ความสัมพันธ์ของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์และสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นับได้ว่าแน่นแฟ้นกันเป็นอย่างมาก ล่าสุดที่นางและเย่หยูหลันมาที่นี่ก่อนหน้านี้ พวกนางต่างได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และยิ่งไปกว่านั้นสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เป็นหนี้บุญคุณสำนักของนางอยู่เป็นจำนวนมาก ทำไมในเวลานี้ท่าทีของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงต่อนางกลับกลายเป็นเย็นชาและเป็นปรปักษ์ได้ขนาดนี้?
น่าเสียดายที่ถึงแม้เย่ชิงเฉิงจะรู้สึกไม่พอใจแต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากนางยังคงจำเป็นที่จะต้องพึ่งประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ในการเดินทางกลับไปยังสำนักเพื่อช่วยพ่อของนางให้เร็วที่สุด
แต่ในท้ายที่สุดความอดทนของนางกลับไม่ได้รับการตอบรับจากผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นี้
เมื่อได้ยินคำถามของเย่ชิงเฉิง ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญแสดงสีหน้าเย้ยหยันและพูดว่า “การพิสูจน์ตัวตนมันเป็นเรื่องของเจ้าหรือต่อให้เจ้าพิสูจน์มา ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้แอบอ้างเป็นคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จริง?”
ในความหมายของประโยคนี้ที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญเอ่ยมา ต่อให้นางจะเอาป้ายคำสั่งของสำนักนางมาแสดง เขาก็คงสามารถอ้างได้ว่านางคงไม่ใช่คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
เย่หยูหลันที่ฟังมาพอแล้วนางเดินออกมาด้านหน้าและพูดว่า “ข้าพิสูจน์ได้!”
เมื่อพูดจบ เย่หยูหลันพุ่งตัวเข้าไปคร่ากุมร่างของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นไว้ทันที
นางบอกได้ทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันต้องเป็นการจัดฉากอะไรสักอย่าง ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าผู้ที่จัดฉากคือสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์หรือผู้เชี่ยวชาญผู้นี้เอง
ดังนั้นนางจึงคร่ากุมตัวผู้เชี่ยวชาญผู้นี้เอาไว้เพื่อทดสอบท่าทีของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
ด้วยความแตกต่างกันถึงสามระดับการบ่มเพาะ นางจึงสามารถคร่ากุมผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่แล้วเพียงชั่วพริบตาเดียวหลังจากที่นางคร่ากุมผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ ร่างของผู้เชี่ยวชาญอีก 7 ถึง 8 ร่างก็ปรากฎขึ้นออกมาจากใต้ผิวน้ำของทะเลสาบ และตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าเป็นใครกัน? ปล่อยคนของเราเดี๋ยวนี้!”
เย่หยูหลันตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคือคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เย่หยูหลัน ก่อนหน้านี้ข้าได้เคยมาเยือนสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้ากับคุณหนูของข้าแล้ว หากพวกเจ้าไม่เชื่อพวกเจ้าก็จงไปตามเจ้าสำนักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสฉีของพวกเจ้าออกมายืนยันตัวตนของพวกข้าได้ จงไปบอกกับเจ้าสำนักของพวกเจ้าว่าการกระทำของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร คุณหนูของข้าอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่พวกเจ้ากลับต้อนรับแขกเช่นนี้ มันสมควรแล้วงั้นเหรอ?”
“ก็สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของพวกท่านไม่ปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นแขกที่ดีของพวกข้าก่อนไม่ใช่หรือ?” เสียงหนึ่งลอยดังขึ้นจากระยะไกล
เมื่อสิ้นเสียงกล่าว ชายชุดขาวผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นยืนอยู่บนผิวน้ำ
“ผู้อาวุโสฉี!” บรรดาผู้คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ต่างโค้งคำนับ
เย่หยูหลันมองไปที่ชายที่ยืนอยู่บนผิวน้ำและพูดว่า “ผู้อาวุโสฉี ช่างรวดเร็วดีจริง ๆ ไม่สิ อันที่จริงข้าคิดว่าท่านคงแอบดูอยู่สักพักแล้วใช่ไหม? เอาล่ะข้าอยากท่านถามสักหน่อยว่าท่าทีของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของท่านในตอนนี้มันคืออะไร? หากท่านไม่ยินดีต้อนรับพวกข้า พวกข้าก็จะจากไปทันที”
ผู้อาวุโสฉีหัวเราะและพูดว่า “ข้าก็แค่ผ่านมาดูเท่านั้นในตอนที่ข้าสัมผัสได้ว่ามีคนโจมตีสำนักของข้า ซึ่งข้าก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นพวกท่าน เอาล่ะตอนนี้ข้าคิดว่ามันคงถึงเวลาที่ท่านจะปล่อยคนของข้าเป็นอิสระแล้วล่ะมั้ง? มันดูไม่ใช่มารยาทที่ดีสักเท่าไหร่ที่เมื่อพวกท่านมาถึงพวกท่านก็จับกุมคนของข้าเอาไว้แบบนี้จริงไหม?”
เย่หยูหลันสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ และจากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “โปรดอภัยที่ข้าล่วงเกินด้วย ผู้อาวุโสฉี!”
หลังจากพูดจบ นางก็ปล่อยตัวผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นทันที
ในตอนนี้นางเองก็รู้ตัวว่านางไม่อาจพูดอะไรได้มากนัก เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กำลังมีปัญหาและนางต้องรีบกลับไปที่สำนักของนางอย่างเร็วที่สุด และการที่นางจะกลับไปได้เร็วที่สุดนางจำเป็นต้องหวังพึ่งประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
หากนางต้องเดินทางไปยังอาณาเขตอื่นเพื่อขอยืมใช้ประตูเคลื่อนย้ายมันก็จะยิ่งเป็นการเสียเวลามากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนาง นางจึงจำเป็นต้องถอยให้กับสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างสงบลง ผู้อาวุโสฉีก็นำพวกของหลิงตู้ฉิงทั้งหมดเข้าไปในสำนักของเขา
แต่ในระหว่างที่กำลังเข้าไปในสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของเย่ชิงเฉิงและเย่หยูหลันก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเป็นอย่างมาก
เนื่องจากพวกนางไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ถึงปฏิบัติกับพวกนางเช่นนี้
ตั้งแต่ที่พวกนางมาถึงสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์ทุกอย่างมันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้พวกนางเข้ามาในสำนักของพวกเขา มันจึงทำให้พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากบีบบังคับให้ตัวตนระดับสูงของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ต้องปรากฎกายขึ้นและพาพวกนางเข้ามาในสำนักอย่างช่วยไม่ได้
พวกนางต่างคิดในใจว่าการกระทำเช่นนี้มันดูคล้ายกับว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ต้องการที่จะแข็งข้อกับสำนักของพวกนาง ซึ่งอันที่จริงมันก็ดูค่อนข้างที่จะเป็นไปไม่ได้เพราะสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์นั้นพึ่งก่อตั้งมาได้แค่หมื่นปีเท่านั้น
สำนักระดับนี้จะเอาอะไรมาเทียบได้กับสำนักของพวกนาง ถึงแม้ว่าในตอนนี้สำนักของนางจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ตาม?
แต่แล้วเมื่อกลุ่มของหลิงตู้ฉิงถูกนำมาที่เกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และได้เห็นภาพของสถานที่พักที่ดูซอมซ่อ เย่ชิงเฉิงก็รู้สึกโกรธจัดขึ้นมาทันที
ที่นางโกรธก็เพราะว่าเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้คือเกาะที่สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เตรียมไว้ให้สำหรับพวกนางได้พัก
มันเห็นได้ชัดว่าเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มันน่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนรับใช้ ซึ่งในตอนนี้พวกเขาเอาเกาะแบบนี้มาต้อนรับนางงั้นเหรอ?
ผู้อาวุโสฉีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแบบกระอักกระอ่วน “บังเอิญว่าช่วงเวลานี้สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้นเต็มไปด้วยแขกมากมาย ตอนนี้มันเลยมีแค่เพียงเกาะแห่งนี้ที่ว่างอยู่เพียงเกาะเดียว ดังนั้นข้าคงต้องขออภัยที่ต้องให้พวกท่านพักที่นี่เป็นการชั่วคราวไปก่อน”
เย่ชิงเฉิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าข่มอารมณ์ว่า “ขออภัยที่ต้องรบกวน ผู้อาวุโสฉี! แต่อันที่จริงแล้วข้านั้นไม่ได้ต้องการที่จะมาพักอาศัยอยู่ในสำนักของท่าน ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะว่าข้าเพียงแค่ต้องการยืมใช้ประตูเคลื่อนย้ายของท่านเพื่อกลับไปที่สำนักของข้า และในเมื่อท่านเองก็มีแขกอยู่เยอะแยะ ดังนั้นข้าคงไม่ขอรบกวนท่านมากไปกว่านี้ โปรดท่านช่วยไปบอกกับเจ้าสำนักของท่านทีว่าข้าจะขอยืมใช้ประตูเคลื่อนย้ายเพื่อจากไปในทันที”
“ข้าเกรงว่าในตอนนี้คงจะไม่ได้” ผู้อาวุโสฉีถอนหายใจ “ในตอนนี้ท่านเจ้าสำนักกำลังอยู่ในช่วงปิดด่านบ่มเพาะ แต่เขาน่าจะใช้เวลาอีกไม่นานเท่าไหร่ก็จะออกมา ดังนั้นข้าเกรงว่าคุณหนูเย่และคนของท่านคงต้องอยู่รอและพักที่นี่ไปก่อนเพื่อรอให้ท่านเจ้าสำนักออกมา เอาล่ะ ข้าเองในตอนนี้มีธุระอยู่ ดังนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน หากพวกท่านต้องการอะไรเพิ่มเติมก็จงบอกกับศิษย์ของสำนักที่ผ่านไปมาได้”
หลังจากพูดจบเขาก็บินจากไปในทันทีไม่รอให้เย่ชิงเฉิงได้ตอบโต้อะไร
การกระทำเช่นนี้ของผู้อาวโสฉี มันทำให้เย่ชิงเฉิงถึงกับตกตะลึง
นางไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่านางที่เป็นถึงลูกสาวของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะต้องมาเผชิญกับการต้อนรับแบบนี้ในสักวันหนึ่ง
“นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!” เปียนเฉียวเฉียวตะโกนขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “ข้าคิดว่าไอ้คนพวกนี้มันต้องมีแผนอะไรไม่ดีกับพวกเราแน่เลย!”
หยุนจื่อรุ่ยรีบดึงแขนเปียนเฉียวเฉียวเอาไว้เพื่อเตือนให้นางเงียบลง
ไม่ใช่ว่าคำพูดแบบนี้มันยิ่งทำให้เย่ชิงเฉิงรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกงั้นเหรอ?
เย่ชิงเฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิง และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “สามี ข้าทำให้ท่านต้องมาเห็นเรื่องน่าอายเข้าให้แล้ว ข้าเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าตอนนี้สำนักของข้าได้ตกต่ำลงถึงเพียงนี้”
เย่หยูหลันเอ่ยขึ้นแทรกทันทีว่า “คุณหนู ถึงแม้ว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราในตอนนี้จะมีปัญหาภายใน แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เรายังคงมีอยู่ มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จะกล้าแข็งขืนและต่อกรกับเราได้ ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันจะต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่”
หมิงยู่ถอนหายใจและเอ่ยขึ้นเช่นกัน “เฮ้อน่าเสียดายที่สำนักของข้าพึ่งฟื้นฟู มันจึงยังไม่มีประตูเคลื่อนย้ายของตนเอง ไม่งั้นเราคงไม่จำเป็นต้องถ่อมาไกลถึงที่นี่แบบนี้ นายท่านทำไมพวกเราถึงไม่ลองไปที่สำนักอื่นดูล่ะ?”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้า “สามี ในเมื่อพวกเราใช้ประตูเคลื่อนย้ายของที่นี่ไม่ได้ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันที่สำนักอื่นกันเถอะ หากดูจากความเร็วของหลงเฉินแล้วข้าคิดว่าพวกเราคงไม่น่าใช้เวลาเกิน 100 ปีเพื่อไปถึงสำนักต่อไปที่พวกเราสามารถยืมใช้ประตูเคลื่อนย้ายได้ ไม่เช่นนั้นเราคงจะต้องรออยู่ที่นี่และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะให้เราใช้ประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขา”
ในทางกลับกัน ตอนนี้หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และตอบกลับว่า “ไม่จำเป็นเลย! พวกเราจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์นี่แหละ ข้าก็บอกได้เลยว่าอีกไม่นานนัก พวกเขาจะต้องมาอ้อนวอนขอให้พวกเราไปใช้ประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขาเองด้วยซ้ำ!”