เงยหน้าขึ้นมองเงาสีดำขนาดใหญ่ที่บินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มั่วชิงเฉินครุ่นคิดในใจว่า เสร็จกัน แม่ของไข่วิหคกลับมาแล้ว!
นางยื่นมือออกไปหยิบถุงกระสอบไปเหน็บไว้ด้านข้าง มือหนึ่งก็คว้าไปทางเถาวัลย์สีเขียวอีกฝั่ง แล้วกระโจนลงไป
ร่างทั้งร่างตกลงไปอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามแหลมสูงดังขึ้นข้างหู แฉลบผ่านพวงแก้มทั้งสองข้างจนเกิดความเจ็บปวดราวกับถูกมีดตวัดผ่านอย่างไรอย่างนั้น
มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจความเจ็บปวด แต่แทบอยากจะตกลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
แรงกดดันชนิดนี้นางมิใช่ไม่รู้จัก ตอนบังเอิญพบกับฮวาเชียนซู่ระหว่างทางไปสำนักลั่วสยา แรงกดดันที่แผ่ออกมาตอนที่เขาใช้เคล็ดวิชาลับบรรลุเข้าสู่ระดับเสมือนก่อกำเนิดนั้น ก็คล้ายคลึงกับแรงกดดันนี้
หรือจะกล่าวได้ว่า วิหคยักษ์ตัวนี้อยู่ในระดับเสมือนแปลงกายนั่นเอง
ในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรนี้ สภาวะเสมือนก่อกำเนิดนั้นไม่ได้พบเห็นได้มากนัก ปกติแล้ว ผู้ที่ล้มเหลวในการบรรลุระดับก่อกำเนิดนั้นจะมีความมหัศจรรย์อยู่เล็กน้อย หลังจากที่แก่นทองคำแตกละเอียดเพราะการก่อทารกปราณไม่สำเร็จ แต่หากรักษาพลังยุทธ์เอาไว้ได้ แก่นทองคำจะตกอยู่ในสภาวะที่บริสุทธิ์สูงสุด ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรประเภทนี้จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเสมือนก่อกำเนิด
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเสมือนก่อกำเนิดชั่วชีวิตไม่อาจพัฒนาระดับขั้นได้อีก พละกำลังก็มีไม่เท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว กลับได้เปรียบกว่าเป็นอย่างมาก
ในสมัยอดีตกาล ว่ากันว่าเซียนที่ผ่านเคราะห์สวรรค์มีอยู่มากมาย และมีบางคนที่ไม่ผ่านเคราะห์สวรรค์แต่จิตวิญญาณกลับไม่แตกสลาย กลายเป็นเซียนพเนจร
พลังยุทธ์ของเซียนพเนจรไม่สู้เทพเซียน แต่กลับเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานในยุทธภพของมนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเสมือนก่อกำเนิดและเซียนพเนจร ก็มีความคล้ายคลึงกัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในดาวดวงนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดและปีศาจบำเพ็ญเพียรระดับแปลงกายมิอาจเข้ามาได้ เช่นนั้น วิหคยักษ์ที่ไล่สังหารตนนี้ก็น่าจะเป็นอสูรปีศาจระดับสูงกว่าระดับเจ็ด แต่กลับไม่ได้อยู่ในระดับแปลงกาย
มั่วชิงเฉินขบคิดอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้ว ความคิดที่จะหนีเอาชีวิตรอดก็เพิ่มมากขึ้น
หากอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อม สมบัติวิเศษต่างๆ ล้วนใช้ได้ ต่อให้ไม่อาจเอาชนะอสูรปีศาจระดับเสมือนแปลงกายได้ แต่ก็ย่อมรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทว่ายามนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี สมบัติวิเศษประจำกายก็ใช้ไม่ได้ หากไม่หนี ก็คงต้องกลายเป็นอาหารนกแล้วกระมัง
เงาสีดำขนาดใหญ่บินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ปีกขนาดใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ ท่าทีน่าตกตะลึงประกอบกับความเคียดแค้นทำให้เกิดแรงกดดันที่ไร้รูปร่างกดทับลงมา
มั่วชิงเฉินงอเข่า ตกลงสู่พื้น กลับรู้สึกว่าพื้นดินยืดหยุ่น ดีดนางกลับไป
มั่วชิงเฉินแทบจะน้ำตาไหล ดีดนางกลับมายามนี้ ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ!
ข้างหูมีเสียงตะโกนดังขึ้น “รีบขวางนางไว้ คาดไม่ถึงว่าจะถือโอกาสนี้ขโมยน้ำค้างไป!”
จากนั้นก็มีเสียงบริกรรมคาถาเต็มไปหมด
มั่วชิงเฉินรวบรวมสมาธิมองไป ที่แท้ตนก็ตกอยู่บนดอกไม้ยักษ์ดอกหนึ่ง ไม่ไกลนักมีคนสองสามคนกำลังประมือกัน ฟังดูแล้วน่าจะเข้าใจผิดว่าตนอยากจะเป็นชาวประมงรอเก็บผลประโยชน์ในภายหลัง
พอกวาดตาไปมองก็เห็นเกสรสีแดงเข้มยื่นออกมา ตรงส่วนโคนมีไข่มุกสีแดงเม็ดหนึ่ง ในไข่มุกนั้นน่าจะบรรจุน้ำค้างเอาไว้
ด้านหลังมีฝูงไล่ล่าที่แข็งแกร่ง มั่วชิงเฉินไม่กล้ามีความคิดละโมบระหว่างที่หนีเอาชีวิตรอด ร่างจึงกระโจนลงจากดอกไม้ยักษ์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงไพเราะ “รีบหนีเร็วเข้า ด้านหลังมีอสูรปีศาจ!”
นางเอ่ยไปพลางหนีไปทางที่ไม่มีคน
ด้านหลังมีเสียงของสตรีดังมา “ชิงเฉิน เหตุใดถึงเป็นเจ้า!”
มั่วชิงเฉินชะงักฝีเท้า ฟังออกว่าเป็นเสียงของนักพรตจื่อซี จึงไม่สนใจจะพูดอะไร รีบร้อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่จื่อซี รีบหนีเร็ว!”
นักพรตจื่อซีไม่พูดอะไร ก็วิ่งตามไป
คนที่เหลือต่างส่งสายตาเสียดายที่ไม่ได้น้ำค้างมาไว้ครอบครอง และไม่รู้ว่าอสูรปีศาจตามมาจริงๆ หรือไม่ ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นท้องฟ้าก็มืดหม่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นวิหคยักษ์ตัวหนึ่งกำลังโฉบลงมาพร้อมกับแรงกดมหาศาล
หนึ่งในนั้นพลันหน้าซีดเผือด วิ่งอย่างสุดกำลังไปตามทางที่มั่วชิงเฉินวิ่งไป อีกคนหนึ่งกลับวิ่งไปฝั่งตรงข้าม ขณะวิ่งก็ร้องเตือนว่า “อย่าไปทางเดียวกับพวกนาง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นเป็นคนยั่วโมโหวิหคยักษ์ตัวนั้น ไม่แน่มันอาจจะมีเป้าหมายแล้ว!”
ผู้ที่อยู่ด้านหน้าพลันตื่นตกใจ เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเดียวกันก็หันกายวิ่งกลับมาอย่างไม่ต้องขบคิด เป็นทิศทางที่วิหคยักษ์กำลังโฉบลงมา
วิหคยักษ์ไล่ตามมั่วชิงเฉินไป ปีกกวาดไปยังร่างของคนผู้นั้น คนผู้นั้นถูกกวาดจนตัวลอยขึ้นไปทันที ยามที่ตกลงบนพื้นก็ร่วงลงมาอยู่ตรงหน้าของพวกเดียวกันแล้ว
พวกเดียวกันผู้นั้นรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
คนผู้นั้นถลึงตากระอักเลือดออกมา ในนั้นยังมีฟันปะปนอยู่ด้วยสองซี่ แล้วก่นด่าว่า “ยายเจ้าสิ เหตุใดถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้!”
คนพวกเดียวกันพลันหัวเราะด้วยความเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าควรรู้จักไตร่ตรองให้ดี เห็นได้ชัดว่าวิหคยักษ์ตัวนั้นพุ่งไปทางผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ไม่ได้สนใจเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือ”
คนผู้นั้นรู้สึกโชคดี ตบหน้าอกแล้วเอ่ยว่า “ซวยจริงๆ เหตุใดที่นี่ถึงมีอสูรปีศาจที่แข็งแกร่งมากมายเพียงนี้”
พวกเดียวกันพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่มันแปลกตรงไหน ที่นี่ไม่มีอสูรปีศาจระดับแปลงกาย แต่กลับดำรงอยู่มาได้ตั้งไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว นานวันเข้าย่อมมีอสูรปีศาจระดับเสมือนแปลงกายเป็นฝูง”
คนผู้นั้นพลันถอนใจขณะเอ่ย “พานพบกับอันตรายดังคาด เจ้าว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเมื่อครู่คือผู้ใด เหตุใดถึงล่ออสูรปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนี้มา”
พวกเดียวกันพลันขมวดคิ้ว “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ปีศาจบำเพ็ญเพียร ย่อมต้องเป็นผู้บำเพ็ญพรต ทางนั้นวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ข้ามองไม่ชัด ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเหล่านั้นชอบหาเรื่อง หาเรื่องแล้วยังต่อกรไม่ได้ มารบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน”
คนผู้นั้นถ่มน้ำลาย “ยายมันสิ ทำให้ข้าฟันหักไปสองซี่ อย่าให้ข้าเจอแม่นางอัปลักษณ์ผู้นั้นอีก หากเจอข้าจะทำให้นางพิการ!”
อีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินวิ่งเต็มแรง สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของวิหคยักษ์ที่เข้ามาประชิดขึ้นเรื่อยๆ แล้วตะโกนว่า “ศิษย์พี่จื่อซี ท่านอย่ามาทางเดียวกับข้า วิหคยักษ์ตัวนั้นไล่ตามข้า!”
นักพรตจื่อซีเลิกคิ้ว “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร หากเจ้าถูกวิหคยักษ์กิน ข้าก็ไม่อาจไปรับผิดกับอาจารย์ของเจ้าได้!”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่จื่อซี วิหคยักษ์ตัวนั้นมีกำลังไม่ธรรมดา ท่านตามข้ามาจะยิ่งอันตราย!”
เงาสีดำทาบมาที่ศีรษะ นักพรตจื่อซีแบมือ “พอเถิด ยามนี้พูดอะไรไปก็ไม่ทันแล้ว ชิงเฉิน พวกเราร่วมมือกันสู้เถิด”
มั่วชิงเฉินหยุดลง หันกายไปหาวิหคยักษ์กลางอากาศ
วิหคยักษ์ตัวนั้นคอยาว มีขนสีแดง จะงอยปากยังยาวมาก ทั้งเล็กและบาง ร่างกายกลับอ้วนกลมไม่สอดคล้องกัน
เมื่อเห็นวิหคยักษ์ ชั่วขณะนั้นมั่วชิงเฉินพลันรู้สึกว่าอู๋เย่ว์คือวิหคที่งดงามล้ำเลิศในยุทธภพแล้ว
“เจ้ากินลูกของข้า…”
วิหคยักษ์เอ่ยยังไม่ทันจบ มั่วชิงเฉินก็สลัดถุงกระสอบที่เหน็บเอาไว้ตลอดออกไป
ชั่วพริบตาแมลงยักษ์สีเขียวขนาดหนึ่งจั้งเศษจำนวนนับไม่ถ้วนพลันกระโจนออกไป ดูเหมือนว่าพวกมันจะอดกลั้นอยู่ในถุงกระสอบเป็นเวลานาน เมื่อออกมาก็พ่นของเหลวสีเขียวเต็มกำลัง
ของเหลวสีเขียวนับหมื่นสายแล่นตัดสลับกันไปมา พุ่งไปหาวิหคยักษ์ เป็นภาพที่งดงาม แม้แต่เมฆที่เคลื่อนคล้อยบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะถูกอาบย้อมด้วยสีเขียว
วิหคยักษ์กรีดร้อง พลันกระพือปีกทั้งสองข้าง
นักพรตจื่อซีตกตะลึง มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาในทันที สองมือร่ายรำไปมา แสงสีเขียวสายหนึ่งปรากฎขึ้นรางๆ
แสงสีเขียวยิ่งดึงยิ่งยาวขึ้น กลายเป็นหอกยาวสีเขียว จากนั้นก็ชูมือขึ้น โยนหอกยาวออกไป
หอกยาวสำแดงกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวพุ่งไปหาวิหคยักษ์
ได้ยินเสียงม้วนวน หอกยาวแทงเข้าไปที่ขาของวิหคยักษ์ เกิดเป็นลำแสงเจิดจ้า
วิหคยักษ์คำรามเสียงแหลม สะบัดขา หอกยาวดีดกลับมา ร่อนลงในมือของนักพรตจื่อซีอีกครั้ง
นักพรตจื่อซีกางนิ้วทั้งห้าออก หอกยาวติดอยู่ตรงใจกลางฝ่ามือพลางหมุนวนโคจรอย่างรวดเร็วราวกับกรงล้อ จากนั้นเงาแสงสีเขียวขนาดเท่ากรงล้อกลมๆ ก็โจมตีไปหาวิหคยักษ์
แม้ว่าวิหคยักษ์จะมีกำลังแข็งแกร่ง กลับถูกแมลงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนบินวนที่ขา นักพรตจื่อทำให้ประโยชน์ดังคาด
มั่วชิงเฉินถือโอกาสนี้ใช้เถาวัลย์เป็นแส้ ม้วนไปทางขาของวิหคยักษ์
วิหคยักษ์ก้มหัวลง ใช้จะงอยยาวๆ จิกเถาวัลย์จนขาด
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง คู่ควรกับที่เป็นอสูรปีศาจระดับเสมือนแปลงกาย เถาวัลย์ยาวเส้นนี้มีอายุหมื่นปี มีความยืดหยุ่นมาก คาดไม่ถึงว่าจะถูกจิกขาดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ทว่าเดิมทีเป้าหมายของนางก็ไม่ได้จะรัดวิหคยักษ์ แต่จะถือโอกาสที่วิหคยักษ์ก้มหน้าลง แตะปลายเท้าไป ร่างกายหมุนวนขึ้นไป จากนั้นก็พลิกตัวออกแรงที่เท้าขวา ถีบก้นวิหคยักษ์อย่างแรง!
ได้ยินเสียงกรีดร้อง วิหคยักษ์กลายเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้า
นักพรตจื่อซีมองเห็นท้องฟ้าส่องประกายแสงสีเหลืองก็ตกตะลึง มั่วชิงเฉินดึงนางหนึ่งที “รีบไป รอจนวิหคยักษ์มีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเราก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”
มีผลลัพธ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะถุงกระสอบมีประสิทธิในการกักแมลงยักษ์สีเขียวเป็นอย่างมาก ประกอบกับการสอดประสานของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง ถึงได้มีผลลัพธ์เช่นนี้
หากวิหคยักษ์ม้วนวนมาอีกครั้ง ก็หมดปัญญาแล้ว
เห็นได้ชัดว่านักพรตจื่อซีมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยกเท้าออกวิ่ง
ทั้งสองวิ่งจนขาเกือบหัก ในที่สุดก็มองเห็นลำธาร
มั่วชิงเฉินมีสีหน้ายินดี “ศิษย์พี่จื่อซี พวกเรากระโดดน้ำเถิด!”
ทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ แล้วกระโดดลงไป
แม้ว่าจะไม่อาจใช้สมบัติวิเศษได้ มั่วชิงเฉินก็ยังสำแดงไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา
คิดไม่ถึงว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งจะเหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ กลายเป็นมัจฉายักษ์สีเงินตัวหนึ่ง
ดึงนักพรตจื่อซีให้กระโดดขึ้นมาบนหลังมัจฉา มัจฉาสีเงินบรรทุกทั้งสองคนแหวกว่ายมาได้หมื่นลี้
พอเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็ง ทั้งสองคนไม่ได้ลอยตัวบนผิวน้ำ แต่หาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวน้ำเกิดเป็นวงกระเพื่อม
นักพรตจื่อซีหอบหายใจอยู่นาน ถึงได้เอ่ยถามอย่างไร้เรี่ยวแรง “ชิงเฉิน เจ้าไปก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินเล่าเรื่องให้ฟังอย่างคร่าวๆ
นักพรตจื่อซีมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ “ชิงเฉิน ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้เจ้าก็มีงานอดิเรกชอบสะสมแมลง”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “ศิษย์พี่จื่อซี ท่านล้อข้าเล่นแล้ว”
นักพรตจื่อซีปิดปากยิ้มๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “เช่นนั้น ผลที่เจ้ากิน ก็ทำให้ขาขวามีกำลังเพิ่มขึ้นหรือ เร็ว ให้ข้าดูหน่อยว่าเป็นอย่างไร”
เอ่ยจบก็ไม่รอให้มั่วชิงเฉินมีปฏิกิริยาตอบสนอง พลันเลิกชายกระโปรงของนางออก จากนั้นก็ใช้มือกดลงไปแล้วเอ่ยว่า “ดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างอะไร”
มั่วชิงเฉินหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “ศิษย์พี่จื่อซี ขาขวาข้าแค่มีแรงมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีขาที่สามงอกออกมาสักหน่อย”
นักพรตจื่อซีค้อนควัก “นางหนูนี่ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ ครึ่งปีที่ผ่านมาเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างแย่งชิงน้ำค้างเพื่อสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด นั่นก็คือทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแข็งแกร่ง และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเตะขาของอสูรปีศาจระดับเสมือนแปลงกายจนกระเด็น ข้าจะไม่ดูสักหน่อยได้อย่างไร”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจนปัญญาแล้วเอ่ยถาม “ใช่แล้ว ศิษย์พี่จื่อซีตอนนั้นฝ่ามือของท่านมีหอกยาวพุ่งออกมามันคือเรื่องอะไรหรือ ดูเหมือนจะไม่ใช่เคล็ดวิชาสินะ”
นักพรตจื่อซีมุมปากกระตุก เอ่ยอย่างลำพองใจเล็กน้อย “ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เคล็ดวิชา ก่อนหน้านี้ไม่นานข้ากินน้ำค้างไปส่วนหนึ่ง ฉับพลันนั้นตรงจุดตันเถียนก็มีเมล็ดเพิ่มขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง ทว่าสองสามวันก็มีต้นกล้างอกออกมา กลายเป็นหอกยาวเล่มหนึ่ง เมื่อหอกยาวตรงจุดตันเถียนนั้นดูดซับพลังวิญญาณนานวันเข้า พลังก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เป็นสมบัติที่หาได้ยากจริงๆ”
มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วพลันรู้สึกสนอกสนใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามให้ละเอียดนั้น จู่ๆ กลับพบว่าผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นขึ้น