หลายครั้งแล้วที่คำสอนของบรรพบุรุษตนเองก็เป็นส่วนทำให้ตระกูลตกต่ำลง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีใครถามอะไรมู่เฉียนซ่งเกี่ยวกับตระกูลของเขาอีก
หลิงตู้ฉิงมองไปยังมู่เฉียนซ่ง และถามขึ้น “ข้าจะถามเจ้าอีกรอบ เจ้าต้องการมาเป็นศิษย์ในนามของข้าไหม?”
เขายังคงมีความรู้สึกสนใจอย่างรุนแรงกับเด็กหนุ่มผู้นี้ เนื่องภาพที่เขาได้เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ยอมส่งตัวเองเข้ามาฝึกฝนในพื้นที่ที่อันตรายเช่นนี้ มันทำให้เขาย้อนนึกถึงตัวเองในอดีตของชีวิตที่แล้วที่เขาเองก็ทำแบบนี้เช่นกัน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาสนใจอยากรับเด็กคนนี้มาเป็นศิษย์
มู่เฉียนซ่งส่ายหัว “ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าท่านนั้นไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่สามารถแสดงเพลงกระบี่ของข้าได้ง่าย ๆ แต่ข้าไม่ต้องการเป็นศิษย์ของใครทั้งนั้น ข้าต้องการที่จะเดินตามเส้นทางเต๋ากระบี่ของข้าเองแต่เพียงผู้เดียว!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกจนปัญญาเมื่อได้ยินเช่นนี้พลางคิดในใจ ‘ทำไมช่วงนี้เขาถึงได้ถูกปฏิเสธบ่อยนัก?’
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็สีเป่ยเซียะคนหนึ่งแล้ว นี่เขายังมาถูกไอ้เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ปฏิเสธอีกงั้นเหรอ?
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการงั้นก็ช่างมันเถอะ” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “ว่าแต่เจ้าจะทำอะไรต่อไป? ถ้าเจ้าต้องการไปฝึกต่อเจ้าก็จงไปฝึกต่อเถอะ เดี๋ยวพวกข้าจะมุ่งหน้าไปที่สุสานกระบี่ต่อแล้ว”
มู่เฉียนซ่งส่ายหัว “ข้าคงพักการฝึกของวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ จากนี้ไปข้าคงจะกลับไปที่บ้านของข้าก่อน”
“ถ้างั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง แต่ระหว่างทางเจ้าก็เล่าเกี่ยวกับสุสานกระบี่ให้ข้าฟังหน่อยก็แล้วกัน” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
มู่เฉียนซ่งไม่ปฏิเสธพร้อมกับโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน แต่ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ที่ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของสุสานกระบี่สักเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่าตระกูลมู่ของเราไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสุสานกระบี่ ตระกูลมู่ของเรามุ่งเน้นแต่การคิดค้นเต๋ากระบี่ของตนเองเพียงเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่พวกเราจะเข้าไปที่นั่นหรือสืบหาข่าวเกี่ยวกับมัน สำหรับพวกเราแล้วเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่ที่อยู่ในสุสานกระบี่นั้นเป็นเพียงเป้าหมายที่พวกเราต้องก้าวผ่านไปให้ได้ก็เท่านั้น”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น
ตัวตนอย่างเทพกระบี่ที่เป็นตำนานของนักกระบี่ทั่วโลกกลับเป็นได้แค่เป้าหมายที่คนตระกูลนี้ต้องก้าวผ่านอย่างนั้นเหรอ?
นี่มันตระกูลบ้าบอแบบไหนกันถึงได้สืบทอดแนวคิดที่เพ้อฝันเช่นนี้กันมา?
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้เรื่องสุสานกระบี่ ถ้างั้นเจ้าลองเล่าเกี่ยวกับสิบตระกูลใหญ่ที่อยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่มาให้ข้าฟังก็แล้วกัน โดยเฉพาะพวกตระกูลที่บอกว่าตนเองเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ ข้าต้องการรู้ข้อมูลของพวกเขา” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น
มู่เฉียนซ่งพยักหน้าและพูดว่า “เรื่องนี้ข้าพอรู้อยู่บ้าง แต่ว่าสิ่งที่ข้ารู้มานั้นมันเป็นแค่เพียงข่าวลือ ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เอาเท่าที่เจ้าเคยได้ยินมาก็พอแล้ว เอาล่ะเล่ามาได้แล้วว่าเจ้ารู้อะไรมาบ้าง”
มู่เฉียนซ่งพยักหน้าอีกครั้งและเมื่อเขาทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มพูด “ในสิบตระกูลใหญ่ของอาณาเขตสุสารกระบี่ มีอยู่สามตระกูลที่ประกาศว่าพวกเขาเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ สามตระกูลนี้คือ ตระกูลหลิน ตระกูลเย่ ตระกูลกู๋”
เปียนเฉียวเฉียว เมื่อได้ยินเช่นนี้นางขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นแทรก “ในสามตระกูลนี้มันต้องมีใครแอบอ้างขึ้นมาแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงใช้แซ่คนละแซ่กันหมดเลย?”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย เพราะคำพูดของเปียนเฉียวเฉียวนั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซ่งยักไหล่ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครจริงหรือใครปลอม แต่ทั้งสามตระกูลนี้ต่างก็ประกาศออกมาอย่างจริงจังว่าพวกเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่ที่แท้จริง ส่วนเหตุผลที่พวกเขานั้นใช้คนละแซ่กันก็เพราะว่าพวกเขาใช้แซ่ตามแม่ของพวกเขา ซึ่งมันเป็นการซ่อนตัวจากศัตรูของพ่อของพวกเขาในอดีต และเมื่อมาในตอนนี้ที่พวกเขามีความแข็งแกร่งพอพวกเขาจึงกล้าประกาศออกมาว่าตนเองคือลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเทพกระบี่อย่างแท้จริง”
เมื่อได้ยินการกล่าวอ้างเช่นนี้ มันก็กลายเป็นว่าเหตุผลของทั้งสามตระกูลเองก็ดูเหมาะสม หลิงตู้ฉิงในตอนนี้จึงรู้สึกตัดสินใจไม่ได้ว่าตระกูลไหนเป็นลูกหลานที่แท้จริงกันแน่
แต่ไม่ว่าตอนนี้เขาจะสับสนแค่ไหน ตราบใดที่เขาไปเยือนตระกูลเหล่านั้นและตรวจสอบด้วยตนเอง เขาก็จะสามารถบอกได้เช่นกันว่าตระกูลไหนพูดความจริงหรือตระกูลไหนพูดโกหก
เขาไม่เคยรู้แม้แต่ชื่อของทาสกระบี่ ทั้ง ๆ ที่ทาสกระบี่ติดตามเขามากว่าสามพันปี ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนผู้ติดตามของเขาคนนี้กลับคืนไปบ้างโดยการตอบแทนผ่านทางลูกหลานของทาสกระบี่
ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะมอบผลประโยชน์ให้กับลูกหล่านที่แท้จริงของทาสกระบี่เท่านั้น ส่วนผู้ใดที่มันแอบอ้างขึ้นมาเขาจะลงโทษมันให้สาสม!
“แล้วสถานการณ์ของตระกูลหลินในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามขึ้นต่อ
อันที่จริงเขาเองก็มีข้อมูลของตระกูลหลินอยู่บ้างแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องการเปรียบเทียบข้อมูลที่เขามีกับมู่เฉียนซ่ง
“ตระกูลหลิน นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับห้าของอาณาเขตสุสานกระบี่ ผู้นำตระกูล หลินฉางยู่ นั้นมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง…” มู่เฉียนซ่งเริ่มที่จะเล่ารายละเอียดข้อมูลของตระกูลหลิน
ในตอนนี้เมื่อเขาอาศัยรถม้าของหลิงตู้ฉิงเพื่อเดินทางกลับบ้าน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทน ซึ่งค่าตอบแทนนั้นก็คือข้อมูลทุกอย่างที่เขาพอจะรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่หลิงตู้ฉิงถามมา
จากนั้นเมื่อเวาลาผ่านไปสักพักใหญ่ พวกเขาก็ได้หลุดออกมาจากหุบเหวมรณะและเข้าสู่อาณาเขตสุสานกระบี่
เมื่อพวกเข้ามาในอาณาเขตสุสานกระบี่ พวกเขาก็สังเกตเห็นได้ว่าแทบจะผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตนี้ล้วนแล้วแต่พกกระบี่กันแทบทุกคน
ไม่เพียงแต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่พกกระบี่ แม้แต่มนุษย์ธรรมดาหลายคนก็ยังแสร้งพกกระบี่สะพายไว้ที่หลังบ้างหรือเหน็บไว้ที่ข้างเอวบ้างเช่นกัน ราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าอายถ้าหากพวกเขาไม่มีกระบี่ติดตัว
อันที่จริงหากไม่พูดถึงมนุษย์ธรรมดา เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกกระบี่เหล่านั้นไม่จำเป็นต้องพกกระบี่แสดงให้คนอื่นเห็นแบบนี้แม้แต่น้อย เนื่องจากว่าพวกเขาเองนั้นสามารถเก็บกระบี่ที่เป็นอาวุธวิเศษเหล่านี้เข้าไปในร่างกายได้อยู่แล้ว ซึ่งมันสะดวกกว่าเป็นไหน ๆ ที่จะพกไปพกมาให้เกะกะแบบนี้
“นี่มันบ้าบอมาก!” เย่ชิงเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “นี่พวกเขาเป็นโรคจิตกันหรือไง ทำไมต้องเอากระบี่ไว้นอกกายเพื่อแสดงว่าตัวเองเป็นนักกระบี่แบบนั้น?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียนซ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “แม่นางพูดถูก คนเหล่านี้มันก็แค่พวกจำอวดที่มีแต่ทำให้วิถีแห่งนักกระบี่มัวหมอง เอาล่ะพี่ชายข้าขอขอบคุณมากที่ท่านอุตส่าห์ให้ข้าติดรถม้ามาด้วย ในเมื่อตอนนี้พวกเราเข้ามาในอาณาเขตกระบี่แล้วงั้นขอข้าแยกทางกลับบ้านข้าตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ตระกูลมู่ของเจ้าอยู่ที่ไหน? หากมีโอกาสข้าอาจจะแวะไปเยี่ยมเยียนตระกูลของเจ้า อ๋อแล้วอีกอย่างสุสานกระบี่ไปทางไหนนะ?”
“สุสานกระบี่นั้นห่างออกไปจากที่นี่อีกประมาณ 35,000 กิโลเมตรในทิศทางด้านนั้น ท่านจะรู้เองเมื่อท่านเข้าไปใกล้กับมัน” มู่เฉียนซ่งชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “ส่วนสำหรับบ้านของข้า ตระกูลของข้าเป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในเมืองผนึกกระบี่ อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 3,000 กิโลเมตร เคยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าเมืองผนึกกระบี่นั้นเคยเป็นเมืองที่เทพกระบี่มาเยือนและได้ผนึกกระบี่เล่มหนี่งเอาไว้ ซึ่งมันจะจริงหรือไม่จริงข้าก็ไม่รู้ เพราะในอาณาเขตสุสานกระบี่แห่งนี้อะไร ๆ มันก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพกระบี่เต็มไปหมด”
เมื่อพูดจบ มู่เฉียนซ่งก็ส่งยิ้มและเอ่ยลากับหลิงตู้ฉิงพร้อมกับจากไป
เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซ่งได้หายลับไปจากสายตาแล้ว โม่เอ๋อก็ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าล่ะไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าเจ้าเด็กนั่นมันโอ้อวดหรือว่ามันมั่นใจแบบนั้นจริง ๆ ว่าจะก้าวข้ามเทพกระบี่ได้”
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าหากเขามีความมุ่งมั่นที่แรงกล้าจริง ๆ อะไรมันก็เป็นไปได้!”
นักกระบี่แทบจะทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็นับถือเทพกระบี่ดุจดั่งกับเทพพระเจ้า พวกเขาเหล่านั้นเอาแต่ไล่ตามเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่ตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเหนือล้ำไปกว่าเทพกระบี่ผู้เป็นเจ้าของ
แต่สำหรับตระกูลมู่นั้นแตกต่างออกไป พวกเขากลับมีความคิดนอกลู่นอกทางไม่แลตามองเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่แม้แต่น้อย ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้หลิงตู้ฉิงสนใจเป็นอย่างมาก
ไม่แน่ว่าเต๋ากระบี่ใหม่มันอาจจะเกิดขึ้นจากตระกูลมู่ก็เป็นได้
และความน่าสนใจนี้มันคือจุดสำคัญที่เขาให้ความสนใจกับมู่เฉียนซ่ง รวมไปถึงที่เขาได้เห็นความมุ่งมั่นของเด็กคนนั้นแล้วมันจึงทำให้เขาอยากได้เด็กคนนั้นมาเป็นศิษย์ในนาม
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะต้องการ เขาก็ทำอะไรไม่ได้หากมู่เฉียนซ่งยังคงปฏิเสธเขาอยู่เช่นนี้