บทที่ 430 ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของอาณาจักรจันทรา
การเคลื่อนไหวของอาณาจักรหลงซาน ทางอาณาจักรจันทราก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน แต่โชคร้ายที่ในตอนนี้บรรดาผู้คนที่มีอำนาจตัดสินใจ ต่างอยู่ภายในคฤหาสน์สราญรมย์ทั้งหมดและพวกเขาก็ยังไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ
ทุกคนยังคงฟังหลิงตู้ฉิงอย่างตั้งใจ
ครั้งนี้หลิงตู้ฉิงใช้เวลาในการบรรยายมานานกว่า 1 เดือนแล้ว แต่มันก็ยังไม่จบ
ในสถานการณ์เช่นนี้บรรดาข้าราชบริพารในราชสำนักต่างก็กระวนกระวายกันเหมือนมดบนกระทะร้อน
จากนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นเหล่าข้าราชบริพารระดับสูง จึงเริ่มออกคำสั่งให้กองทัพที่อยู่ในแนวหน้าชะลอการรุกคืบของกองทัพจำนวนมหาศาลของอาณาจักรหลงซานให้ได้นานที่สุด เพื่อประวิงเวลารอให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายออกมาจากคฤหาสน์สราญรมย์
แต่ยังไงซะ ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งจำนวนของทหารในกองทัพหลักและจำนวนของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่แตกต่างกันมากจนเกินไป กองทัพของอาณาจักรจันทราที่อยู่แนวหน้าจะเอาอะไรไปต่อกรกับอาณาจักรหลงซานได้?
ส่งผลให้ดินแดนจำนวนมากที่อาณาจักรจันทราได้เคยยึดครองเอาไว้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกอาณาจักรหลงซานบุกเข้ายึดแทนไปอย่างรวดเร็วเรื่อย ๆ และที่สำคัญอาณาจักรหลงซานเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะชะลอการเดินทัพลงเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงเร่งมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงของอาณาจักรจันทราโดยไม่หยุดพัก
ผ่านไปเกือบ 2 เดือน ในที่สุดการบรรยายของหลิงตู้ฉิงก็จบลง หลังจากการบรรยายจบลงทุกคนก็ออกจากคฤหาสน์สราญรมย์ ซึ่งแน่นอนว่าแค่เพียงก้าวแรกที่หลิงยี่เทียนก้าวออกจากคฤหาสน์สราญรมย์ เขาก็ได้รับรายงานข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรหลงซานที่กำลังรุกรานพวกเขา
“ฝ่าบาท กองทัพของอาณาจักรหลงซานที่บุกเข้ามานั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญมากกว่า 400 คน ซึ่งจำนวนคนของเราไม่มีทางเทียบได้กับพวกเขา ส่งผลให้ในตอนนี้แนวป้องกันของเราในทุกด้านถูกพังทลายลงอย่างย่อยยับและพวกเราเหลือเกาะอยู่อีกเพียงไม่กี่เกาะเท่านั้นที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้จากเมืองหลวงของเรา!” ขุนนางผู้หนึ่งรายงานกับหลิงยี่เทียนด้วยอาการตื่นตระหนก
ใครจะคิดว่าฝั่งตรงข้ามจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญมากกว่า 400 คน? แม้ว่ามันจะเป็นเพียงระดับสวรรค์สามัญ แต่สำหรับในทะเลชางหมางนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุดเท่าที่จะดำรงอยู่ได้และได้จำนวนที่มากขนาดนี้ มันก็ถือเป็นหายนะอันใหญ่หลวงสำหรับกองทัพของพวกเขา ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่าขุนนางของเขาจะมีอาการแตกตื่น
หลิงยี่เทียนยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ไอ้พวกนี้มาได้ถูกเวลาดีจริง ๆ … เอาล่ะ เจ้าจงส่งคำสั่งของข้าออกไปให้บรรดาทหารของเราที่อยู่ในแนวหน้าทุกคนถอยกลับมาให้หมดเพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ให้ได้มากที่สุด และเมื่อพวกเขาถอยกลับมายังพื้นที่ปลอดภัยแล้วก็ให้พวกเขารักษาอาการบาดเจ็บและเก็บกำลังเอาไว้ เพื่อรอคำสั่งของข้าต่อไปอีกที”
หลิงยี่เทียนยังไม่สามารถโจมตีสวนกลับกองทัพของอาณาจักหลงซานได้ในตอนนี้ เนื่องจากบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาระดับสูงของเขาทั้งหมดต่างพึ่งฟังการบรรยายของพ่อเขาจบ ซึ่งพวกเขาต้องใช้เวลาในการซึมซับข้อมูลต่าง ๆ ที่พึ่งได้รับมา ไม่เช่นนั้นทั้งพ่อของเขาและคนเหล่านี้ทุกคนที่พึ่งได้รับฟังการบรรยายไปจะเสียเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาไปโดยเปล่าประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเนื้อหาการบรรยายอันไม่ธรรมดา หลิงยี่เทียนแน่ใจว่าเมื่อทุกคนได้ทำความเข้าใจและซึมซับเนื้อหาได้ทั้งหมดแล้ว พลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอนและเมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะไปกลัวอะไรกับอีแค่อาณาจักรหลงซาน?
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้พ่อของเขาได้กลับมาอยู่ที่คฤหาสน์สราญรมย์แล้ว นี่ยิ่งเป็นเหตุผลที่เขายิ่งไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
บรรดาขุนนางที่ได้ยินคำสั่งเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกใจเสีย ทำไมจักรพรรดิของพวกเขาถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้กัน? ศัตรูกำลังมุ่งหน้าเข้ามาแล้วทำไมเขาถึงไม่ออกคำสั่งจัดทัพใหม่และโจมตีพวกมันสวนกลับไป?
ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักบางคนเริ่มมีความรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนเองเกิดขึ้น
ทางด้านของหลิงยี่เทียนก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอะไรยังไง เขาทำเพียงแค่บอกให้ทุกคนทำความเข้าใจให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
สำหรับตัวเขาเอง เขาก็ยังคงรั้งอยู่ที่คฤหาสน์สราญรมย์เพื่อหลอมรวมผลึกดวงใจสวรรค์ไว้ในห้วงจิตสำนึกของเขา และใช้ดวงจิตที่แท้จริงของเขาทำความเข้าใจความสามารถของมัน
ด้วยการขยายตัวของอาณาจักรจันทราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ได้ก้าวไปสู่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 5 แล้ว
พลังศรัทธาที่ได้มาจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและเหล่าปวงประชาได้ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และมันก็ผลักดันระดับการบ่มเพาะของเขาให้ไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดารา ต่อให้เขาจะพยายามจนถึงที่สุดที่จะข่มการบรรลุระดับไว้เพื่อให้รากฐานการบ่มเพาะของเขามั่นคงที่สุด ไม่เช่นนั้นหากเขาไม่ข่มไว้ระดับการบ่มเพาะของเขา ในตอนนี้คงไปไกลกว่าตอนนี้เป็นอย่างมาก
สำหรับกลุ่มคนในคฤหาสน์สราญรมย์ที่ข่มระดับการบ่มเพาะของพวกเขาเองเช่นกัน หลังจากที่พวกเขาฟังการบรรยายของหลิงตู้ฉิงจบ พวกเขาเองก็ไม่สามารถข่มการทะลวงขอบเขตของตนเองได้อีกต่อไป และพากันทะลวงสู่ขอบเขตรวมแสงดารา
ยกตัวอย่างเช่น จ้าวเหมิงลู่ที่เพิ่งจะบรรลุระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณเมื่อไม่นานมานี้และพลังวิญญาณในร่างกายของนางก็พร้อมที่จะทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดาราได้ทุกเมื่อถ้าหากนางไม่ข่มมันเอาไว้ แต่แล้วหลังจากได้ฟังการบรรยายของหลิงตู้ฉิง ไม่เพียงแต่นางจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดาราได้เท่านั้น นางยังได้เริ่มฝึกเพลงกระบี่เผาผลาญและเร้นคมกระบี่อีกด้วย
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่เพิ่งทะลวงขอบเขตมาเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากฟังการบรรยายจบพวกนางจึงยังคงไม่มีการพัฒนาอะไรขึ้นไปอีกสักเท่าไหร่
ส่วนเย่ชิงเฉิงได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว เหลียงเฟ่ยเอ๋อได้ทะลวงผ่านขอบเขตรวมแสงดารา และโจวจื่อซินนั้นอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นนางจะเข้าสู่ระดับหลุดพ้นสามัญ
แต่ก็ยังมีบางคนในตระกูลหลิงที่ยังไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตรวมแสงดาราได้
หนึ่งในนั้นก็คือ หลิงไช่หยุน ที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุระดับ 14 ของขอบเขตประสานทะเลปราณ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดารา
และอีกคนก็คือ หลิงยู่ชาน ที่หลังจากการฟังการบรรยายของหลิงตู้ฉิงจบ ระดับการบ่มเพาะของเขาก็มาถึงระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณแล้ว ดังนั้นการทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดาราจึงอยู่ใกล้แค่เอื้อม
และคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ทะลวงเข้าขอบเขตรวมแสงดาราและมีระดับการบ่มเพาะต่ำที่สุดก็คือ หลิงตู้ฉิง
ด้วยผลพวงจากการบรรยายเกือบ 2 เดือนของเขา ระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 เรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อเย่ชิงเฉิงเห็นความเร็วในการพัฒนาที่ช้าเยี่ยงเต่าคลานของหลิงตู้ฉิง นางก็ถึงกับพูดไม่ออกกับการบรรลุเพียงระดับเดียวหลังจากการดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลติดต่อกันนานถึง 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางคิดถึงทะเลแห่งจิตวิญญาณอันกว้างใหญ่อย่างหาที่เปรียบมิได้ของหลิงตู้ฉิง นางก็สามารถเข้าใจเรื่องดังกล่าวได้
“สามี แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าอารมณ์ที่ท่านกำลังบ่มเพาะคืออะไร แต่ข้าเห็นว่าท่านเองก็สามารถบรรลุระดับได้จากการบรรยายเต๋าให้กับผู้คน ข้าสงสัยว่าทำไมท่านไม่บรรยายต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อให้ระดับการบ่มเพาะของท่านบรรลุไปอีกสักระดับล่ะ” เย่ชิงเฉิงแนะนำ
พ่อของนางยังคงรอความช่วยเหลืออยู่ในเขตแดนหมอกลึกลับที่อยู่ด้านหลังสำนักของนาง นางจึงกระตือรือร้นที่จะให้หลิงตู้ฉิงบรรลุระดับไปยังขอบเขตสวรรค์ให้ไวที่สุด
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “แค่การบรรยายเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขาที่จะฝึกฝนต่อไปอีกหลายร้อยปี! หากข้าบรรยายมากกว่านี้ มันจะกลายเป็นว่าพวกเขาจะไม่สามารถซึมซับความรู้อะไรเข้าไปเพิ่มได้อีก และมันจะกลายเป็นไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเย่ชิงเฉิงก็เปลี่ยนไปเป็นขมขื่น แต่แล้วเมื่อนางครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็หัวเราะและพูดว่า “สามี อันที่จริงยังมีคนอีกเป็นจำนวนมหาศาลในอาณาจักรจันทราที่ยังไม่เคยฟังท่านบรรยายเลยจริงไหม? ทำไมท่านถึงไม่บรรยายให้พวกเขาฟังล่ะ ถ้าท่านชี้แนะเส้นทางเต๋าให้พวกเขา ท่านก็ยังคงได้รับประโยชน์จากความเข้าใจของพวกเขาใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนว่าทำแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่ทำไมข้าต้องเสียเวลาไปบรรยายให้กับคนทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?”
เยว่ชิงเฉิงหยุดชั่วครู่ก่อนที่นางจะนั่งลงด้วยสีหน้าสลด
อันที่จริงนางเองก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงหลิงตู้ฉิง ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญก็ไม่มีใครออกมานั่งเปิดการบรรยายมั่วซั่วให้กับคนทั่วไปฟัง เนื่องจากการบรรยายแต่ละครั้งไม่เพียงแต่จะเสียเวลาแล้วผู้บรรยายยังต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างออกไป
ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญแทบจะทุกคนจึงไม่บรรยายให้ใครฟังง่าย ๆ ต่อให้จะเป็นการบรรยายให้ศิษย์ของตัวเองฟังก็ยังเป็นเนื่องในโอกาสพิเศษจริง ๆ เท่านั้น
นางที่รู้ดีถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่ความกังวลที่เกาะกินในใจของนางมานานมันทำให้นางลืมมันไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นสีหน้าสลดของเย่ชิงเฉิง หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นว่า “อย่ากังวลไป เมื่อข้าจัดการเรื่องที่นี่เสร็จแล้ว ข้าจะให้เจ้าพาข้าไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นข้าจะคิดหาวิธีช่วยพ่อของเจ้าอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณสามี ข้ากังวลจริง ๆ!” เย่ชิงเฉิงฝืนยิ้ม “ข้ารู้ว่าที่เราสัญญากันมันคือ 500 ปี และนี่มันก็พึ่งผ่านไปแค่ 40 ปีเท่านั้น แต่ข้าเองก็อดกังวลไม่ได้จริง ๆ ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพ่อของข้า”
“เราจะจัดการเรื่องทางนี้โดยเร็วที่สุด และไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนสามีแล้ว ข้าขอตัวกลับไปฝึกฝนรอท่านจัดการเรื่องของท่านเสร็จก็แล้วกัน” เย่ชิงเฉิงรีบพูด
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาเองก็เดินไปที่เรือนของหลิงยู่ชาน