มั่วชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “น่าจะเป็นเพราะว่าไฟจริงของข้ามีผลช่วยให้ใจสงบได้กระมัง”
นักพรตจื่อซีอึ้งไปเล็กน้อย กล่าว “สมกับที่เป็นหนึ่งในสามไฟมหัศจรรย์เสียจริง เพียงแต่ในเวลานี้เรื่องที่เจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่างอยู่ในกายแพร่กระจายไปทั่วแล้ว ยิ่งต้องระวังไว้ให้มาก”
มั่วชิงเฉินคลี่ยิ้มชี้ไปที่ขาขวาของตนตอบว่า “ข้ามีบาทาพลังเทพอยู่ ใครกล้าคิดไม่ซื่อจะเตะมันให้ตายเลย”
ถึงรู้ว่านี่เป็นคำพูดล้อเล่น แต่นักพรตจื่อซียังตบมือเอ่ยว่า “พูดได้ดี ชิงเฉิน เจ้าใช้ท่วงท่าเดียวกับที่ปีนั้นเอาก้อนอิฐฟากศิษย์หลานจ้าวจนกระเด็นเลยสิ โผล่มาหนึ่งคนก็เตะหนึ่งคน โผล่มาสองคนก็เตะสองคน เตะให้พิการสักสองสามคน ก็ไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อแล้ว”
มั่วชิงเฉินเหงื่อตก ใช้ก้อนอิฐฟาดคนยังเรียกว่าท่วงท่าได้อีกหรือ
ปทุมหยกอริยะหอมหาใช่พืชปีศาจที่มีนิสัยชอบจู่โจม เมื่ออสูรพิทักษ์ตาย เจ้าสิ่งที่ถนัดล่อลวงจิตใจก็แทบไม่ส่งอิทธิพลต่อมั่วชิงเฉินที่มีเพลิงแก้วใจกระจ่างมากนัก เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน สุดท้ายก็ได้มุกบุปผาสีม่วงเม็ดหนึ่ง
ครั้นเห็นมุกบุปผาสีม่วง นักพรตจื่อซีสายตาทอประกายวาวโรจน์ กล่าวด้วยความยินดี “มุกบุปผาสีม่วงเชียวหรือ ชิงเฉิน เจ้าได้ของดีแล้ว!”
“อย่างไรกัน มุกบุปผามีสีสันต่างออกไป ยังมีรายละเอียดอันใดอีกหรือ” มั่วชิงเฉินรีบถาม
นักพรตจื่อซีอธิบายว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เท่าที่ข้ารู้มาตอนนี้ มุกบุปผามีสีแดง เขียว คราม เหลือง และม่วง ในบรรดามุกบุปผาสีเขียวหาได้ง่ายที่สุด แปดถึงเก้าในสิบเม็ดที่ล่าได้จากพืชปีศาจล้วนเป็นสีเขียว น้ำค้างในมุกบุปผามีสรรพคุณเพิ่มระดับการบำเพ็ญ แน่นอน ถึงจะบอกว่ามุกบุปผาที่ช่วยเพิ่มระดับการบำเพ็ญอยู่ที่นี่จะหาได้ง่ายมาก แต่เจ้าอย่าได้ดูแคลนมัน พืชปีศาจต่างกันก็จะให้มุกบุปผาต่างกัน ความเข้มข้นของในน้ำค้างก็ต่างกัน เมื่อใช้แล้วมีทั้งที่เพิ่มระดับการบำเพ็ญมากและน้อย แต่จะมากหรือน้อยก็ไม่มีผลลัพธ์ข้างเคียงใดๆ ไม่เหมือนกับโอสถที่ใช้มากเกินไปจะทำให้รากฐานไม่มั่นคง กระทั่งหลงเหลือพิษไว้ในร่างกาย”
“น้ำค้างบุปผานี่เป็นของวิเศษจริงๆ ด้วย แล้วมุกบุปผาสีอื่นมีประโยชน์อะไร” มั่วชิงเฉินซักไซ้
นักพรตจื่อซีอธิบายต่อ “มุกบุปผาสีแดง มีน้ำค้างที่เมื่อผู้บำเพ็ญใช้แล้วจะก่อตัวเป็นสมบัติล้ำค่าสายจู่โจม แน่นอนว่าก็เหมือนสมบัติวิเศษที่มีพลังคุกคามมากน้อยต่างกัน น้ำค้างบุปผาสีเหลืองคือสมบัติล้ำค่าสายป้องกัน น้ำค้างบุปผาสีครามก่อตัวเพิ่มพลังสมบัติล้ำค่าสายหลบหนี ส่วนน้ำค้างบุปผาสีม่วง…”
“เป็นอย่างไรกัน”
“น้ำค้างสีม่วงนี้ยากคาดเดามากที่สุด บ้างก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายบางส่วน บ้างก็ช่วยเพิ่มศักยภาพในบางด้าน ยังมีบ้างที่ผู้ใช้ได้รับพลังวิเศษอื่น ถึงจะบอกว่าความสามารถในโลกดวงดาวแห่งนี้จะลำบากอยู่บ้าง แต่ว่ามุกบุปผาสีม่วงที่ไม่รู้สรรพคุณแน่ชัด เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนมากอยากได้ไว้ในครอบครองอย่างมิต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกว่านางหนูอย่างเจ้าโชคดีอย่างนั้นหรือ” นักพรตจื่อซียิ้มเอ่ย
ครั้นได้ฟังว่ามุกบุปผาสีม่วงล้ำค่าเช่นนี้ มั่วชิงเฉินย่อมไม่อาจยึดครองไว้คนเดียว “ศิษย์พี่จื่อซี น้ำค้างบุปผาพวกนี้พวกเราร่วมแรงกันจึงได้มา ท่านเอาแต่บอกว่าข้าโชคดี คิดจะยกของล้ำค่านี้ให้แล้วหรือ”
นักพรตจื่อซีกลอกตาเอ่ยว่า “ข้าใจกว้างขนาดนั้นเชียว”
มั่วชิงเฉินค่อยรู้สึกว่าถูกต้อง คลายใจตอบว่า “แน่นอนว่าไม่”
“หือ” ดวงตาหงส์ของนักพรตจื่อซีกระตุก มองมั่วชิงเฉินด้วยความขุ่นเคือง
มั่วชิงเฉินยิ้มเจื่อนๆ “พูดผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว”
นักพรตจื่อซีเป็นอาจารย์ป้าอยู่ตั้งนาน ตอนอยู่ต่อหน้านาง ถึงบอกว่ามั่วชิงเฉินเปลี่ยนคำเรียกขานแล้ว ทว่าก็มักเห็นตัวเองเป็นผู้น้อยกว่าอยู่เสมอ
นักพรตจื่อซีเป็นคนมีอายุอานามตั้งหลายร้อยปีแล้ว ครั้นเห็นมั่วชิงเฉินยิ้มโง่งม ก็บังเกิดความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีต่อผู้เยาว์รุ่นหลัง ยื่นมือออกไปบีบแก้มนาง ยิ้มร่ากล่าวว่า “น้ำค้างบุปผานี่ไม่ใช่คิดจะใช้ก็ใช้ได้ นอกจากสีเขียวที่ช่วยเพิ่มพลังบำเพ็ญแล้ว เวลาใช้สีอื่นๆ ต้องเว้นระยะเวลาจากการใช้น้ำค้างครั้งก่อนพักหนึ่ง ทำเช่นนี้ก็จะสามารถเลี่ยงการปะทะกันของน้ำค้างสองชนิดที่ชักนำให้เกิดผลเสียอันยากเกินจะคาดเดาได้”
มั่วชิงเฉินลอบพยักหน้า นี่ค่อยเหมาะกับการถ่วงสมดุลทางธรรมชาติเสียหน่อย หากอาศัยอยู่ในโลกดวงดาว มีน้ำค้างบุปผาจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ทุกครั้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรล่ามุกบุปผามาได้จะเพิ่มพลังขั้นหนึ่ง เช่นนั้นเมื่อถึงวันที่ย้อนกลับสู่แผ่นดินเทียนหยวนอีกครั้ง ก็จะเป็นบุคคลที่ฝืนลิขิตสวรรค์ขนาดไหนกันเชียวนะ
“ที่เว้นระยะนี้คงไม่ใช่เวลาๆ สั้นหรอกกระมัง”
นักพรตจื่อซีพยักหน้า “อย่างน้อยสามเดือน อีกทั้งต่อให้หลังจากสามเดือนแล้วกินน้ำค้างบุปผาลงไป ไม่แน่น้ำค้างบุปผาที่ค้างอยู่อาจทำให้น้ำค้างบุปผาชนิดใหม่สูญสลายได้ หรือไม่น้ำค้างบุปผาเก่าทนฤทธิ์ของน้ำค้างบุปผาใหม่ไม่ได้สลายไปก็เป็นไปได้ แต่เพราะมีการยืดระยะเวลาออกไปบ้าง ร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรจึงไม่ได้ถูกทำร้ายมากนัก”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้นักพรตจื่อซีเลิกคิ้วแล้วยิ้มเอ่ยว่า “จะว่าไปนอกจากมุกบุปผาสีเขียวแล้ว มุกบุปผาสีอื่นๆ ก็หาได้ยากมาก ผู้บำเพ็ญเพียรตามปกติคิดจะพานพบสถานการณ์ลำบากใจเช่นนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือโชคดีกันแน่ ได้พบมุกบุปผาเม็ดที่สองในเวลาไม่นานนัก ถือว่านางหนูอย่างเจ้าสบายแล้ว”
“อย่างนั้นชิงเฉินขอรับไว้โดยไม่เกรงใจแล้ว” มั่วชิงเฉินกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
ถึงมุกบุปผาเป็นของล่ำค่า แต่น้ำใจที่มีต่อนักพรตจื่อซีตลอดหลายปีนี้ไม่ใช่ของปลอม หากนักพรตจื่อซีต้องการจริงๆ นางก็ยอมทิ้งได้โดยไม่ลังเล แต่ในเมื่อนักพรตจื่อซีมอบให้ด้วยความเต็มใจ นางก็ไม่ผลักไสให้เสียน้ำใจ
อะไรสำคัญกว่ากัน ด้วยสภาวะจิตใจของนางในเวลานี้แยกแยะได้ชัดเจนแล้ว
นักพรตจื่อซีเห็นท่าทีของมั่วชิงเฉินก็มีน้ำโห ออกแรงบีบแก้มนางสั่งว่า “รีบเอาแก่นปีศาจของราชามัจฉาสายรุ้งกับเกล็ดเหล่านั้นมาชดเชยความสูญเสียของข้าเสีย”
มั่วชิงเฉินส่งแก่นปีศาจและเกล็ดออกไป เอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม “ศิษย์พี่ ท่านเบามือหน่อยได้หรือไม่ ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าศิษย์พี่หมิงจ้าวอดทนมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน”
ครั้นเอ่ยถึงนักพรตหมิงจ้าว แววตาของนักพรตจื่อซีทอประกายอ่อนโยนวูบหนึ่ง
มั่วชิงเฉินแอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
นักพรตจื่อซีตบมั่วชิงเฉินเบา กล่าวว่า “นางหนูหน้าเหม็น รีบๆ กินน้ำค้างบุปผาลงไปได้แล้ว ข้าจะคุ้มกันให้เจ้า”
เมื่อร่ายค่ายกลคุ้มกัน มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ภายใน ก็เปิดมุกบุปผาสีม่วงกลืนน้ำค้างลงไป
น้ำค้างบุปผาสีม่วงเป็นกลุ่มก้อนมิได้สลายไปไหน เคลื่อนตามพลังวิญญาณในเส้นชีพจรจนถึงบริเวณตันเถียน แล้วแทรกซึมเข้าไปด้านใน
พลังกายและพลังวิญญาณเริ่มเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินเข้าสู่สภาวะสมาธิสงบนิ่ง ในขณะที่เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า น้ำค้างบุปผาในจุดตันเถียนเริ่มแตกรากชูใบน้อยๆ อาบลำแสงสีครามเติบโตขึ้น สุดท้ายผลิเกิดเป็นดอกบัวสีครามดอกหนึ่ง ลอยอยู่ในแก่นทองคำ
มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทว่าจิตยังคงอยู่ในภวังค์ควบคุมดอกบัวครามเอาไว้
ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดนัก สมบัติวิเศษทั่วไปจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝนและขัดเกลาเป็นเวลานาน ถึงจะได้วิธีการควบคุมที่ดีที่สุด แต่เจ้าดอกบัวครามนี้ถึงเพิ่งถือกำเนิด พลังงานอ่อนแอมาก มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกว่ามันคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของตัวนางไปแล้ว
เป็นเสมือนกับคนที่กระบี่หลอมรวมใจเป็นหนึ่ง กระบี่นั้นหาใช่กระบี่อีกต่อไป แต่เป็นแขนอีกข้าง
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่าทำไมน้ำค้างบุปผาถึงนับเป็นอาวุธของผู้บำเพ็ญเพียร พลังเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยจริงๆ
เมื่อเก็บค่ายกลคุ้มกัน นักพรตจื่อซีก็เดินเข้ามา “เสร็จแล้วหรือ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า
ยากนักที่นักพรตจื่อซีกลับไม่ถามถึงพลังความสามารถของน้ำค้างบุปผา ดึงศิษย์น้องจากไป
วันเวลาถัดมา มั่วชิงเฉินก็ร่วมมือกับนักพรตจื่อซีล่าน้ำค้างบุปผา
ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่นักพรตจื่อซีบอกกล่าว น้ำค้างบุปผาที่ล่าได้ส่วนมากเป็นสีเขียว มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ล่าสีอื่นได้ เมื่อกลืนลงไปแล้วมักเกิดการสูญสลายไป
ด้วยเหตุนี้เวลาผ่านไปชั่วพริบตาก็กินเวลาสี่ปีแล้ว ในร่างของมั่วชิงเฉิน นอกจากน้ำค้างปทุมหยกอริยะหอมที่ได้รับมาในตอนแรก ก็มีน้ำค้างบุปผาอีกสองชนิดเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
ทว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของนางสูงขึ้นจากการกลืนน้ำค้างบุปผาสีเขียวจำนวนมาก เพิ่มพูนไปจนถึงสุดยอดระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าสู่โลกดวงดาว ในระยะเวลาเจ็ดปีนี้เริ่มทยอยพบหน้ากัน ในระยะแรกยังมีคนต่อสู้เพราะแย่งน้ำค้างบุปผา ถึงขั้นลอบทำร้ายคนก็มี แต่จากการที่ผู้บำเพ็ญเพียรดับสูญไปในเงื้อมือพืชปีศาจและอสูรปีศาจมากขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆ จับกลุ่มเล็ก ผู้พเนจรลำพังจึงหาได้ยากแล้ว
มั่วชิงเฉินจับคู่กับนักพรตจื่อซีตลอด เนื่องจากไฟจริงของมั่วชิงเฉินมีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อลดความยุ่งยาก ทั้งสองจึงไม่เข้าร่วมกับกลุ่มอื่น กลับมีครั้งหนึ่งที่บังเอิญพบนักพรตปี้เหลยที่ไร้กลุ่ม สตรีทั้งสามจึงร่วมทางกัน
เมื่อดำเนินไปเช่นนี้ ไม่ช้าพวกนางก็เริ่มมีชื่อเสียง
วันนี้ทั้งสามร่วมมือกันอย่างเข้าขา จัดการทานตะวันสามดอกขั้นเจ็ดลง ได้รับน้ำค้างบุปผาสีเขียวคนละเม็ดพอดี
นักพรตจื่อซีบี้มุกบุปผาละเอียด กลืนน้ำค้างบุปผาลงไปลวกๆ ยิ้มเอ่ยว่า “พอค่อยๆ คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่แล้ว อันตรายก็น้อยลงมา ซ้ำยังมีน้ำค้างบุปผาให้กินอีก เมื่อคิดว่าอีกสามปีต้องจากก็รู้สึกไม่อยากจากไปอยู่บ้าง”
นางบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับก่อแก่นปราณ เมื่อกลืนน้ำค้างบุปผาสีเขียวลงไปก็ไม่มีการเพิ่มระดับบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว แต่ก็มิได้หมายความว่ากินแล้วไปแล้วจะเสียของ
พลังของน้ำค้างบุปผาเหล่านี้จะซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนและเส้นชีพจร ไหลวนเวียนเป็นรากฐาน เมื่อถึงวันหนึ่งที่เข้าสู่ระดับก่อกำเนิด พลังที่กักเก็บไว้ก็จะปรากฏออกมา เลี่ยงไม่ให้ระดับการบำเพ็ญหยุดนิ่งไประยะหนึ่ง
คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มิใช่มีแค่นักพรตจื่อซีคนเดียว ผู้บำเพ็ญเพียรที่เคยเข้าโลกดวงดาวในปีนั้น ต่อให้ระดับบำเพ็ญต่ำสุดก็อยู่ในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ส่วนมากมักอยู่ในสภาวะเช่นนี้
ทันทีที่คนกลุ่มนี้มีชีวิตรอดออกไป ตอนอยู่โลกดวงดาวกลืนน้ำค้างบุปผาลงไปเพื่อรากฐานที่มั่นคง ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการเลื่อนสู่ระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ซ้ำยังทำให้หลังจากที่พวกเขาบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้วจะยิ่งก้าวหน้าไปได้ไกลขึ้น
มั่วชิงเฉินและนักพรตปี้เหลยกินน้ำค้างบุปผาลงไปเช่นกัน เพราะระดับบำเพ็ญไม่อาจเพิ่มขึ้นอีก จึงไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อย่อยสลายพลังที่เกิดจากน้ำค้างบุปผา จึงคุยสัพเพเหระไปตามหัวข้อของนักพรตจื่อซี
ขณะสนทนาพลันเห็นว่าสีหน้าของนักพรตจื่อซีเปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่จื่อซี เป็นอะไรไป” มั่วชิงเฉินรีบถาม
สีหน้าของนักพรตจื่อซีแปลกพิกล “แก่นทองคำในร่างข้าเคลื่อนไหวเอง คล้ายกับว่าพลังที่สะสมไว้จะทะลวงบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว!”
“อะไรนะ ทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดเองอย่างนั้นหรือ” นักพรตปี้เหลยตะลึง จากนั้นยิ้มร่ากล่าวว่า “สหายจื่อซี ยินดีด้วย!”
ไม่ว่าจะเป็นระดับสร้างรากฐาน ระดับก่อแก่นปราณ หรือว่าระดับก่อกำเนิด ล้วนต้องใช้โอสถเพื่อเป็นตัวชักนำ อย่างเช่นจะเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานก็ต้องมีโอสถสร้างรากฐาน ทะลวงสู่ระดับก่อแก่นปราณก็ต้องใช้โอสถเหยียบเซียน เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดก็ต้องใช้โอสถสีชาด
นอกจากนี้แล้วยังมีสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ต่อให้ไร้โอสถชักนำก็สามารถทะลวงระดับได้ด้วยตัวเอง ในสถานการณ์ประเภทนี้ หมายความว่าโอกาสก้าวข้ามระดับสำเร็จได้มีอยู่มาก
ด้วยเหตุนี้นักพรตปี้เหลยจึงเอ่ยยินดีด้วยความอิจฉา
มั่วชิงเฉินกลับหน้าเปลี่ยนสี “ศิษย์พี่จื่อซี เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี!”