ลำแสงหลากสีพุ่งขึ้นสู่งท้องฟ้าทีละเส้นๆ บรรดาค่ายกลคุ้มกันทั้งหลายต่างไม่เป็นผล เกิดการทะลวงเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดทีละคน
พวกเขาแต่ละคนมีแสงหมุนเวียนอยู่ทั่วร่าง เหนือศีรษะคล้ายมีกลุ่มเมฆรวมตัว เห็นได้ชัดเจนว่าอยู่สภาพใกล้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดเต็มที
แต่ในเวลานี้เองสภาพอากาศแปรเปลี่ยน พืชพรรณสูงใหญ่อยู่แต่เดิมแผ่ขยายไปทั่วสารทิศอย่างคลุ้มคลั่ง จากนั้นสีเขียวก็ปกคลุมแผ่นฟ้าและผืนดินคล้ายกับน้ำทะเลจากแดนไกลไหลทะลักทะลวงเข้ามา ทลายค่ายกลของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแตกสลายในเสี้ยววินาที คนทั้งหลายวิ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต ทว่าวิ่งหนีความเร็วของสีเขียวนั้นไม่พ้น ได้แต่ขุดพลังความสามารถทั้งหมดออกมาดิ้นรนขัดขืน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนฟ้าขยับชิดกันมากขึ้น ในขณะที่เหล่าผู้บำเพ็ญกำลังต่อสู้อย่างถึงขีดสุด
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งท้องฟ้าสว่างวาบ ถัดมาก็ถูกเมฆสีแดงปกคลุม
เมฆแดงนั้นยิ่งขยับก็ยิ่งลดต่ำลงมา รอจนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คนทั้งหลายค่อยพบว่ามันคือดอกไม้สีแดงขนาดยักษ์
ดอกไม้แดงค่อยๆ แลบเกสรออกมา เกษรนั้นส่ายไปมาอย่างคล่องแคล่วหลายสิบเส้น ม้วนเอาผู้บำเพ็ญเข้าไปทีละคนๆ จากนั้นโยนขึ้นไปกลางอากาศ
ผู้บำเพ็ญทุกๆ คนต่างถูกลีบดอกไม้แดงรองรับเอาไว้ ขอบกลีบดอกไม้ปรากฏแสงสีแดง กลายเป็นกรงขังทุกคนเอาไว้ภายใน
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจู่โจมอย่างสุดชีวิต กลีบดอกไม้กลับไม่ขยับเลยสักน้อย ถัดมาเห็นผู้บำเพ็ญเหล่านั้นสั่นสะท้านไปทั่วร่าง คุกเข่าลงที่กลีบดอกไม้ แต่ละคนๆ เข้าสู่ภาวะทะลวงระดับก่อกำเนิด
แสงหลากสีส่องประกายทั่วฟ้า ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ในช่วงบรรลุระดับก่อกำเนิดขึ้นต้น แสงสีแดงพลันหายไปสิ้น กลีบดอกไม้ส่งผู้บำเพ็ญทั้งหมดเข้าสู่เกษรอย่างรวดเร็ว
เส้นเกสรนั้นเสมือนงูมีชีวิต เคลื่อนไหวเข้าไปดูดศีรษะของผู้บำเพ็ญเอาไว้ จากนั้นพลังวิญญาณซึ่งบริสุทธิ์ที่สุดสำหรับชำระล้างร่างกายและสภาวะจิตในยามเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นต้นก็ถูกเกษรดอกไม้ดูดเข้าไป
ทุกคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดทั้งหมดสูญเสียไอวิญญาณในการชำระล้าง สีหน้าหมองคล้ำลง ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ได้แต่มองเกษรดอกไม้ดูดศีรษะเอาไว้ ดูดกลืนพลังไป
ไม่ช้า ผิวพรรณของผู้บำเพ็ญที่มีรูปโฉมงดงามหรือว่าหล่อเหลาก็กลายเป็นสีเหลืองแห้ง เปลี่ยนเป็นคนชราผิวเหี่ยวย่นในฉับพลัน
เกสรดอกไม้ยังคงดูดกลืนพลังอยู่ สุดท้ายพลังก็ถูดูดจนหมดเกลี้ยง ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นชราจนไม่อาจอธิบายได้ แก่ตายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เส้นเกสรสะบัดเบาๆ ร่างแก่ชราของผู้บำเพ็ญก็ถูกสะบัดลงสู่พื้นดิน ไม่มีภาพเลือดสดไหลนองพื้น แต่เป็นเพียงเสียงดัง ตุบ ศพกลายเป็นกองธุลีกองหนึ่ง
เป็นเช่นนี้แล้วก็ยังไม่จบสิ้น รากขนาดใหญ่หลายเส้นพลันชำแรกขึ้นมาจากพื้นดิน ดึงกองธุลีไปที่ใต้ลำต้น ดูดรับเข้าไปจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้แสงสีแดงส่องสว่างวูบ ดอกไม้ขนาดนั้นหายไปแล้ว ลำแสงก็หายไปเช่นกัน ปรากฏหญิงสาวรูปโฉมงดงามนางหนึ่งขึ้นที่นั่น
สตรีนางนั้นสองเท้าเปลือยเปล่าลอยอยู่กลางอากาศ ริมฝีปากบางเฉียบกำลังพูดอะไรบางอย่าง
ในเวลานี้เองภาพเหตุการณ์สั่นไหว ภาพทุกอย่างสลายไปในเสี้ยววินาที แสงดาวเจิดจรัส กระดานดารากลับสู่สภาพดวงดาวทอประกายเต็มไปหมด
เสียงร้องดังขึ้น นักพรตเฟยหยางร่างกายโงนเงนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
กระดานดาราหมุนช้าลง ตกลงสู่พื้นดิน กระแทกกับกระดองเต่าที่กลายเป็นกระดานกลม ส่งเสียงดังใสขึ้นมา
เสียงดังใสนั้นปลุกทุกคนที่ตกอยู่ในสภาพเหตุการณ์น่าตระหนกเมื่อสักครู่ให้ได้สติ มองหน้ากันไปมา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าซีดเผือด
เพราะว่าคนในเหตุการณ์นั้นแต่ละคนเป็นคนคุ้นเคย รวมไปถึงตัวเองด้วย!
“สหายเฟยหยาง เหตุการณ์เมื่อครู่…” นักพรตจื่อจั้นเป็นคนมีนิสัยเข้มแข็ง เวลานี้สีหน้าก็ไม่น่ามองเช่นกัน
นักพรตเฟยหยางปาดเลือดที่ริมฝีปากออก น้ำเสียงฟังแล้วอ่อนแออยู่บ้าง “นั่นคือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
ทุกคนต่างกลัดกลุ้มคันคะเยอใจ ครั้นได้ยินคำตอบชัดเจนของนักพรตเฟยหยางแล้ว ยังรู้สึกว่ากังวลใจคล้ายถูกทำร้ายอย่างรุนแรง
ไม่ว่าใคร เมื่อได้เห็นตัวเองประสบชะตากรรมน่าหวาดกลัวเช่นนั้นในอนาคตอันใกล้ ก็ไม่มีทางสงบจิตใจได้ทั้งนั้น
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอมตายอย่างอ่อนแอเช่นนั้นเด็ดขาด!” เสียงปังดังขึ้น ปีศาจร่างใหญ่ปล่อยหมัดออกอย่างรุนแรง แลดูทรงอานุภาพน่าหวาดกลัวนัก แต่ด้วยความที่ฟันหน้าสองซีกที่หายไป ทำเอาความน่าเกรงขามหายไปด้วย
ในโลกดวงดาวแห่งนี้ เพราะสาเหตุอันใดไม่รู้ ผู้บำเพ็ญไม่เพียงแต่ไม่สามารถใช้กระบี่บินหรือสมบัติวิเศษในการโจมตีได้ ท่ามกลางการต่อสู้จึงเกิดความเสียหายอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับเวลาอยู่ด้านนอกที่กินโอสถวิเศษก็สามารถเกิดใหม่ได้แล้ว แต่ในขณะที่กินโอสถวิเศษจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมากเพื่อย่อยสลายอีกด้วย
ในโลกดวงดาวที่เต็มไปด้วยภยันตราย ความสูญเสียที่ไม่เจ็บไม่คันอย่างฟันหลุด ขอหัวยังอยู่บนบ่า ก็ไม่มีทางยอมสูญเสียพลังวิญญาณไปแน่
ครั้นเห็นมารบำเพ็ญเพียรฟันหน้าหลอเช่นนี้ คนทั้งหลายกลับไม่มีอารมณ์ขำ พากันมองไปที่นักพรตเฟยหยางโดยมิได้ต้องนัดหมาย
“สหายเฟยหยาง ไม่ทราบว่าเจ้ามีแผนการรับมือหรือไม่” นักพรตจื่อจั้นถาม
นักพรตเฟยหยางมองทุกคนคราหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าถนัดวิชาทำนายดวงดาวเท่านั้น เรื่องอื่นๆ หาได้โดดเด่นเท่าทุกท่าน แต่ข้าอยากเตือนทุกท่านไว้เรื่องหนึ่ง คิดหยุดยั้งภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น วิธีการเดียวที่ทำได้น่าจะเป็นหยุดไม่ให้ดวงอาทิตย์และพระจันทร์บรรจบกัน!”
ครั้นคำพูดเอ่ยออกมา ทุกคนแหงนหน้าขึ้นฟ้า เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่ห่างกัน แต่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้อย่างมั่นคง พลันรู้สึกขึงเครียดขึ้นมา
“ทำอย่างไร ถึงจะหยุดสุริยันจันทร์ปรากฏได้” ปีศาจบำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งนามซื่อเหนียงเอ่ย
นักพรตเฟยหยางกระดกมุมปากยิ้ม “นั่นหาใช่สิ่งที่ข้าตอบได้แล้ว”
นักพรตจื่อจั้นนิ่วหน้า ก่อนกล่าวว่า “สหายเฟยหยาง เวลานี้ทุกคนก็เหมือนมดบนเส้นเชือกเดียวกัน คิดผ่านด่านนี้ไป หากทุกคนเป็นศัตรูกันก็คงตายสถานเดียว มีเพียงร่วมแรงร่วมใจหาแผนรับมือถึงมีโอกาสรอด สหายทุกท่านในที่นี้นอกจากสหายเฟยหยางที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงดาวแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอื่นๆ อีกหรือไม่”
ถึงแม้นักพรตจื่อจั้นเอ่ยวาจาเหล่านี้ตามตรง กลับมีท่าทางซื่อสัตย์จริงใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ให้ความรู้สึกบีบคั้นคนเลย
นักพรตเฟยหยางหลุบตาลงนิ่งเงียบสักพักหนึ่ง จากนั้นสีหน้าสงบเอ่ยว่า “ข้าคงทำได้แต่ทำนายอีกครั้ง คำนวนเวลาที่อาทิตย์และจันทราได้พบกันและเส้นทางโคจรของมัน แต่ข้าจะสูญเสียพลังทั้งหมดไปในการทำนายนี้ เมื่อจบเรื่องก็ไม่มีแรงต่อสู้อีก”
ครั้นเอ่ยจบนักพรตเฟยหยางมองทุกคนเงียบๆ ไม่ส่งเสียใดอีก
นักพรตจื่อซีชิงก้าวออกมาก่อน กดมือไว้ที่หัวใจเอ่ยว่า “ข้าซูจื่อซีขอสาบานด้วยใจ หากนักพรตเฟยหยางทำนายวันเวลาที่อาทิตย์และดวงจันทร์บรรจบกัน ข้าจะร่วมต่อสู้กับเขา ไม่มีทางทอดทิ้งสหายร่วมรบเด็ดขาด!”
บรรยากาศในที่นี้เงียบสงบ สายตาทุกคนตกอยู่ที่นักพรตจื่อซี
นักพรตจื่อซีเชิดหน้า ดวงตาหงส์กระตุก “พวกเจ้ายังรออะไรกันอีก ตอนนี้ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นคิดเล็กน้อยน้อยไม่เลิก หรือว่าจะรอให้มีจุดจบอย่างที่เห็นแล้วค่อยเสียใจภายหลังกัน”
คำพูดนี้เตือนสติทุกคน ทั้งหมดต่างพากันสาบาน
นักพรตเฟยหยางกลืนโอสถคำหนึ่ง หยิบผลึกแก้วออกมาทำเป็นลูกกลมเกลี้ยง เมื่อมือกดลงไปก็ค่อยๆ ดูดกลืนแสงวิญญาณ
ผ่านไปสักพักผลึกแก้วกลมดับแสงลง มือเขาคว้าหมับที่กระดานดารา ถัดมาลำแสงเล็กๆ ที่ปลายนิ้ว ไล่เป็นเส้นวงโคจรที่กำหนดไว้ลากขึ้นบนกระดานดารา
บริเวณบนกระดานดาราที่ปลายนิ้วลากผ่านจะเกิดแสงดาวทอประกาย
ยามที่กระดานดาราปรากฏกลุ่มดาว นักพรตเฟยหยางโยนกระดานดาราขึ้นบนอากาศ เพียงแต่เวลานี้กระดานนั้นหันด้านหลังให้ทุกคน ไม่มีใครเห็นภาพบนกระดาน เพียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนักพรตเฟยหยาง ปลายนิ้วส่งลำแสงวิญญาณออกไปไม่หยุด
ภายหลังความไวของนักพรตเฟยหยางช้าลงเรื่อยๆ เขามักจะขมวดคิ้วแน่นค่อยเคลื่อนไหว
เวลาเคลื่อยคล้อยผ่านไป นักพรตเฟยหยางสีหน้าซีดเซียวลงทุกที มีครั้งหนึ่งที่ร่างกายโงนเงนจนเกือบล้มพับลงพื้น
ทุกคนเฝ้าดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน คิดเข้าไปช่วยพยุง ทั้งกลัวรบกวนการทำนายของเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว กระดานดาราพลันสว่างวาบ นักพรตเฟยหยางกระอักเลือดใส่กระดานดารา ร่างกายโซเซล้มลงกับพื้น
นักพรตจื่อนจ้านด้านข้างรีบเข้าไปพยุงเขาไว้ “สหายเฟยหยาง เป็นอย่างไรบ้าง”
นักพรตเฟยหยางยิ้ม ชี้นิ้วไปที่กระดานดารากลางอากาศ น้ำเสียงอิดโรย “เจ็ดวัน ยามเหม่า[1]ตรงเจ็ดวันให้หลัง คือวันที่พระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรมาพบกัน พวกท่านดู นี่ก็คือเวลาที่พระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรมาบรรจบกัน…”
พูดมาถึงตอนนี้ลมหายใจติดขัด เกินจะพูดต่อไปอีก
มารบำเพ็ญเพียรฟันหลอมีชื่อว่าโจวจงอวี่ รีบร้อนเอ่ยขึ้นมาว่า “มาบรรจบกันแล้วจะเป็นอย่างไร”
มั่วชิงเฉินยื่นขวดหยกมา เอ่ยเสียงต่ำว่า “สหายเฟยหยาง นี่คือโอสถฟื้นฟู เจ้ากินลงไปก่อนเถอะ”
นักพรตเฟยหยางเงยหน้ามองมั่วชิงเฉิน รับขวดหยกไปเงียบๆ ครั้นเห็นสีของโอสถฟื้นฟูก็อดตะลึงไม่ได้ จากนั้นมองมั่วชิงเฉินอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณมาก”
พูดจบเขาก็กลืนยาลงไป ไม่ช้าสีหน้าก็ดีขึ้นไม่น้อย
ถึงผลลัพธ์ของโอสถฟื้นฟูที่มั่วชิงเฉินนำออกมาจะน่าตกตะลึง แต่เวลานี้ทุกคนกลับไม่ทันใส่ใจ เพียงแค่รอนักพรตเฟยหยางเอ่ยต่อไป
นักพรตเฟยหยางถอนหายใจเบาๆ เอ่ย “ตะวันจันทราเคลื่อนคล้อยผ่านกันเป็นเส้นทางคู่ขนานกลับตาลปัตร จากนั้นค่อยวนเวียนกลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งมาพบกัน นั่นก็หมายความว่า ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่โคจรอ่อนแอที่สุด หากพวกเราคิดจะหยุดยั้ง มีทางเดียวก็คือลงมือจากตรงนั้น”
ทุกคนตั้งอกตั้งใจฟัง พลันสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่มาจากไกลๆ อดไม่ได้มองตามไป ที่ไกลออกไปมีควันฟุ้งออกมาทั่วสารทิศ เงาร่างของคนสายหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ช้าคนผู้นั้นก็เข้ามาใกล้ ค่อยมองเห็นร่างกายสูงใหญ่แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน
“มาทันเสียที” เวยเซิงลิ่วกุมหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย จากนั้นสายตามองไปที่หน้ามั่วชิงเฉิน แววตาเผยแววยินดี พุ่งเข้าไปเอ่ยด้วยความยินดีมาก “สหายมั่ว เจ้าก็อยู่นี่หรือ!”
มั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกว่ามีสายตานับสิบคู่มองมาที่นาง เส้นเอ็นที่ขมับเต้นตุบๆ กัดฟันเอ่ยว่า “ถูกแล้ว”
เวยเซิงลิ่วคลายใจ “ข้าก็ว่า ไม่ได้พบเจ้าหลายปีแล้ว ยังคิดว่าเจ้าถูกปีศาจดอกไม้กินลงไปแล้ว”
มั่วชิงเฉินหน้าคล้ำง้ำงอ “ขอบคุณสหายเวยที่เป็นห่วง”
ซื่อเหนียงปีศาจบำเพ็ญเพียรทนดูไม่ไหว ดึงเวยเซิงลิ่วเอ่ยว่า “เวยเซิง เจ้ามานี่”
ร่างสูงใหญ่ของเวยเซิงลิ่วถูกซื่อเหนียงดึงจนซวนเซ ครั้นได้ยินคำบอกเล่าของซื่อเหนียง พลันโพล่งออกมาว่า “อะไรนะ เจ้าบอกว่าข้าถูกปีศาจดอกไม้ดูดกลืนจะแห้ง จากนั้นศพกลายเป็นผุยผง กลายเป็นปุ๋ยอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าดูผิดแล้ว”
ซื่อเหนียงหัวเราะเย็นชา “ไม่เชื่อเจ้าก็ถามทุกคนสิ ในเหตุการณ์มีเจ้าอยู่หรือไม่”
ทุกคนพากันพยักหน้า
ซื่อเหนียงตบบ่าเวยเซิงลิ่ว “คราวนี้เชื่อแล้วสิ ไม่ใช่แค่เจ้า พวกเราทั้งหมดล้วนอยู่ในนั้น ใครก็หนีไม่พ้น!”
ครั้นเอ่ยมาถึงเวลานี้ บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงก็หนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง
เวลานี้สื่ออิ่นกลับลุกขึ้นมา จ้องมั่วชิงเฉิน เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ไม่สิ ในภาพนิมิตนี้ ขาดคนไปคนหนึ่ง!”
——
[1] เวลา 5.00-7.00น.