จางหยูไม่อาจจะบอกได้ว่าเขารู้สึกยังไงกับซุนเมิ่ง แต่การที่ได้อยู่กับซุนเมิ่งมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ หากวันหนึ่งเขาได้อยู่กับซุนเมิ่งจริงๆ จางหยูก็รู้สึกว่าซุนวูนั้นน่าจะรับได้
อันที่จริงแล้วจางหยูก็รู้สึกเก้อเขินไม่น้อยไปกว่าซุนเมิ่งเลย แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของซุนวู
ตราบใดที่เขาไม่อาย งั้นก็ต้องเป็นคนอื่นที่อายแทน
เจ้าจะฟังรึไม่ ? หากเจ้าไม่อยากฟัง งั้นข้าจะไปแล้ว จางหยูพูดขึ้น
เมื่อเห็นว่าจางหยูไม่แสดงท่าทีเขินอายออกมาซุนวูก็ผิดหวัง เขาอยากให้จางหยูมาเป็นพี่เขยของเขา พี่เขยแบบนี้ยากจะหาได้
ฟัง เจ้าสำนัก ข้าอยากจะฟังท่าน ซุนวูไม่กล้าพูดถึงซุนเมิ่งอีก เขากลัวว่าหากเล่นมากเกินไปจางหยูจะเปลี่ยนใจเอาได้
จางหยูแสดงสีหน้าเยือกเย็นออกมาและพูดขึ้น นั่งลง
ในตอนที่ซุนวูนั่งลงนั้นจางหยูก็ได้ใช้ทักษะหลอกลวงและพูดถึงเนื้อหาที่ไม่ต่างจากการบรรยายสองครั้งแรก ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ซุนวูก็ยังตั้งใจฟัง เสียงของจางหยูราวกับมีมนต์สะกด ภายใต้การสนับสนุนของเสียงนี้แล้วซุนวูก็ได้เข้าไปถึงแก่นของการสร้าง เขาได้จมอยู่ในภาวะลึกลับ
ทันทีที่จางหยูพูดจบ เขาก็ได้จากไปทันที
ตอนที่ซุนวูได้สติกลับมา เขาก็ไม่เห็นร่องรอยของจางหยู
เกือบแล้ว อีกแค่นิดเดียว ! ซุนวูรู้สึกได้ว่าการบ่มเพาะของตัวเองพัฒนาขึ้นมา ความเข้าใจของเขามากกว่า ซังหนานเทียนในอดีต เขาห่างจากราชาแค่เพียงก้าวเดียว มันคือก้าวเดียวจริงๆ เขารู้สึกว่าหากได้ฟังการบรรยายของจางหยูอีกครั้ง เขาก็มีหวังอย่างมากที่จะขึ้นเป็นราชาได้
ในตอนนั้นซุนเมิ่งก็ได้พูดขึ้นมา มันเพราะเจ้าไม่พยายามให้มากพอ
หากเทียบกับศิษย์และอาจารย์คนอื่นๆรวมถึงผู้ควบคุมขั้นที่ 9 ทั่วไปแล้ว การรับรู้ของซุนวูนั้นลึกซึ้งมาก แต่เมื่อเทียบกับ ซังหนานเทียนแล้วซุนวูด้อยกว่ามาก ทุกครั้งที่เขาได้ฟังการบรรยายของจางหยูระดับของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมา ความไม่เข้าใจที่ตกตะกอนและเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนก็ค่อยๆกระจ่างขึ้น จนถึงตอนนี้ความเข้าใจที่ตกตะกอนอยู่นั้นก็ใกล้จะกระจ่างหมดแล้ว ดังนั้นผลลัพธ์ในแต่ละครั้งจึงมักจะด้อยกว่าก่อนหน้าเสมอ
เขาได้พึมพำออกมา หากข้ารู้ว่าการบรรยายของเจ้าสำนักจะส่งผลเช่นนี้ ข้าคงไม่มีทางเกียจคร้าน…
ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วรึว่าเจ้าเกียจคร้านเอง ? ซุนเมิ่งพูดขึ้นมา ข้าจะไปฟังเจ้าสำนักเล่าเรื่องต่อ เจ้าบ่มเพาะไป อย่าหวังว่าจะมีใครมาแนะนำเจ้าได้ …
วันต่อมาจางหยูก็ได้กลับมาบรรยายให้ซุนวูฟังอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้กลับไปเล่าเรื่องที่ลานสำนัก
ในโลกตันเถียนนั้นมีโลกกำเนิดขึ้นใหม่ทุกวัน มันคือโลกขั้น 7-8
จนกระทั่งบรรยายส่วนตัวให้ซุนวูฟังถึงวันที่เจ็ด สุดท้ายซุนวูก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดและทะลวงผ่านขึ้นเป็นราชา !
การทะลวงผ่านนี้ทำให้จิตของซุนวูยกระดับขึ้นมา มันเทียบกับราชาที่อยู่ในขอบเขตการสร้างไร้จำกัด
ตอนนี้ซุนเมิ่งและซุนวูผ่านเงื่อนไขในการเป็นจ้าวบรรพกาลแล้ว รอแค่โลกตันเถียนให้กำเนิดบรรพกาลขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองคนจะก้าวขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล
เพื่อเติมเต็มเงื่อนไขนี้จางหยูได้ทำการบรรยายเป็นการส่วนตัวให้ซุนวู จนกลายเป็นราชาได้ จางหยูไม่ได้ทำการบรรยายซุนวูต่อเขากลับให้ซุนวูควบคุมพลังของตนให้ได้ก่อน
ในระหว่างนั้นจางหยูก็ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของโลกตันเถียนพร้อมกับเล่าเรื่องไปด้วย
ในพริบตาก็ผ่านไปกว่าครึ่งปี โลกตันเถียนมีโลกกำเนิดขึ้นมาใหม่เกือบ 200 ใบ โลกพวกนี้ส่วนมากเป็นโลกขั้น 7 มีส่วนหนึ่งเป็นโลกขั้น 8 และโลกขั้น 6 นั้นมีไม่มาก แม้ว่าความแข็งแกร่งของจางหยูจะไม่ได้ยกระดับขึ้นมาแต่จำนวนของโลกที่เชื่อมต่อกับสำนักคังเฉียงก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก อาจารย์และศิษย์มีตัวเลือกมากขึ้น มันยังทำให้โลกตันเถียนพัฒนาขึ้นตามไปด้วย
พวกกุยหยวนและผู้ควบคุม แม้ว่าส่วนมากจะอยู่ในโลกบรรพกาลและโลกผนึกเทพ แต่ก็มีบางส่วนที่อยู่ในโลกผังหลงและโลกอื่นๆด้วย พวกนี้ต่างก็เดินทางไปยังโลกเหล่านั้นเพื่อหาประสบการณ์
ด้วยจำนวนผู้ควบคุมและกุยหยวนที่เพิ่มเข้ามา โลกตันเถียนก็เติบโตด้วยความเร็วที่น่าตกใจ มันมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
โลกตันเถียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มันแทบจะเปลี่ยนไปแบบวันต่อวัน สุดท้ายหลังจากที่ผ่านมา 6 เดือน การเติบโตของโลกการผันแปรของดวงดาวก็มาถึงขีดจำกัด
….
โลกการผันแปรของดวงดาวกลับสั่นไหว มันไม่ใช่เพราะไม่อาจจะแบกรับพลังในโลกได้ แต่เป็นเพราะการยกระดับของมัน กฎของมันชัดเจนขึ้นกว่าเดิมแต่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือพลังสร้างในโลก !
โลกการผันแปรของดวงดาวได้กลายเป็นโลกขั้นที่ 9 !
ตูม !
ที่ด้านนอกโลกการผันแปรของดวงดาวนั้น ตัวโลกได้แยกออกมาจากมิติเวลาอันไร้สิ้นที่สุด ความว่างเปล่าที่ห่อหุ้มโลกการผันแปรของดวงดาวนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นบรรพกาล และบรรพกาลนี้ก็ยังขยายตัวต่อไป ผ่านไปสักพักมันก็ขยายตัวเท่ากับครึ่งหนึ่งของบรรพกาลของโลกผนึกเทพ จากนั้นความเร็วของมันก็ลดลงอย่างมาก
บรรพกาลแห่งที่สามของโลกตันเถียนได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว
ในวันนี้คนในสำนักคังเฉียงรวมถึงซุนเมิ่ง, ซุนวูและจางหยูต่างก็ไปรวมตัวกันที่โลกการผันแปรของดวงดาว
พวกผู้ควบคุมและกุยหยวนคนอื่นเมื่อได้ยินข่าวนี้ต่างก็พากันมารวมตัวที่นี่ด้วย
ภายใต้สายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน โลกการผันแปรของดวงดาวก็ยกระดับตัวเองสำเร็จและให้กำเนิดบรรพกาลแห่งใหม่
นี่มันทำให้ทุกคนต้องทึ่ง
ถึงเวลาแล้ว จางหยูรับรู้ถึงบรรพกาลของโลกนี้และยิ้มออกมา
ถึงเวลาอะไรกัน ? คนของสำนักคังเฉียงต่างก็สับสน
ซุนเมิ่งและซุนวูพากันมองไปที่จางหยู จางหยูมองไปที่ซุนเมิ่งและซุนวู ก่อนจะพูดขึ้นว่า ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหล !
เมื่อได้ยินที่จางหยูบอกมา ซุนวูและซุนเมิ่งต่างก็ตื่นเต้นโดยเฉพาะซุนวู เขาใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลเพราะมีแค่การเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลเท่านั้นที่จะมีหวังแก้แค้นให้กับปู่ของเขา มีแค่เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลเท่านั้นที่จะสู้กับไห่อู่เซิงได้
แต่ตอนนี้มีแค่พวกเจ้าเพียงคนเดียวที่จะเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลได้ ส่วนอีกคนต้องรอไปก่อน จางหยูไม่ได้รีบร้อน ใครก่อน ?
ซุนวูลังเล เลือกได้แค่คนเดียวรึ ?
จางหยูยังไม่ทันได้พูด ซุนเมิ่งก็พูดขึ้นมา ให้ซุนวูเป็นก่อนเลย
ท่านพี่… ซุนวูชะงัก
เจ้ามั่นใจรึ ? จางหยูมองไปที่ซุนเมิ่ง
ซุนเมิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ข้าอยู่ในขอบเขตการสร้างไร้จำกัด แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแต่ความแข็งแกร่งของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากึ่งจ้าวโกลาหล น้องชายข้าไม่เหมือนกัน เขาต้องการโอกาสนี้มากกว่าข้า นางมองไปที่จางหยูแล้วพูดต่อ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลในตอนนี้แต่ก็ยังมีโอกาสอยู่ไม่ใช่รึ ?
จางหยูพยักหน้า ใช่ แค่ต้องรอเวลาและคงอีกไม่นาน
งั้นก็ให้ซุนวูก่อน ซุนเมิ่งพูดขึ้น ด้วยวิธีนี้ฝ่ายเราก็จะมีกึ่งจ้าวโกลาหล 5 คน หากเราร่วมมือกันแล้ว บางทีเราอาจจะเอาชนะไห่อู่เซิงได้
ในตอนที่ไห่อู่เซิงยังไม่เป็นจ้าวโกลาหล ตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าอีกฝ่าย หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว งั้นในอนาคตก็อาจจะไม่ได้โอกาสแบบนี้อีก
ครั้งนี้ข้าจะช่วยซุนวูเป็นกึ่งจ้าวโกลาหล จางหยูรู้สึกว่าที่ซุนเมิ่งพูดมามีเหตุผล หากช่วยซุนเมิ่งให้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหล งั้นมันก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา !
ซุนวูสูดหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่ซุนเมิ่ง ขอบคุณท่านพี่ !
หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองจางหยู ขอบคุณเจ้าสำนัก !
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเขารู้ว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว