บทที่ 463 โชคดี
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน เขาสามารถมองเห็นพรสวรรค์ของหลิงว่านถิงได้อย่างชัดเจนมากกว่าซือโถวเหวินหยวน
สิ่งที่เขาเห็นก็คือมันเหมือนกับว่าหญิงสาวผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นคนของสำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเขาตั้งแต่เกิด มันเหมือนว่าชะตาของนางถูกกำหนดให้ได้ครอบครองเต๋าของสำนักเต๋าสวรรค์ไว้ในอนาคต ซึ่งโดยเฉพาะในตอนนี้ที่สำนักของพวกเขานั้นไม่มีใครที่สามารถครอบครองเต๋าของสำนักได้แม้แต่คนเดียวมาเป็นเวลานาน นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของพวกเขามากที่สุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เพราะนี่มันหมายความว่าหลังจากนี้ไป หากสำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเขาบ่มเพาะหญิงสาวคนนี้อย่างเหมาะสม หญิงสาวผู้นี้จะกลายเป็นเสาหลักที่ไร้เทียมทานให้กับพวกเขาในอนาคต ตราบใดที่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ตายก่อนวัยอันควรมันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
หลังจากมองประเมินหลิงว่านถิงเป็นเวลานาน ในที่สุดชายชราก็จ้องมองไปที่ลั่วหยุน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน เขาสามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของลั่วหยุนได้ตามปกติ
หลังจากที่ตระหนักว่า ลั่วหยุนเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา จากนั้นเขาเปลี่ยนสายตากลับไปที่หลิงตู้ฉิง
“ข้าคือผู้เฒ่าสำนักเต๋าสวรรค์ อู๋หลิงซี ข้าได้ยินมาจากศิษย์ของข้าว่าเขาได้พบกับสุดยอดอัจฉริยะที่อยู่ในทะเลชางหมาง ซึ่งอันที่จริงในตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อเขาสักเท่าไหร่แต่จิตใต้สำนึกของข้ามันบอกว่าให้ข้าต้องมาลองตรวจสอบดู และเมื่อข้าได้เห็นลูกสาวของท่าน ข้าสามารถบอกได้กับท่านได้เลยว่าสวรรค์ช่างเมตตาเราอย่างแท้จริง ลูกสาวของท่านทำให้สำนักเต๋าสวรรค์ของข้ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง! หากท่านอนุญาตให้ลูกสาวของท่านไปกับเรา ข้าขอรับประกันว่าดวงชะตาของลูกสาวท่านในอนาคตจะมีเพียงอย่างเดียวก็คือนางจะได้เป็น นายเหนือหัวของสำนักเต๋าสวรรค์ของเราแน่นอน! ข้าขอสาบานกับท่านได้เลยว่าหลังจากที่เราพานางกลับไปที่สำนักเราจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่พวกเรามีเพื่อเลี้ยงดูลูกสาวของท่าน ท่านจงมั่นใจได้ว่าหลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในมหาพิภพไร้จุดจบจะได้ได้ยินชื่อเสียงของนางอย่างแน่นอน!” ชายชราพูดอย่างตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและตอบกลับว่า “อืม ดูจากที่สำนักของเจ้า ส่งเจ้ามาด้วยตัวเองแล้ว ข้าคิดว่าน้ำใจของสำนักเจ้านี่ไม่เลวเลยทีเดียว กล้าส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขั้นสูงสุดอย่างเจ้ามารับลูกสาวข้าแบบนี้ ข้าค่อนข้างพอใจมากทีเดียว เอาล่ะ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าพานางไปอยู่ที่สำนักของเจ้าได้สักพัก แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่บางประการที่จะต้องบอกกับเจ้าก่อน”
อู๋หลิงซีมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาประหลาดใจ และถามว่า “ท่านมีเงื่อนไขอะไรงั้นหรือ?”
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน แต่หลิงว่านถิงก็เป็นลูกสาวของชายที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องรับฟังสิ่งที่หลิงตู้ฉิงต้องการจะพูดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือหากเป็นคนอื่น เมื่อรู้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับใดหรือเป็นคนมาจากสำนักไหน การแสดงออกน่าจะไม่ใช่แบบนี้มันน่าจะเป็นการแสดงออกในลักษณะตื่นเต้นสุดขีดจนแทบทนไม่ไหวให้เขาพาลูกสาวของตนเองไปทันที แต่ชายคนนี้กลับดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด แถมต้องการยื่นเงื่อนไขให้เขาอีกต่างหาก
หลิงตู้ฉิงมองไปที่อู๋หลิงซี และพูดว่า “เงื่อนไขข้อแรก หากสำนักของเจ้าทำให้ลูกสาวของข้าทุกข์ทรมานในระหว่างอยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์แล้ว คนทุกคนในสำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้าจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานเช่นกัน ข้าจะไม่สนว่าใครในสำนักของเจ้าทำให้ลูกสาวของข้าต้องทุกข์ทน เจ้าจงจำไว้ทั้งสำนักของเจ้าคือเป้าหมายแรกที่ข้าจะเล่นงาน แล้วจากนั้นข้าค่อยไปเล่นงานคนที่สร้างปัญหาให้กับลูกสาวของข้าต่ออีกที”
อู๋หลิงซีหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ข้ารับประกันได้ว่าลูกสาวของท่านจะเป็นที่รักและได้การรับการดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดีที่สุดเมื่ออยู่ในสำนักของเรา เราจะไม่มีทางปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานแน่นอน เอาล่ะเงื่อนไขข้อสองของท่านคืออะไรต่อ?”
อู๋หลิงซีไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับคำพูดขู่คุกคามของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงหยักหน้าและพูดต่อ “ข้อที่สองก็คือถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกสาวของข้า สำนักเต๋าสวรรค์ทั้งหมดจะถูกทำลายไปพร้อมกับนาง!”
อู๋หลิงซีเลิกคิ้วและพูดว่า “เราจะปกป้องนางด้วยชีวิตของเราอย่างแน่นอน เราจะไม่ปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับนาง ถ้าท่านไม่มีคำถามอื่น ๆ แล้ว งั้นท่านช่วยไขข้อสงสัยของข้าหน่อยได้ไหม จากที่ข้าดูแล้วท่านน่าจะเป็นบุคคลที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา และจากการที่ข้าเคยได้ยินศิษย์ของข้าเล่าให้ฟังว่าท่านรู้ความลับเกี่ยวกับสำนักเต๋าสวรรค์ของเรา เป็นไปได้ไหมว่าท่านมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสำนักเต๋าสวรรค์ของเรา?”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าคงไม่อยากรู้หรอกว่าข้าล่วงรู้ความลับของพวกเจ้ามาจากไหน แต่สิ่งที่ข้าตอบได้ก็คือข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้าแน่นอน เอาล่ะ หากไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็พาลูกสาวของข้ากลับไปกับเจ้าได้แล้ว อ๋อ จงอย่าลืมเงื่อนไขทั้งสองข้อของข้าเด็ดขาด ข้าไม่เคยพูดอะไรที่ข้าทำไม่ได้ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว!”
อู๋หลิงซีส่ายหัวและพูดว่า “เฮ้อ นี่ท่านจะพูดเกินไปหน่อยไหม? เอาล่ะ ถ้างั้นท่านช่วยแสดงอะไรให้ข้าเห็นบ้างสักหน่อยได้ไหมเพื่อที่ข้าจะได้มีเหตุผลที่จะเชื่อในสิ่งที่ท่านเพิ่งพูดไป ไม่เช่นนั้นข้าชักจะเริ่มรู้สึกว่าท่านอยากจะดูหมิ่นสำนักของข้ามากกว่าที่จะส่งตัวลูกสาวของท่านมาให้เรา…”
ยังไม่ทันได้จบประโยค หลิงตู้ฉิงก็ชี้นิ้วของเขาไปที่ใบหน้าของอู๋หลิงซี ส่งผลให้ดวงตาของอู๋หลิงซีเบิกโพลงขึ้นทันทีพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมากุมที่หน้าผากของเขาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน เขาวางมือขวาลงและถอนหายใจขณะที่ส่ายหัวอย่างรุนแรง “นะ นะ นี่ ทำไมท่านถึงปรากฏตัวขึ้นมาในยุคนี้ได้! นี่มันเป็นฝันร้ายชัด ๆ !”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่อู๋หลิงซีด้วยสีหน้าไม่แยแสไม่พูดอะไรสักคำ
อู๋หลิงซีโค้งคำนับเล็กน้อย และพูดว่า “บัดนี้ ข้าขอยอมรับ รับคำขู่คุกคามจากท่านผู้มีพระคุณนั้นเป็นสิ่งที่สำนักของข้าไม่อาจมองข้ามได้ ข้าจะทำให้แน่ใจว่าความตั้งใจของผู้มีพระคุณเป็นที่รู้กันสำหรับทุกคนในสำนักเต๋าสวรรค์ ข้าหวังว่าในอนาคตสำนักเต๋าสวรรค์ของข้าคงจะไม่ต้องเจอกับท่านที่สำนักของเรา”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “อย่าพูดในสิ่งที่เจ้าไม่ควรพูด!”
อู๋หลิงซีพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “อืม ว่าแต่ก่อนหน้าที่ข้าจะมาถึง ศิษย์หลานของข้าได้เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ลูกสาวของท่านมีกับคนของอาณาจักรมังกรทะยาน?”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้าได้จัดการไปเรียบร้อยแล้ว” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
อู๋หลิงซีส่ายหัว “แก้ไขแล้ว? นี่ท่านช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ เป็นไปได้ยังไงที่การแก้ปัญหาของท่านจะไม่มีโลหิตชะโลมไปบนท้องฟ้าแบบนี้? ดูเหมือนว่าท่านจะเปลี่ยนไปมากจริง ๆ คนเหล่านี้นี่ช่างโชคดีราวกับสวรรค์ประทานพรให้เลย แต่ถึงแม้ว่าท่านจะแก้ไขปัญหาในแบบของท่านไปแล้ว ข้าก็คงปล่อยให้มันจบลงไปแบบนี้ไม่ได้หรอกเพราะลูกสาวของท่านในตอนนี้นางได้ผูกชะตาสัมพันธ์กับสำนักเต๋าสวรรค์ของเราไว้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าท่านจะแก้ไขปัญหานี้ในแบบของท่านไปแล้ว แต่เราก็ต้องการสะสางปัญหานี้ในแบบของเราเช่นกัน”
“มันเป็นเวลานานมากแล้วที่สำนักเต๋าสวรรค์ของเราไม่ได้สำแดงสิ่งใดให้คนภายนอกรับรู้จนหลายคนคงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเราคือหนึ่งในขุมกำลังที่เก่าแก่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตอนนี้มันคงถึงเวลาที่เราจะย้ำเตือนให้โลกต้องโจษจันชื่อของเราอีกครั้ง!”
หลังจากพูดจบ อู๋หลิงซีก็เดินออกจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และจากนั้นกฎของสวรรค์และโลกทั่วทั้งบริเวณเมืองหลวงของอาณาจักรมังกรทะยานก็ถูกทำให้บิดเบี้ยวและพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันรุนแรงจนถึงขนาดที่ทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตนภาต่างก็รู้สึกได้ จากนั้นกำแพงทั้งหมดของเมืองหลวงของอาณาจักรมังกรทะยานก็พังทลายลงเช่นเดียวกับสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างภายในเขตเมือง รวมไปถึงพระราชวังของจักรพรรดิก็ถล่มลงจนไม่เหลือชิ้นดี
ขณะนี้เมืองหลวงของอาณาจักรมังกรทะยานที่เคยงดงามตระการตา บัดนี้ได้กลายเป็นเหลือแต่ซากปรักหักพัง
หยูไท่ฉวนที่เห็นภาพเช่นนี้ เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาเต็มปากและอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น “นี่พวกเจ้า! พวกเจ้าทำกันเกินไปแล้ว! ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่ยอมจบกันอีก!?”
เขาคิดว่ามันเป็นฝีมือของลั่วหยุน เพราะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันเท่านั้นที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ และในตอนนี้ทั่วทั้งอาณาเขตนภาก็มีเพียงลั่วหยุนคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนี้
แต่แล้วเมื่อเขาตะโกนจบ และเพ่งมองไปยังทิศทางที่พวกของหลิงตู้ฉิงอยู่ เขาก็ได้เห็นอู๋หลิงซี ซึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ทำไมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอีกคนจึงปรากฏตัวขึ้น?
อู๋หลิงซีมองไปที่หยูไท่ฉวนและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “หลิงว่านถิง เป็นศิษย์เอกของสำนักเต๋าสวรรค์ของข้า ลูกชายของเจ้ากล้าที่จะมีจิตคิดสกปรกต่อศิษย์เอกของข้า ข้าทำลายเมืองหลวงของเจ้าโดยไม่ได้ฆ่าใครก็ถือว่าเป็นการลงโทษพวกเจ้าสถานเบาแล้ว ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้า ถ้าเจ้าไม่พอใจเจ้าก็จงไปบอกให้ผู้อาวุโสในตระกูลของเจ้ามาคุยกับข้า ข้าจะรออยู่ที่สำนักของข้าทุกเวลา อ๋อแล้วอีกอย่าง พวกเจ้านี่มันช่างโชคดีจริง ๆ !”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูไท่ฉวนอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่งพลางร่ำร้องในใจ นี่เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เขาถึงได้ไปล่วงเกินตัวตนระดับนี้เข้า!? แค่วันนี้วันเดียวมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันสองคนผลัดกันมารังแกเขาถึงที่ จนในตอนนี้เมืองหลวงของอาณาจักรของเขาถูกทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง แม้ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ความเสียหายที่เกินขึ้นอย่างมหาศาลขนาดนี้ฝั่งตรงข้ามยังหน้าด้านกล่าวว่าเขาโชคดีได้อย่างไร?
หยูไท่ฉวนพึมพำด่าทอชะตาชีวิตของตนเองโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘โชคดี’ ที่อู๋หลิงซีพูดขึ้นมันหมายถึงอะไร