เยี่ยนจ้าวเกอตะโกนออกไปว่า “โยนเชื้อไฟทิ้งไปเสีย เขาอาศัยเชื้อไฟในการกำหนดตำแหน่ง!”
เยี่ยจิ่งที่เพิ่งรู้ตัวรีบโยนเชื้อไฟสัจจะอัคคีไปโดยเร็ว
แต่พลังหมัดของมหาปรมาจารย์มีความเร็วมากเกินไป แม้ว่าจะมีทำเลของปราการมังกรขวางกั้น แต่มวลพลังนั้นก็มาถึงในพริบตา รวดเร็วจนเยี่ยจิ่งอาจจะหลบไม่ทันโดยสิ้นเชิง
โชคดีที่การประมือของปีศาจหานและหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก่อนหน้านี้ ทำให้หน้าผาหินที่อยู่รอบตัวเยี่ยจิ่งพังลงจนไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างไปแล้ว
พลังหมัดที่สองของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงยังมาไม่ทันถึง เพียงแค่ลมมรสุมที่ก่อตัวขึ้นก็ทำให้หน้าผาหินพังทลายลง
ร่างของเยี่ยจิ่งตกลงไปด้านล่างอย่างควบคุมไม่อยู่ โชคดีที่พ้นจุดสำคัญไปได้อย่างฉิวเฉียด แม้ว่าจะถูกมรสุมไฟเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสไปทั่วร่างกาย แต่จนสุดท้ายก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
เพียงแต่คนอื่นในเหตุการณ์ต่างพากันร้องด้วยความตกใจ พลางมองเยี่ยจิ่งที่จมลึกลงไปในใจกลางปราการมังกรที่มองไม่เห็นก้น!
ด้วยวรยุทธ์ที่เยี่ยจิ่งมีอยู่ การตกลงไปในปราการมังกรเช่นนี้ ทำให้เขาแทบจะไม่มีโอกาสรอดกลับมา
แม้ว่าจะไม่ได้ตายด้วยหมัดของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ยากจะหลีกหนีความตายพ้นเช่นกัน
สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลสุดท้ายได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ศิษย์ร่วมสำนักทุกคนจะมีความสัมพันธ์กับเยี่ยจิ่งเช่นไร พวกเขาต่างก็รู้สึกโศกเศร้าไปพร้อมกันไปชั่วขณะหนึ่ง
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
เขากลับมีความรู้สึกง่วงหงาวหาวนอนด้วยซ้ำ
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของปีศาจแซ่หานคนนั้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเชื่ออย่างหมดใจ ว่าเยี่ยจิ่งผู้นี้จะมีต้องมีรัศมีแบบคนเป็นพระเอกปกคลุมตัวอยู่เป็นแน่
เพราะฉะนั้นการกระโดดหน้าผาเช่นนี้ ออกจะเป็นเรื่องง่ายดาย
ไม่เพียงเยี่ยจิ่งจะไม่ตาย แต่ยังอาจได้พบพานกับปาฏิหาริย์ ได้คัมภีร์เพื่อเพิ่มระดับวรยุทธ์สักสองสามเล่ม เยี่ยนจ้าวเกอคิดว่าเขาคงไม่กล้าท้าทายใครแน่
เยี่ยนจ้าวเกอที่มองดูเยี่ยจิ่งตกลงไปเบื้องล่างด้วยทีท่าที่ดูสงบผิดปกติ ราวกับมีความรู้สึกว่า ‘ข้ามองเจ้าออกหมดแล้ว’
และในตอนนั้นเอง ในหุบเหวเบื้องล่างซึ่งมีหมอกดำปกคลุมอยู่นั้น พลันมีแสงเจิดจ้าไหลทะลักออกมา
แสงหลายเส้นพันเกี่ยวอยู่กับกลุ่มหมอกดำ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เกิดเป็นคลื่นบ้าคลั่งเสมือนกับพลังทำลายล้าง
“นั่นคือ…เตาผลึกหินชั้นในของข้า มันระเบิดหลังจากที่ตกลงไปในหุบเหวก่อนหน้านี้…อย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอตะลึงงัน
จากนั้นเขาก็เห็นคลื่นพลังทำลายล้างอันบ้าคลั่งที่กำลังพวยพุ่งขึ้น ปะทะเข้ากับเยี่ยจิ่งผู้กำลังตกไปเบื้องล่างพอดี!
ครั้นเห็นภาพตรงหน้า เยี่ยนจ้าวเกอก็เหม่อลอยขึ้นมาในทันที “…สรุปแล้วชะตาชีวิตของเจ้านั้น ดีหรือไม่ดีกันแน่”
สายตาของเยี่ยจิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เขากลับทำได้เพียงเบิกตากว้างมองดูร่างของตนเองแตกกระจุยกระจาย เขาสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว กระทั่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันรุนแรง
“เยี่ยน-จ้าว-เกอ!!”
เยี่ยจิ่งมองดูเตาผลึกหินชั้นในแตกกระจาย พร้อมกับมองดูตนเองถูกดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องคำรามอันเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและไม่พอใจของเขา ดังสะท้อนอยู่ในปราการมังกร
ทันใดนั้น แหวนสีแดงคล้ำที่สวมอยู่บนนิ้วที่มือข้างขวาของเขาปรากฏแสงที่น่าทึ่งออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชั่วขณะที่แสงสีแดงเข้มสว่างขึ้นมา มรสุมเพลิงจากหมัดของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก่อนหน้านี้พลันอับแสงไป จนดูราวกับดวงไฟเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา
นัยน์ตาของเยี่ยนจ้าวเกอหดเกร็งตามไปด้วย เขามองเห็นได้รางๆ ว่ารอบกายของเยี่ยจิ่งกำลังสะท้อนเงาของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากแหวนสีแดงคล้ำวงนั้น
ในเงานั้นปรากฏภาพโลกที่กำลังลุกไหม้
ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงคล้ำนั้น มีหินหลอมละลายกำลังปะทุ หินหนืดไหลไปทั่วทั้งผืนดิน เป็นดังเช่นวันสิ้นโลก
กลิ่นอายของภัยพิบัติ การล่มสลาย และความทุกข์ทรมานมหาศาลทะลักออกมาในภาพนั้น เพียงแค่มองหินหนืดปะทุกระเด็น ก็คล้ายกับเห็นภาพของนรกที่ลุกโชนไปด้วยกองเพลิงอันน่าพรั่นพรึง
หินหนืดปริมาณมหาศาลเข้ารวมตัวกันอยู่กลางท้องฟ้า เกิดเป็นอสูรไฟยักษ์เปล่งเสียงคำรามก้องลั่น!
ผู้คนเกิดความหวาดกลัวและจำนนต่อความอหังการของอสูรไฟยักษ์ จนขนาดที่ก้มหัวกราบไหว้เองโดยที่ไม่อาจฝืนได้
พลังนั้นน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าพลังของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก ปีศาจหาน และหัวหน้าค่ายชื่อหลิงมาก
แม้เป็นเพียงภาพลวงตาที่แผ่กระจายความประหวั่นพรั่นพรึงออกมาแค่เสี้ยววินาที แต่ก็ยังทำให้ขนลุกตั้งและใจเต้นรัวด้วยความเกรงกลัว
เหล่าลูกศิษย์ในสำนักถูกแสงและม่านหมอกสีดำบดบังสายตาเอาไว้ จึงมองไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทว่าภายในใจของพวกเขาก็มีแต่ความหวาดผวาจนควบคุมตัวเองได้ยาก
เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพในเงานั้น และตกอยู่ในภวังค์ของความคิด แต่สิ่งที่สะกิดใจของเขาที่มากกว่านั้น ก็คือช่วงสุดท้ายในชีวิตของเยี่ยจิ่ง
ร่างกายของเยี่ยจิ่งแหลกละเอียดโดยสิ้นเชิง กลายเป็นหมอกเลือดจากการโหมกระหน่ำใส่ของคลื่นบ้าคลั่ง อันเกิดจากการระเบิดของปราการมังกร ชีวิตของเขาดูเหมือนจะถึงจุดจบแล้ว
แต่ตรงหน้าพลันเกิดเรื่องประหลาดขึ้น หรือว่ารัศมีความเป็นตัวเอกของเยี่ยจิ่งจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง
เลือดเนื้อที่กระจุยกระจายของเยี่ยจิ่งราวกับปรากฏภาพเลือนรางขึ้น ภายใต้บริเวณแสงสีแดงคล้ำที่แผ่ออกจากแหวน ภาพนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับเยี่ยจิ่งทุกประการ
“วิญญาณ…”
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในทันที ก่อนจะเห็นดวงวิญญาณของเยี่ยจิ่งลอยละล่องเข้าไปอยู่ในแหวนวงนั้นอย่างเชื่องช้า
ต่อให้ร่างกายแหลกสลายไปจนอนุมานได้ว่าตายไปแล้ว แต่แหวนกลับช่วยชีวิต และรักษาโอกาสที่จะพลิกชะตาครั้งสุดท้ายของเขาไว้ได้
“ฮึ ช่างน่าสนใจนัก” เยี่ยมจ้าวเกอลูบคางมองแหวนจมหายไปในหุบเหว พลางเอ่ย
แม้จะไม่รู้ว่าชะตากรรมของเยี่ยจิ่งจะเป็นเช่นไร แต่คิดดูแล้วก็น่าจะมีวิธีแสดงฉากการกลับมาของนักแสดงระดับราชากระมัง
ยกตัวอย่างเช่น การสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ตบะปราณแก่กล้าขึ้นอย่างมหาศาล พบเจอกับปาฏิหาริย์จนเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ หรือแม้ไม่มีร่างกาย แต่ก็ยังฝึกฝนยอดวิชาลับบางอย่างที่ถูกเก็บบันทึกเอาไว้ในแหวนวงนั้นได้…
อย่างไรเสียก็ต้องมีหนทางสินะ?
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่แม้กระทั่งเยี่ยนจ้าวเกอก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
เยี่ยจิ่งก็คงถูกทรมานจนย่ำแย่เลยทีเดียว หากลองถามใจเขาดู คงจะเป็นความไม่เต็มใจนับล้านเลยกระมัง
เพราะเขาเกือบจะจบเห่ไปแล้ว
“ถ้าหากว่าตัวเอกมีค่าความทนทานอยู่ล่ะก็ วันนี้เยี่ยจิ่งก็คงได้ใช้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว” ยามนี้ในสมองของเยี่ยนจ้าวเกอมีความคิดต่างๆ นานาแล่นผ่านไปโดยที่ไม่สามารถบังคับได้
เสียงร้องตะโกนอย่างโกรธแค้นและไม่ยินยอมของเยี่ยจิ่ง ราวกับยังดังก้องอยู่ในอากาศ
“จะร้องตะโกนเสียงดังขนาดนั้นเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจโยนเตาผลึกหินชั้นในใส่เจ้าเสียหน่อย ข้ายังรู้สึกเสียดายมันอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้น…”
เยี่ยนจ้าวเกอแคะหู รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เย็นชาขึ้น “…ข้าไม่สนใจเจ้า เจ้าก็ยังเป็นฝ่ายมายุ่งวุ่นวายกับข้า หากภายหลังเจ้าไม่มาโผล่หน้าให้ข้าเห็นก็แล้วกันไปเถอะ มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องมาคิดบัญชีเรื่องเชื้อไฟสัจจะอัคคีกันสักหน่อย”
“เจ้ามีรัศมีความเป็นพระเอกแล้วอย่างไร ข้าจะทำให้เจ้าพระเอกผู้เจิดจรัส กลายเป็นพระเอกผู้น่าเวทนาให้ดู!”
ในปราการมังกรยังคงมีคลื่นบ้าคลั่งไหลทะลัก พร้อมกับหมอกดำที่พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา และมีแสงสีน้ำเงินกับแสงสีขาวลอยออกจากในหุบเหวพร้อมกัน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ
เชื้อไฟสัจจะอัคคีค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น ส่วนแสงสีขาวนั้นก็กลับคืนสู่สภาพปกติ กลับกลายเป็นแผ่นป้ายเหล็กเล็กๆตกลงสู่พื้นดิน
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเชื้อไฟสัจจะอัคคีและป้ายโลหะขึ้นพร้อมกัน “ถึงจะต้องพบกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็นับว่าในได้มาอยู่ในมือในที่สุด”
เขาเดินอยู่ท่ามกลางลมมรสุม พร้อมกับนำพาลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่ปกป้องตัวเองแทบไม่ได้ฝ่าออกไปทีละคน
เมื่อหันหลังกลับไปมองดูปราการมังกรเบื้องล่าง จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดได้ว่า ‘จริงสิ แผ่นป้ายเหล็กนี้เหมือนจะเป็นของของเจ้าเยี่ยจิ่ง…’
…………….