บทที่ 349 ร่างหยินทมิฬ
เมื่อเข้ามาในห้อง หลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มทันที “สามี ภรรยาของท่านมาแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไรตอบโต้นาง แต่เขากลับยื่นหยกจันทราเยือกแข็งให้กับหลิวเฟ่ยเฟ่ยแทน
หลังจากฝึกฝนวิชาดรุณีเยือกแข็งมาเป็นเวลานาน หลิวเฟ่ยเฟ่ยจึงรู้ดีว่านางต้องการอะไร นางเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่เลือกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเลือกหยกจันทราเยือกแข็ง จากตำหนักเทพเหมันต์
นั่นเป็นเพราะหลิงตู้ฉิงต้องการนำหยกจันทราเยือกแข็งมาให้กับนาง
“สามี ข้าคิดว่าหากข้าหลอมรวมหยกจันทราเยือกแข็งเข้ากับร่างกายของข้าเมื่อไหร่ ข้าคิดว่าร่างของข้าคงจะต้องบรรลุไปถึงระดับ ร่างหยินทมิฬ แน่นอน!” หลิวเฟ่ยเฟ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง! และเมื่อร่างกายของเจ้าพัฒนาจนไปถึงระดับร่างหยินทมิฬเมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!”
“เป็นเพราะข้า สามีของข้าเลยไม่ได้รับกระดูกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วยจริง ๆ ”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “มันก็แค่กระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเดียวเท่านั้นเอง สำหรับข้ามันก็เป็นแค่วัตถุที่ไว้ใช้สร้างสมบัติวิเศษเท่านั้น ถ้าข้าอยากได้มันในไม่ช้าก็เร็วข้าก็หามันมาได้ไม่ยากนักหรอก”
“ซึ่งถ้านำมาเทียบกับการที่จะทำให้เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬนั้นย่อมสำคัญกว่าแน่นอน ถึงแม้ว่าเจ้าจะบรรลุพลังไปถึงระดับน้ำแข็งทมิฬได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับมี่ไลและคนอื่น ๆ เจ้าก็ยังคงอ่อนแอกว่า แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าพัฒนาร่างกายไปถึงระดับร่างหยินทมิฬได้ ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของพลังของเจ้าและคนอื่น ๆ ก็จะหมดไป”
“เข้าใจแล้วสามี งั้นข้าจะพัฒนาร่างของข้าให้เร็วที่สุด!” แต่ก่อนที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยจะจากไป นางก็เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง “ว่าแต่สามี ก่อนข้าจะไปท่านต้องการให้ข้าปรนนิบัติท่านก่อนไหม?”
“ไม่จำเป็น ตอนนี้เจ้าจงรีบไปพัฒนาร่างของเจ้าก่อนเถอะ!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้น “กล้วยไม้หยกนั่นมันจะปรากฏขึ้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นเจ้าจงรีบพัฒนาร่างของเจ้าให้เร็วที่สุด”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยพยักหน้า พลางหยิบหยกจันทราเยือกแข็ง และรีบเดินกลับห้องของนางเพื่อไปฝึกฝนต่อทันที
และในขณะเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงเสร็จสิ้นจากการเตรียมการทุกอย่างให้กับคนในครอบครัวของเขา ปิงยู่หลางและครอบครัวของเขาก็มาถึงที่เรือนพอดี
เนื่องจากที่อยู่ของหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้ถูกปกปิดเป็นความลับอะไรนัก ฉะนั้นมันจึงหาได้ง่ายมากและโดยเฉพาะถ้าหากยังไม่พูดถึงที่ลั่วหยุนก็ได้เอ่ยบอกไว้กับพวกเขาแล้วเช่นกัน
“ท่านหลิง ข้าน้อยผู้นี้คือ ปิงเจิ้งซู จากตำหนักเทพเหมันต์ ที่ข้ามาเยี่ยมท่านในครั้งนี้เนื่องจากข้าอยากจะฝากลูกชายของข้า ปิงยู่หลาง ให้ติดตามท่านไปสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เมื่อถึงเวลานั้นโปรดท่านกรุณาช่วยดูแลลูกชายของข้าด้วย!” ปิงเจิ้งซูพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเคารพ
ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะเชื่อลั่วหยุน และพาลูกชายของเขามาพบหลิงตู้ฉิงล่วงหน้า
เมื่อพูดจบเขาก็มอบวัสดุ 15 ชิ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “นี่เป็นวัสดุทั้งหมดที่ท่านหลิงต้องการ ทางเราได้เตรียมพวกมันมาให้ท่านที่นี่ทั้งหมดแล้ว โปรดเชิญตรวจสอบดูก่อน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นก็ให้ลูกชายของเจ้ามาอยู่กับข้าก่อน ข้าสามารถนำเขาเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วยกันกับข้าได้ แต่ข้าจะทำเพียงแค่นำเขาเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเท่านั้น หลังจากเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกของเจ้าด้านในข้าจะถือว่าไม่ใช่เรื่องเรื่องของข้าอีกต่อไป จะว่าไปถ้าลูกชายของเจ้ากลายเป็นศัตรูของข้าในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าก็อาจจะไม่ละเว้นเขา”
ปิงเจิ้งซูขมวดคิ้วแล้วยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นแน่นอนท่านหลิง!”
ปิงเจิ้งซูตอบพลางคิดในใจว่า เนื่องจากทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน มันจึงน่าจะเป็นไปยากที่พวกเขาจะกระทบกระทั่งกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ
หลิงตู้ฉิงสลับมองไปยังปิงเจิ้งซู และปิงยู่หลาง จากนั้นก็หันกลับไปมองที่ปิงเจิ้งซู และพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าส่งเขาเสร็จเรียบร้อย เจ้าก็จงออกไปได้แล้ว”
คิ้วของปิงเจิ้งซูกระตุก เขายังคงฝืนยิ้มและพูดว่า “นอกจากลูกชายของข้าแล้วยังมีคนรับใช้เก่าที่จะคอยดูแลลูกชายของข้า ข้าหวังว่าท่านหลิงจะอนุญาตให้เขาอยู่ด้วย”
“อืม!” หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้ปิงเจิ้งซูออกไป
ปิงเจิ้งซูแอบส่ายหัวอย่างลับ ๆ โดยคิดว่าเขาเองที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ซึ่งกำลังจะทะลวงไปสู่ขอบเขตถัดไปได้อยู่แล้ว แต่หลิงตู้ฉิงกลับทำตัวหยาบคายกับเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าในอดีตเขาจะวิเศษวิโสมากสักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขายังอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เพียงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาควรจะทำตัวให้เกียรติผู้อื่นบ้างสักหน่อยจะไม่ได้เลยงั้นเหรอไง?
แม้ว่าเขาจะพึมพำในใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากสั่งปิงยู่หลางแล้วเขาก็ทิ้งคนรับใช้ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักบุญไว้ให้ปกป้องลูกชายของเขา จากนั้นเขาจึงออกจากเรือนของหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
แน่นอนว่าเขายังไม่ได้กลับไปที่ตำหนักเทพเหมันต์ เนื่องจากปรากฎการณ์การเบ่งบานของกล้วยไม้หยกที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหยูหลัน ปิงเจิ้งซูจึงตั้งใจว่าจะอยู่รอดูปรากฎการณ์นี้ให้จบก่อน จากนั้นเขาค่อยจากไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถอาศัยโอกาสนี้ในการจับตาดูหลิงตู้ฉิงได้อย่างใกล้ชิดด้วยอีกต่างหาก
ปิงยู่หลางรอจนกระทั่งพ่อแม่ของเขาจากไป ก่อนที่เขาจะยิ้มและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “พี่หลิง โปรดดูแลข้าด้วย”
เขามองไปที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาจึงไม่ต้องการที่จะเรียกหลิงตู้ฉิงว่า ‘ท่าน’ แต่เขาใช้คำพูดว่า ‘พี่’ แทน ซึ่งทำให้พวกเขาดูสนิทกันมากขึ้น
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ปิงยู่หลาง และพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “เฟิง บอกกฎที่นี่กับเขา”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจปิงยู่หลางอีกต่อไป และไม่สนใจถึงความเจ้าชู้ของปิงยู่หลางด้วยซ้ำ
เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงกำลังจะบอกปิงยู่หลางเกี่ยวกับกฎ สีเป่ยเซียะก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลานชายของนาง
นางได้พบกับหลิงตู้ฉิงมาแล้วอยู่ 2-3 ครั้ง แถมยังคุ้นเคยกับเย่ชิงเฉิงอยู่พอสมควร ดังนั้นนางจึงทำตัวตามสบายเมื่อมาหาหลิงตู้ฉิงรอบนี้
“ดูเหมือนว่ารอบนี้ท่านจะได้ลาภไปไม่น้อยเลยสินะ?” สีเป่ยเซียะพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ที่ท่านเลือกที่จะปฏิเสธกระดูกศักดิ์สิทธิ์ไปนั้น ข้าว่ามันดูน่าเสียของไปสักหน่อย ท่านน่าจะลองคำนึงถึงข้อที่ว่าสันเขาทรราชสามารถนำเอากระดูกศักดิ์สิทธิ์ออกมาประมูลได้ มันก็ต้องแสดงว่าพวกเขาได้นำของล้ำค่าหลายอย่างติดตัวมาแน่นอน ถ้าเป็นข้า ข้าจะรีดพวกเขาให้หมดตัวกันเลยทีเดียว”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าสักหน่อย!”
สีเป่ยเซียะหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ช่างมันเถอะเรื่องมันก็ผ่านไปแล้วน่ะนะ นี่คือหลานชายของข้าชื่อ สีอี้เฉิง ในเมื่อไหน ๆ เราก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ฉะนั้นข้าขอฝากวานท่านช่วยดูแลหลานชายคนนี้ให้ข้าจนกว่าประตูเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดขึ้นสักหน่อยก็แล้วกัน! ว่าแต่ ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลย สรุปแล้วท่านจะเข้าไปด้านในด้วยรึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับว่า “ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าข้ามีหน้าที่แค่มอบสิทธิ์ให้กับพวกเจ้าและข้าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นให้อีก แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าดูแลคนของเจ้าแล้วจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าก็จงกลับไปที่สำนักของเจ้าแล้วนำแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์มาให้กับข้า แล้วข้าจะตกลงดูแลคนของเจ้าให้”
สีเป่ยเซียะตะคอก “ท่านนี่มันอภิมหาหน้าเงินจริง ๆ อะไร ๆ ก็เป็นเงินเป็นของล้ำค่าไปหมด! ช่างเถอะข้าขี้เกียจจะคุยอะไรต่อกับท่านแล้ว ข้าจะไปหาน้องชิงเฉิง น้องชิงเฉิงอยู่ที่ไหนกันตอนนี้? ส่วนอี้เฉิง เจ้านั่งรอป้าอยู่ที่นี่และดูลุงหลิงของเจ้าหลอมโอสถ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของป้าของเขา เหงื่อเม็ดโต ๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของสีอี้เฉิงอย่างช่วยไม่ได้ นี่นางกำลังขอให้เขาเรียกหลิงตู้ฉิงว่าลุงงั้นเหรอ?
ในแง่ของวิถีการบ่มเพาะ เขานั้นอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราแล้วแถมเขายังไม่ชอบการหลอมโอสถอีกต่างหาก
“เอ่อ…ท่านป้า ข้าคิดว่าข้าจะขอตัวไปนั่งรออยู่ด้านนอกเพื่อบ่มเพาะสักหน่อย เอ๊ะจริงสิ! เมื่อครู่ข้าเห็นว่าคนของตำหนักเทพเหมันต์ก็มาที่นี่เช่นกัน ข้าขอไปทักทายพวกเขาสักหน่อยจะดีกว่า เผื่อไว้เมื่อถึงเวลาที่ข้ากับพวกเขาไปเจอกันข้างใน หากมีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือกันได้”
สีเป่ยเซียะมองไปที่สีอี้เฉิงที่จากไปและถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่เข้าใจเลยใช่ไหมว่านางกำลังให้โอกาสเขา? นางหันกลับมาและถามหลิงตู้ฉิง “ท่านคิดอย่างไรกับหลานชายของข้า?”
“ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับลูกชายของข้า” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้านิ่ง
“ข้าเองก็รู้สึกว่าพื้นฐานของเขาไม่ค่อยจะดีนัก หลานข้าคนนี้เกิดจากผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนภานั่นแหละ น้องชายของข้าตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นเข้าอย่างจังเลยทีเดียว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมน้องชายของข้าถึงไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลยว่าจะให้ใครได้รับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงไปนอกจาก อี้เฉิง” สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ว่าแต่เต๋าอักขระเวทย์และค่ายกลของท่านนั้นลึกล้ำเป็นอย่างมาก ทำไมท่านถึงไม่ช่วยชี้แนะให้น้องชายของข้าบ้าง ข้ารู้สึกว่าเขาน่าจะไปได้สวยกับเต๋าอักขระเวทย์อยู่พอสมควร”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เราค่อยคุยกันเรื่องนี้เมื่อถึงเวลา!”
สีเป่ยเซียะหัวเราะ “งั้นก็เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เศษดาวหางทองคำก้อนนี้ถือว่าเป็นค่าชี้แนะของน้องชายข้าล่วงหน้า!”
หลิงตู้ฉิงรับเศษดาวหางทองคำที่ถูกโยนมาโดยไม่พูดอะไร
สีเป่ยเซียะไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ต่อ แต่ถามเรื่องอื่นต่อ “โอ้ใช่แล้ว ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าน้องชิงเฉิงไปไหน ข้าอยากจะคุยกับนางสักหน่อย”
เมื่อนึกถึงเศษดาวหางทองคำ หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “จื่อรุ่ย ไปรายงานนายหญิงเยว่ของเจ้าที”