บทที่ 445 ต่อให้ข้ากลายเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!
ในตอนแรกหลิงตู้ฉิงคิดว่าเรื่องของหลิงว่านถิงไม่ใช่เรื่องใหญ่
เขาแค่คิดว่านี่มันก็เป็นเพียงประสบการณ์แย่ ๆ เรื่องหนึ่งของลูกสาวของเขาที่นางจะต้องผ่านมันไปให้ได้
และถ้าหากมองในมุมของผู้บ่มเพาะ นี่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้บ่มเพาะจะต้องเจอเพราะว่ามันคือส่วนหนึ่งของการทดสอบในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ
ดังนั้นแม้ว่าความทุกข์ยากของหลิงว่านถิงจะทำให้เขาไม่สบายใจ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันจะไม่เป็นปัญหาใหญ่
แน่นอนว่าเขารู้สึกได้ถึงความเศร้าของหลิงว่านถิง เพราะเขานั้นบ่มเพาะเต๋าแห่งอารมณ์ ดังนั้นเมื่อหลิงว่านถิงอยากที่จะออกไปท่องโลกภายนอก เขาจึงตอบตกลงให้นางไปทำตามความปรารถนาของนางเอง
แต่แล้วต่อมาเมื่อเขาจับจางหมิงได้ และหลังจากที่ดูความทรงจำของจางหมิง เขาก็ได้พบกับภาพเรื่องราวในอดีต หลิงว่านถิงและหยูเฉิงฮุยที่เคยใกล้ชิดกันและได้เห็นใบหน้าที่แสนมีความสุขของหลิงว่านถิง และต่อมาเขาก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่กลุ่มของหยูเฉิงฮุยทำร้ายจิตใจของหลิงว่านถิง และพยายามที่จะจับกุมตัวหลิงฟ่างหัว จากนั้นเขายังเห็นหลิงว่านถิงที่ร้องห่มร้องไห้จนแทบสติหลุด ในขณะที่นางปล่อยหยูเฉิงฮุยและผู้ติดตามของเขาจากไป
ซึ่งเมื่อเขาเห็นภาพทั้งหมดนี้แล้ว หลิงตู้ฉิงก็ได้ตัดสินใจไว้เรียบร้อยว่าเขาจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกสาวของเขาเสียใจอยู่รอดต่อไปได้อีกแน่นอน
แต่แน่นอนว่าเขาจะยกเว้นหยูเฉิงฮุยเอาไว้ก่อนชั่วคราว เนื่องจากว่าเขาให้สัญญากับ หลิงว่านถิงเอาไว้แล้วว่าจะให้นางตัดสินใจว่าหยูเฉิงฮุยจะอยู่หรือจะตาย
ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือในตอนนี้เขาโกรธแค้นคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก
และยิ่งหลังจากได้ยินสิ่งที่หยูเจิ้งหมิงเพิ่งพูด เขาก็ยิ่งโกรธ
หลังจากที่เขาได้อ่านความทรงจำของจางหมิงไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ถึงส่วนหนึ่งของความคิดของคนเหล่านี้ไปด้วย
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินหยูเจิ้งหมิงพูดขึ้นต่อรองแบบนั้น เขาจึงอดใจไม่ไหวลงมือจับหยูเจิ้งหมิงมาทันที
จากนั้น หลิงตู้ฉิงก็จับคอหยูเจิ้งหมิง และเหวี่ยงตัวเขาลงไปบนพื้นแทบเท้าของเขาและถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคิดว่าลูกสาวของข้าเป็นคนที่ใคร ๆ ก็สามารถแต่งงานด้วยได้งั้นเหรอ? ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งว่า หยูเฉิงฮุย อยู่ที่ไหน?”
ในที่สุด หยูเจิ้งหมิงก็ได้เผชิญหน้ากับความน่าหวาดกลัวในตัวตนของหลิงตู้ฉิง
เมื่อครู่ข้างกายของเขามีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญหลายร้อยคนปกป้องอยู่เคียงข้าง แต่หลิงตู้ฉิงกลับจับตัวเขามาได้ในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของเขาเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาแต่เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 10 แต่เขาเองกลับไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนคนผู้นี้ที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณได้เลย นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจเป็นอย่างมากว่าคนผู้นี้มีความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่ามันจะเป็นเพราะคนผู้นี้ได้ครอบครองความลับของทะเลชางหมาง เขาจึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้งั้นเหรอ?
แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้นในใจ แต่หยูเจิ้งหมิงก็ยังคงทำใจแข็งและถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “นี่ท่านทำเช่นนี้ ท่านรู้ไหมว่ามันจะยิ่งทำให้พวกเราไม่สามารถปรองดองกันได้อีก? เดิมทีพวกเราไม่ได้มีความเกลียดชังต่อกันมากนัก แต่เนื่องจากท่านดูถูกข้าเช่นนี้ ท่านคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหม?”
เขาคือผู้ที่มาจากอาณาจักรมังกรทะยานที่มีภูเขาเอ้อหลงหนุนหลัง ด้วยภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ของเขาเช่นนี้ เขาจะไปยอมให้คนจากอาณาจักรจันทราที่เป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ หยามเกียรติได้ยังไง? แม้แต่อาณาจักรใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่ในโลกภายนอกยังต้องคิดแล้วคิดอีกหากต้องการล่วงเกินตัวตนเช่นเขา ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าอาณาจักรจันทราจะแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางในทะเลชางหมางก็จริง แต่ตามความเข้าใจของเขา อาณาจักรจันทรานั้นไม่น่าจะมีขุมกำลังใดที่ให้การสนับสนุนอยู่แน่นอน
ดังนั้นอาณาจักรเล็ก ๆ เช่นนี้กล้าดียังไงที่มาดูหมิ่นเขาถึงขนาดกดตัวเขาให้หมอบลงแทบเท้า?
“พ่อของข้าคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรทะยาน หยูไท่ฉวน ส่วนปู่ของข้าคือผู้อาวุโสใหญ่แห่งภูเขาเอ้อหลง! ท่านแน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกข้าอย่างถาวร?” หยูเจิ้งหมิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “พวกเจ้ามันก็แค่มนุษย์ที่มีสายเลือดของเผ่ามังกรผสมอยู่นิดหน่อยเท่านั้น แต่ข้ามีมังกรที่แท้จริงคอยลากรถม้าให้ข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลงเฉินก็บูดบึ้งขึ้นเล็กน้อย
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจว่าหลงเฉินจะคิดยังไง เมื่อเห็นว่าหยูเจิ้งหมิงไม่ยอมบอกว่าหยูเฉิงฮุยอยู่ที่ไหน เขาจึงวางมือไว้บนหัวของหยูเจิ้งหมิง ทำให้หลับลงและเริ่มอ่านความทรงจำของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็ปล่อยหยูเจิ้งหมิง และจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเส้นขนสี่เส้นของหลิงจู้ให้กลายเป็นหอกและส่งพวกมันเสียบเข้าไปที่แขนขาทั้งสี่ของหยูเจิ้งหมิง จากนั้นก็ชูตัวหยูเจิ้งหมิงขึ้นไปห้อยบนอากาศ
“อ๊ากกก!” หยูเจิ้งหมิงตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาตะโกนร้องด้วยความโกรธแค้น “ไอ้เวรเอ้ย นี่เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้ากัน? เจ้ารู้ไหมที่เจ้าทำแบบนี้ เจ้าจะต้องถูกพ่อและปู่ของข้าฆ่าล้างโคตรเจ้าทั้งหมด!?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นช้า “ปู่ของเจ้า? พ่อของเจ้า? เหอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย หากจำเป็นข้าจะไปหาปู่และพ่อของเจ้าด้วยตัวเองเลย แต่ตอนนี้มาลุ้นกันดีกว่าว่าข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างน่าสังเวชได้อย่างไร”
เหยียนฮ่าวหัวรีบพูดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้! จงปล่อยจักรพรรดิของเรามาซะ! ไม่เช่นนั้นข้ารับประกันได้ว่าอาณาจักรจันทราของเจ้าจะต้องถูกทำลาย!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญของอาณาจักรหลงซานหลายคนก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้ากังวลเช่นกัน “ถ้าเจ้าไม่ปล่อยจักรพรรดิของเรา พวกเจ้าจะต้องตายอย่างน่าสยดสยองแน่นอน!”
“หุบปาก!!” หลิงตู้ฉิงคำรามพร้อมกับสะบัดหลิงจู้ในมือ ปล่อยเส้นขนให้ยืดยาวออกอย่างกะทันหันกลายเป็นเหมือนแส้คมกริบพุ่งไปยังผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่เพิ่งพูดจบ
ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญผู้นั้นตัวขาดเป็นสองท่อนทันที
บรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่อยู่ตรงข้ามหลิงตู้ฉิงที่พร้อมจะเคลื่อนไหว เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ พวกเขาก็หยุดความคิดที่จะลงมือทันทีไม่กล้าที่จะพูดหรือขยับตัวอะไรต่อ
การกระทำของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้มันแสดงให้เห็นได้ชัดว่า หากเขาจะฆ่าใครสักคนที่อยู่ที่นี่มันง่ายไม่ต่างอะไรกับดีดนิ้วเล่น!
สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่ถูกตัดที่เอว เขารีบหยิบโอสถออกมาเพื่อรักษาตัวเองด้วยความเจ็บปวดและไม่กล้าที่จะพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงมองไปที่หยูเจิ้งหมิงด้วยสีหน้าอาฆาต จากความทรงจำของหยูเจิ้งหมิง เขาได้เห็นหลายสิ่งที่ไม่ดีต่อภรรยาและบรรดาลูกของเขา
“ไหนบอกข้าทีว่าเจ้าต้องการที่จะตายอย่างไร?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่หยูเจิ้งหมิงอย่างเย็นชา
ในขณะที่เขาพูด เส้นขนทั้งสี่ของหลิงจู้ที่ตรึงร่างหยูเจิ้งหมิงอยู่นั้นก็ได้ยืดออกไปในสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน ทำให้หยูเจิ้งหมิงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับว่าเขากำลังจะถูกแยกชิ้นส่วน
“ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้า พ่อและปู่ของข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้า!” หยูเจิ้งหมิงร้องโหยหวน “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแม้ว่าข้าจะกลายเป็นผีก็ตาม!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะ เขาผงกศีรษะและพูดว่า “เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปแม้ว่าเจ้าจะเป็นผี?”
อีกครั้งที่พลังของในรถม้าหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิง ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของเขาไปถึงขอบเขตสวรรค์สามัญทันที จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปจับที่ร่างของหยูเจิ้งหมิง และกระชากมือกลับอย่างรุนแรงพร้อมกับตะโกนขึ้น “ออกมาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง วิญญาณของหยูเจิ้งหมิงก็ถูกลากออกจากร่างด้วยมือของหลิงตู้ฉิงโดยตรง เมื่อมองไปที่วิญญาณของหยูเจิ้งหมิง หลิงตู้ฉิงก็หันศีรษะไปหาโม่หยูถังและพูดว่า “พ่อบ้านโม่ ข้าต้องการปราณเทพอสูรปีศาจของเจ้า”
“นายท่าน นี่สำหรับท่าน!” โม่หยูถังตอบกลับพลางรีบมอบส่วนหนึ่งของปราณเทพอสูรปีศาจของตนเองให้กับหลิงตู้ฉิง
แม้แต่โม่หยูถังที่อยู่กับหลิงตู้ฉิงมานาน เมื่อเขาเห็นท่าทีของเจ้านายเขาในตอนนี้ เขาเองยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ
หลิงตู้ฉิงนำปราณเทพอสูรปีศาจที่โม่หยูถังมอบให้เมื่อครู่ตบเข้าไปที่วิญญาณของหยูเจิ้งหมิงทันที และในเวลาเดียวกันเขาก็ได้วาดอักขระโบราณเพื่อดึงดูดพลังความหนาวเย็นทุกชนิดให้เข้ามาหลอมรวมเข้ากับวิญญาณของหยูเจิ้งหมิง
เมื่อเผชิญกับปราณเทพอสูรปีศาจและพลังความหนาวเย็นที่ถูกบังคับให้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณของตนเอง หยูเจิ้งหมิงก็ดิ้นไปมาในอากาศด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นและเริ่มเป็นรูปร่างจริงขึ้นเรื่อย ๆ
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน วิญญาณของหยูเจิ้งหมิงก็ได้กลายร่างเป็นผีสูง 10 ฟุต ทั่วร่างวิญญาณของเขามีหมอกสีดำปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ทำให้ดูน่าขนลุกและน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน
โดยเฉพาะที่ดวงตาทั้งสองของเขาตอนนี้นั้นเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงโลหิต ซึ่งดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ส่วนระดับการบ่มเพาะของหยูเจิ้งหมิงในตอนนี้ได้มาถึงระดับสวรรค์สามัญขั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งอันที่จริงหากเขาไม่ถูกพลังของผนึกลึกลับในทะเลชางหมางข่มเอาไว้ ระดับการบ่มเพาะของเขาคงทะลวงไปได้ไกลมากกว่านี้
เมื่อมองไปที่ฉากตรงหน้า ทุกคนก็รู้สึกหวาดกลัวและงุนงง ทุกคนต่างสับสนว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงทำแบบนี้?
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นวิญญาณเก้ายมโลกที่สุดจะแข็งแกร่งเรียบร้อยแล้ว ไหนลองแสดงให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปยังไง?” หลิงตู้ฉิงถามหยูเจิ้งหมิงด้วยสีหน้าเย้ยหยัน