บทที่ 504 ถ่ายโอนตำแหน่งเจ้าสำนัก
สาเหตุที่เกาโป๋จุนและหยินอันหยูกล้าที่จะเข้ามาในสำนักวิญญาณโลหิต ‘เพื่อแสวงหาผลประโยชน์’ นั้นก็เพราะในตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตกำลังอ่อนแอ
แม้ว่าเว่ยกวนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ แต่พวกเขาก็มีกัน 2 คน
แต่ตอนนี้ที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เนื่องจากสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ผลลัพธ์ที่ทั้งคู่คาดหวังไว้มันจึงพังทลายลงทันที
เมื่อมหาเต๋าแห่งโลหิตถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์ อำนาจของค่ายกลป้องกันต่าง ๆ ของสำนักมันก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ ซึ่งส่งผลให้เว่ยกวนสามารถยืมพลังของมหาเต๋าแห่งโลหิตมาต่อสู้กับพวกเขาได้
แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเว่ยกวนเกือบจะเท่ากันกับพวกเขา แต่ถ้าเว่ยกวนยืมพลังมหาเต๋าแห่งโลหิตมาต่อสู้เมื่อไหร่ ความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขาทันที ในสถานการณ์เช่นนี้แผนของพวกเขาที่วางกันไว้มันก็เท่ากับว่าพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
ด้วยความพลิกผันของสถานการณ์ เว่ยกวนในตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก เขายิ้มให้เกาโป๋จุนกับหยินอันหยู และพูดว่า “ขอต้องขอโทษพวกเจ้าจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเสนอตัวช่วยเหลือข้า แต่ข้ากลับปฏิเสธพวกเจ้าไปอย่างน่าเกลียดแบบนั้น เอาแบบนี้ไหมน้องเกา น้องหยิน ในตอนนี้ข้าได้ลองมาคิดทบทวนดูแล้วและรู้ว่าข้านั้นเป็นฝ่ายที่ผิดเอง ในเมื่อพวกเจ้าต้องการช่วยเหลือข้าถึงขนาดนั้น ถ้างั้นข้าตกลงให้พวกเจ้าช่วยเหลือข้าทำลายผนึก แล้วจากนั้นพวกเราก็เข้าไปดูด้านในตำหนักโอสถด้วยกันดีไหม?”
ในความเป็นจริงเว่ยกวนคิดอยู่ในใจ ‘พวกเจ้ากล้าเข้ามาในสำนักข้าไหมตอนนี้?’ เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าย่างกรายเข้ามา ข้าจะใช้มหาเต๋าแห่งโลหิตสังหารพวกเจ้าทุกคนและต่อไปอาณาเขตวิญญาณโลหิตก็จะตกเป็นของสำนักข้าแต่พียงผู้เดียว!’
เมื่อได้ยินคำชักชวนเช่นนี้ เกาโป๋จุนและหยินอันหยูก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเข้าสู่สำนักวิญญาณโลหิต
ตอนนี้มหาเต๋าของสำนักวิญญาณโลหิตได้รับการฟื้นฟูแล้วและพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะปลดปล่อยพลังได้มากแค่ไหน หากพวกเขาเข้าไปโดยประมาท มันก็ไม่ต่างอะไรจากเอาหัวของตัวไปถวายให้กับเว่ยกวน
“เอ่อ…พี่เว่ย ข้าพึ่งได้รับการติดต่อจากศิษย์ในสำนักว่าที่สำนักมีเรื่องเร่งด่วน น้องชายผู้นี้คงต้องขอตัวก่อนไว้วันหน้า หากท่านยังปลดผนึกไม่ได้ ข้าจะมาช่วยท่านใหม่ก็แล้วกัน! ข้าขอตัว!” เกาโป๋จุนรีบพูดขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ว่าแต่ น้องหยิน เจ้าจะตามข้าไปที่สำนักของข้าก่อนไหม เมื่อข้าเสร็จธุระแล้วเราจะได้ดื่มกันต่อที่เรือนข้า?”
“พี่เกาข้าจะปฏิเสธคำเชิญของท่านได้ยังไง?” หยินอันหยูหัวเราะ
จากนั้นทั้งสองก็เพิกเฉยต่อคำชวนของเว่ยกวน และจากไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงที่พวกเขาจากไปนั้นก็เพราะพวกเขาต้องไปหารือกันใหม่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เว่ยกวนและศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตทั้งที่เห็นภาพเช่นนี้ก็เย้ยหยันเกาโป๋จุนและหยินอันหยูอยู่ในใจ
ด้วยมหาเต๋าที่ถูกฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากจริง ๆ สำนักของพวกเขาก็จะกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
แต่พวกเขาก็ยังคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองใต้ดิน? แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามหาเต๋าของสำนักนั้นดำรงอยู่ในเมืองใต้ดิน แต่มันก็ไม่มีใครกล้าลงไปเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าในเมืองใต้ดินตอนนี้ยังคงมีอันตรายใด ๆ หลงเหลืออยู่หรือเปล่า
ในท้ายที่สุด เว่ยกวนก็ส่งบรรดาศิษย์ใหม่ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตลงไปพร้อมกับศิทษย์ที่ฝึกแล้วอีก 1 คนเพื่อตรวจสอบสถานที่
ซึ่งหลังจากที่ส่งคนลงไปและได้รับรายงานกลับมาว่าไม่มีภัยคุกคามใด ๆ ที่ด้านล่างนั่นต่อผู้ฝึกวิชาของสำนักวิญญาณโลหิต เว่ยกวนจึงพาคนของเขาลงไปที่เมืองใต้ดินและตรงไปที่ทะเลโลหิต
เมื่อมาถึงบริเวณทะเลโลหิต เขาก็ได้เห็นว่าทะเลโลหิตที่เคยเหือดแห้งไปแล้ว ในตอนนี้มันกลับถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้เขาและคนของมีความสุขมากจนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ
แน่นอนเมื่อพวกเขาเห็นทะเลโลหิต พวกเขาก็เห็นหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทะเลโลหิต
เว่ยกวนสงบอารมณ์แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปและถาม “เอ่อ…ข้าขอทราบได้ไหมว่าพวกท่านเป็นใคร? และข้าขอถามได้ไหมว่าที่ทะเลโลหิตฟื้นฟูได้เช่นนี้เป็นเพราะพวกท่านใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงหันกลับไปมองที่เว่ยกวน และเอ่ยว่า “เจ้าฝึกฝนวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ และยังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น? อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นนี้?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยกวนดูระมัดระวังมากขึ้น เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันมีนามว่า เว่ยกวน!”
หัวใจของเขาสั่นสะท้าน คนผู้นี้เห็นจริง ๆ ว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ แถมยังสามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเขาได้?
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “นับจากนี้เจ้าจะไม่ได้เป็นเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตอีกต่อไป หญิงสาวในทะเลโลหิตคือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักวิญญาณโลหิต”
“หืม? นี่ท่านหมายความว่ายังไง?” เว่ยกวนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
คนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้วเช่นกันพร้อมกับที่พวกเขามองไปที่ทะเลโลหิต
ชายผู้มีเคราแพะถามว่า “เจ้าสำนักวิญญาณโลหิตจะถูกตัดสินโดยศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตของเรา ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังไม่เปิดเผยตัวตนของท่านว่าท่านเป็นใคร!”
“หญิงสาวที่อยู่ในทะเลโลหิตตอนนี้กำลังบ่มเพาะ วิชาโลหิตอมตะ” หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ
“อะไรนะ!? วิชาโลหิตอมตะ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการตะลึงงัน
มันเหมือนกับหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบที่เงียบสงบ ซึ่งก่อให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน พวกเขาค้นหาจนทั่วหอคัมภีร์แต่กลับไม่พบวิชาโลหิตอมตะ เหตุใดจึงมีคนบ่มเพาะมันได้อยู่ในนั้น?
นอกจากนี้ ชายปริศนาผู้นี้เป็นใครกัน แล้วมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น?
จากนั้นจู่ ๆ ก็มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากทะเลโลหิต ซึ่งเจ้าของร่างนั้นก็คือ หนิงฉิง
ในตอนนี้ หนิงฉิงได้ใช้อำนาจของทะเลโลหิตเพื่อแก้ปัญหาร่างกายของนางเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันส่งผลให้ระกับการบ่มเพาะของนางฟื้นฟูไปอยู่ในระดับเดิมก็คือระดับนภาครามขั้นสูงสุด
ตอนนี้ทุกคนต่างมองไปที่หนิงฉิง ซึ่งแม้แต่เว่ยกวนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “หนิงฉิง นี่เจ้าคือคนที่บ่มเพาะวิชาโลหิตอมตะงั้นหรือ?”
หนิงฉิงส่ายหัว “ไม่ใช่ข้า ผู้ที่ฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะ ตอนนี้นางยังอยู่ในทะเลโลหิต และกำลังใช้มันเพื่อชำระร่างกายของนาง”
“ถ้างั้นผู้ที่อยู่ในทะเลโลหิตไปเอาวิชาโลหิตอมตะมาจากไหน?” ชายเคราแพะถามอย่างเร่งรีบ
เหตุใดวิชาโลหิตอมตะที่พวกเขาคิดว่าสูญหายไปแล้วจึงปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน?
หนิงฉิงมองไปที่ทุกคนด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน จากนั้นนางมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “เป็นนายท่านผู้นี้ที่พาเราไปที่หอคัมภีร์ และจากนั้นเจ้าสำนักหมิงยู่ก็ได้รับวิชาโลหิตอมตะจากที่นั่น และเจ้าสำนักยังเป็นผู้ทำให้ทะเลโลหิตและมหาเต๋าโลหิตฟื้นฟูขึ้นมาเป็นดังเดิม”
นางเอ่ยถึงหมิงยู่ในฐานะของเจ้าสำนักต่อหน้าเว่ยกวน นางรู้ดีว่าการที่หมิงยู่สามารถทำได้มากขนาดนี้นางต้องเป็นเจ้าสำนักแน่นอน
ถึงแม้ว่าเว่ยกวนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อเหตุผลข้อนี้ได้
คนอื่น ๆ มองไปที่เว่ยกวนด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อนเพราะพวกเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ถ้าหากเขาไปถึงหอคัมภีร์เร็วกว่านั้น มันคงหมายความว่าเขาจะได้รับวิชาโลหิตอมตะใช่ไหม? และตำแหน่งเจ้าสำนักจะเป็นของเขา แต่น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ถ้า’
จากนั้นเว่ยกวนจึงพูดกับเหล่าคนของเขาว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะคือเจ้าสำนักของเรา กฎนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สามารถทำให้มหาเต๋าของสำนักฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์ และยังได้รับการค้ำจุนจากมหาเต๋า อนาคตความสำเร็จของนางจะต้องอยู่เหนือข้าอย่างแน่นอน ดังนั้นนับจากนี้ไปข้า เว่ยกวน ขอสละตำแหน่งและมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับเจ้าสำนักหมิงยู่!”
เมื่อเว่นกวนกล่าวจบ เสียงของหมิงยู่ก็ดังออกมาจากทะเลโลหิต “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสเว่ยมานานแล้ว นอกจากนี้ผู้อาวุโสเว่ยยังมีระดับการบ่มเพาะสูงสุดในสำนักวิญญาณโลหิตของเรา ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะสามารถช่วยเราได้ในอนาคต ผู้อาวุโสเว่ย ท่านยินดีที่จะรับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักของเราหรือไม่?”
หมิงยู่ตอบรับตำแหน่งเจ้าสำนักโดยไม่ลังเลใด ๆ
ในฐานะผู้สืบเชื้อสายของอสูรโลหิต มันก็ถูกแล้วที่นางจะเป็นเจ้าสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้น หลิงตู้ฉิงก็มีความประสงค์ให้นางรับตำแหน่งนี้เช่นกัน
เมื่อได้ยินหมิงยู่เสนอตำแหน่งให้ เว่ยกวนก็รีบเอ่ยตอบพร้อมโค้งคำนับทันที “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!”
จากนั้นคนอื่น ๆ ก็รีบเอ่ยขึ้นเช่นกัน “คารวะเจ้าสำนัก!”
หมิงยู่พูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จงปฏิบัติต่อนายท่านของข้าให้ดี มันเป็นเพราะความช่วยเหลือของนายท่าน ไม่เช่นนั้นสำนักวิญญาณโลหิตของเราจะไม่มีทางฟื้นฟูอย่างเช่นในวันนี้ โลหิตอมตะหยดแรกของข้าจะควบแน่นเสร็จสิ้นในไม่ช้า อีกไม่นานข้าคงจะได้ออกไปเจอพวกเจ้าทุกคน”