงงวย “เด็กทารกคนหนึ่งจะทำอะไรได้”
ผู้นำทางความตายไม่ตอบ เรือน้อยแล่นเข้าไปในโลกแห่งหนึ่ง และก็แล่นผ่านมัน ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงโลกใบเล็กๆ ข้างในนั้น
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปที่ตะวัน ดวงจันทร์ และดาวธาตุทั้งห้า อีกทั้งหมู่ดาวพร่างพรายทั้งหลายบนท้องฟ้าอันดูงดงามอย่างเหนือธรรมดา พวกมันเปล่งแสงหลากสีออกมา
และยังมีสะพานเทวะพาดผ่านท้องฟ้าพร้อมด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมอันอยู่ในรูปลักษณ์ของเทพเจ้า
“นี่คือสมบัติเทวะของยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะ!” ฉินมู่ตกตะลึง “พวกเราได้เข้ามาข้างในสมบัติเทวะของยอดยุทธคนหนึ่ง”
ผู้นำทางความตายนำเอาสมุดบันทึกออกมาและเปิดออก เขาพบชื่อและกล่าว “หานเจิน อายุขัยของเจ้าสิ้นสุดแล้ว ข้าจะมารับตัวเจ้าไปในสามวันให้หลัง จัดการสั่งเสียให้เรียบร้อย”
จิตวิญญาณดั้งเดิมบนสะพานเทวะก้มมองลงมาด้วยสายตาอันหมองมัว “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากผู้นำทางความตาย ที่ให้เวลาข้าสามวัน”
ผู้นำทางความตายพยักหน้า เรือน้อยของเขาแล่นออกไปจากโลกเล็กๆ แห่งนั้น และหวนคืนสู่แดนใต้พิภพ เขามุ่งหน้าต่อไป
“เมื่อบุคคลหนึ่งเกิดขึ้นมา พวกเขาก็ได้กระทำสัตยาบันต่อภูตบดีเพื่อว่าดวงวิญญาณของพวกเขาจะไปยังแดนใต้พิภพหลังจากที่อายุขัยสิ้นสุด ผู้นำทางความตายที่จะไปบอกกล่าวกับเจ้าได้เข้าไปในสมบัติเทวะเป็นตายของเจ้าเพื่อถ่ายทอดบัญชาของภูติบดี แต่ใครจะรู้ว่าเขาถูกขัดขวางโดยสมบัติวิเศษบนร่างกายของเจ้า นั่นจึงทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากไปตามหาเจ้าในโลกแห่งคนเป็น ยิ่งเรื่องราวถ่วงช้าไปมากเท่าไร ก็จะยิ่งเลวร้ายสำหรับเจ้ามากเท่านั้น”
รู้สึกฉงนฉงายมากกว่าเดิม ฉินมู่ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยู่ขั้นหกทิศอยู่ เช่นนั้นสมบัติเทวะเป็นตายข้าก็ยังไม่เปิดออกมา แล้วทำไมผู้นำทางความตายถึงเข้าไปได้”
“สำหรับเจ้ามันอาจจะปิด แต่สำหรับผู้นำทางความตาย พวกมันทั้งหมดล้วนเปิดอ้าเอาไว้ เมื่อพวกเราเข้าไปในสมบัติเทวะเป็นตายของคนผู้หนึ่งเพื่อส่งข่าวสาร มันก็เหมือนกับไปเข้าฝันคนผู้นั้น” ผู้นำทางความตายกล่าว “แต่ทว่าพวกเราถูกขัดขวางจากสมบัติวิเศษที่อยู่บนร่างของเจ้า และไม่อาจเข้าไปในความฝันของเจ้าได้”
ฉินมู่นำจี้หยกออกมาแล้วถาม “สมบัติวิเศษที่ท่านพูดถึงอยู่เรื่อยๆ นั้น ใช่จี้หยกนี้หรือเปล่า มันมาจากที่ไหนกัน มันมีคำสาปอะไรอยู่ไหม”
“สวมมันไว้ดีๆ อย่าถอดมันออก” ผู้นำทางความตายติเตือนเขาอย่างเร่งร้อน
ฉินมู่จึงได้แต่เก็บมันไว้ใต้เสื้อตามเดิม
ผู้นำทางความตายยังคงระแวง และนำเอายันต์กระดาษเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง แปะลงไปบนหน้าของฉินมู่ เขาปลดตะเกียงลงและฉายส่องไปยังความมืดโดยรอบ “สหายเต๋าคนไหนที่ซุ่มซ่อนอยู่แถวๆ นี้”
ฉินมู่เจาะรูสองรูบนยันต์กระดาษเหลืองและมองไปรอบๆ ทุกๆ อย่างมืดสนิท และเขาไม่เห็นอะไรสักสิ่ง
ทันใดนั้นแสงตะเกียงก็ส่องลงไปยังร่างอันลื่นเมือก มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเกล็ดของมันก็สะท้อนแสงหลากสีอันไม่นานก็จางหายไป
ผู้นำทางความตายพึมพำอย่างตกลงใจไม่ได้พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มหยัน “เขาคือบุคคลที่ภูติบดีต้องการพบตัว ดังนั้นอย่าคิดจะลองทำอะไรเลยดีกว่า ไม่อย่างนั้น เจ้าคงไม่อาจแบกรับความผิดบาปของเจ้าได้!”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากโดยรอบเรือน้อย ขณะที่ดวงตามารแปลกประหลาดมากมายก็จุดแสงขึ้นมา ดวงตานั้นใหญ่มหึมา และห้อมล้อมเรือไว้ทั้งหมด
“ภูติบดีต้องการพบเขา ดังนั้นข้าจะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน ถึงอย่างไร พวกข้าก็อาศัยอยู่ในแดนใต้พิภพ และอาศัยอยู่ใต้ร่มนามของภูติบดี แต่ทว่า พวกข้าก็มีนายเหนือหัวอยู่เช่นกัน และได้รับคำสั่งให้มาตามหาตัวเขา”
เสียงดังมาจากทุกทิศทาง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะพิลึกประหลาด พวกมันเหมือนกับตัวหนอนที่คืบคลานในร่างกายผู้คน และพูดจาออกไประหว่างที่กำลังชอนไชกัดแทะกระดูก
“ราชันย์เทียมสวรรค์ เจ้าเป็นผู้ปกครองใหญ่แห่งยันต์สวรรค์ เป็นราชันย์ขุนนางใต้พิภพ ดังนั้นพวกเราจึงควรที่จะเคารพเจ้าอยู่บ้าง แต่ทว่าเจ้าได้ปิดคลุมใบหน้าของเขาเอาไว้เพื่อมิให้พวกเราเห็นใบหน้าและรู้ตัวตนของเขา เช่นนั้นพวกข้าจะไปตอบนายเหนือหัวได้อย่างไร ปลดยันต์เหลืองนั่นออกเสีย และพวกข้าก็จะปล่อยให้เจ้านำตัวเขาไป!”
ผู้นำทางความตายยิ้มหยัน และดวงตาพวกนั้นพลันปิดลงและหายวับ เรือลำหนึ่งแล่นเข้ามา มันมีผู้เฒ่าที่ถือตะเกียงส่องแสงบริเวณโดยรอบ
ในความมืด ร่างอันเมือกลื่นมากมายเลื้อยห่างไปจากแสง
ฉินมู่สายตาวูบไหว และเขาเห็นเรือน้อยแล่นมาทางพวกเขามากขึ้นทุกทีๆ พวกมันซ้อนทับกันกับเรือของพวกเขา และผู้นำทางความตายก็ซ้อนทับด้วยเช่นกัน ในชั่วพริบตา เรือหกสิบเจ็ดสิบลำและผู้นำทางความตายก็ซ้อนทับเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว!
“ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลกริ่งเกรงพวกเขาแล้ว!” เขากล่าว
“พวกที่มาหยุดเรือเอาไว้คือใครกัน” ฉินมู่ถามทันที
“เทพและมารที่ถูกฝังเป็นหูเป็นตาไว้ที่นี่จากสภาสวรรค์” ผู้นำทางความตายส่ายหัว “พวกที่คอยเก็บเกี่ยวสิ่งที่ตนไม่ได้ปลูก”
ฉินมู่จมในความคิดขณะที่เรือน้อยแล่นต่อไป ในที่สุด เขาก็เห็นภูติบดีอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่ร่างอันครบสมบูรณ์ของเขา เป็นเพียงแค่เขาคู่ที่มีเก้าบิด
โลกมิติหลายต่อหลายชั้นก่อเขาทั้งสองนั้นขึ้นมา ยิ่งเรือแล่นเข้าไปใกล้เท่าไร เขาเก้าบิดคู่นั้นก็ยิ่งดูใหญ่มากขึ้น ก่อขึ้นมาเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ปานเปรียบ ภูเขาไฟมากมายพวยพุ่งออกไปส่งหินหลอมเหลวไหลลงเชื่อมต่อแผ่นดินเหล่านั้น
เรือกระดาษแล่นผ่านแผ่นดินหนึ่ง และฉินมู่เห็นดวงวิญญาณมากมายกำลังเดินทางไปด้วยความยากเข็ญผ่านโลกอันเต็มไปด้วยแมกม่า
เรือน้อยแล่นอย่างไม่รีบร้อน และเขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน และเขาได้เห็นกี่แผ่นธรณีบนเขาของภูติบดี ก่อนที่พวกเขาจะหยุดเดินทางในที่สุด ในแผ่นธรณีนี้ไม่มีนรกอันชวนให้อกสั่นขวัญแขวน มีก็แต่หมู่ปราสาทราชวังอันยิ่งใหญ่อลังการ
เรือน้อยแล่นลงไป และจอดตรงหน้าหมู่ปราสาทราชวัง ที่โถงวังแห่งนั้นมีนามในภาษาแดนใต้พิภพ และฉินมู่มองขึ้นไป เขาพลันรู้ความหมายของถ้อยคำที่นั่น–คฤหาสน์ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เทียมสวรรค์ผู้ทรงเมตตา
ผู้นำทางความตายเข้าไปในโถงและกล่าว “นี่คือที่พำนักของข้า ร่างกายของเจ้าเล็กเกินไป ดังนั้นภูติบดีไม่อาจพบเจ้าได้โดยตรง รอสักครู่ ร่างแยกของภูติบดีจะมาที่นี่และไต่สวนเจ้า”
ฉินมู่มองดูภาพวาดฝาผนังในคฤหาสน์ระหว่างที่รอ พวกมันวาดบรรยายเทพปรัมปราและตำนานต่างๆ
ทันใดนั้น แมกม่าก็ไหลออกมาจากใจกลางห้องโถง และพื้นก็กลายเป็นแมกม่าอันเดือดพล่าน มันหมุนเป็นเกลียววน และเขาบิดงอไปมาคู่หนึ่งก็ลอยขึ้นมา ตามมาด้วยร่างทั้งร่างของภูติบดีที่สูงกว่าสิบห้าวา
ผู้นำทางความตายโค้งคารวะและนำเอาสมุดออกมาเล่มหนึ่ง “ข้าได้นำฉินเฟิงชิงมาแล้ว ความชั่วร้ายทั้งหมดที่เขากระทำได้บันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้ ขอเชิญภูติบดีอ่านมัน”
ฉินมู่เขยิบเข้าไปดูและเห็นว่าสมุดเล่มนั้นหนาอย่างน่ากลัว เขารีบกล่าว “ข้าไม่ได้ทำเรื่องในสมุดพวกนี้นะ! ข้าเพิ่งอายุสิบแปดปี ข้าจะไปทำเรื่องร้ายๆ ตั้งมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”
ภูติบดีที่ก่อขึ้นมาจากแมกม่ารับสมุดมาและพลิกดูเพื่อตรวจสอบ แสงเทวะสาดส่องในดวงตาของเขาระหว่างที่กล่าว “สิ่งที่บันทึกไว้ในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าทำในโลกแห่งคนเป็น แต่ในแดนใต้พิภพ จี้หยกที่ข้าทำให้เจ้ายังคงอยู่ดีไหม ข้าสัมผัสได้ว่าผนึกมันคลายหลวมลงไปในช่วงนี้”
………………………