ตอนที่ 470
ไม่ทัน
“จูเอ๋อ ข้ามีเรื่องอยากจะให้เจ้าช่วยหน่อย”จิ้งจอกเหมันต์พูดพลางเดินเข้าไปในห้องของไป๋จูเหวินพร้อมๆกับหลี่เย่และเหล่าเซียงผู้เป็นอาจารย์
“มีอะไรหรือขอรับ”ไป๋จูเหวินถามพลางลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที เมื่อเทียบกับตอนเป็นจักรพรรดิแล้วงานที่มันต้องทำในแต่ละวันน้อยลงมาก แถมระดับพลังก็มาจนสุดทางแล้วเรียกได้ว่าวันๆแทบจะเป็นการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเลยก็ว่าได้ หากท่านน้าต้องการใช้อะไรมีหรือมันจะไม่ทำให้
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยพวกนางหน่อย”จิ้งจอกเหมันต์พูดพลางมองไปทางหลี่เย่และเหล่าเซียงที่กำลังอึ้งอยู่ หลี่เย่นั้นไม่เท่าไหร่เพราะนางเคยเข้ามาแล้ว แต่เหล่าเซียงกลับทำสีหน้าเหมือนพึ่งได้เห็นของพวกนี้เป็นครั้งแรก เขตอสูรผาไร้ก้นยามนี้มีเมืองจำลองอยู่ตรงกลาง มันเหมือนเป็นพื้นที่อยู่สำหรับมนุษย์ไม่มีผิด ซึ่งสถานที่เช่นนี้นับว่าแปลกมากสำหรับเขตอสูร และในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้คนตระกูลไป๋ก็อยู่กันอย่างสบายใจราวกับเป็นบ้านเรือนธรรมดาเสียอย่างนั้น
“ได้สิขอรับ พวกท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไรงั้นหรือ”ไป๋จูเหวินถามพลางยิ้มบางๆออกมา เมื่อมองดูดีๆก็พบว่าคนที่มาคือหลี่เย่ เด็กที่ไป๋หลินพามาก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ข้าอยากจะขอสมุนไพรจากเจ้าหน่อย”เหล่าเซียงว่าพลางเขียนตารางสมุนไพรที่ตนต้องการออกมา
“สมุนไพรหรือขอรับ…ท่านต้องการไปทำอะไรกัน”ไป๋จูเหวินถามด้วยท่าทีสนใจ สมุนไพรพวกที่นางของมาย่อมมีในเขตอสูรผาไร้ก้นอยู่แล้ว เพียงแต่ไป๋จูเหวินกลับนึกไม่ออกว่านางจะเอาสมุนไพรพวกนี้ไปทำอะไร
“ข้ามีสหายคนหนึ่งที่ต้องรักษา”เหล่าเซียงตอบเสียงเรียบโดยไม่คิดจะบอกอะไรเพิ่มเติม
“สหายของท่านป่วยเป็นอะไรหรือขอรับ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”ไป๋จูเหวินถามพลางนำสมุนไพรที่เหล่าเซียงต้องการออกมา ของพวกนี้สำหรับคนอื่นช่างหายากเย็นแต่สำหรับไป๋จูเหวินแล้วกลับเก็บสะสมเอาไว้ไม่น้อย อย่าว่าแต่มันเลยไม่ว่าจะท่านน้าคนไหนหรือไป๋หลินกับจูล่งก็มีของพวกนี้ในมิติส่วนตัวทั้งนั้น
“เป็นโรคที่รักษาได้ยาก เจ้ารู้ไปก็เท่านั้น”เหล่าเซียงตอบ แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงด้านการแพทย์ของจักรพรรดิไป๋อยู่บ้าง แต่จากการอ่านตำราของสมาคมแพทย์ที่ไป๋จูเหวินเป็นคนเขียนเพิ่มเติมก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไร
“อย่าพูดเช่นนั้นสิขอรับ ข้าเองก็เคยรักษาคนมาบ้าง หากท่านลองเล่าอาการมาข้าอาจจะช่วยได้ก็เป็นได้”ไป๋จูเหวินยิ้มอย่างอ่อนโยน ที่มันถามแบบนี้เพราะมันก็มีท่าทีเบื่อๆเหมือนกัน บางทีโรคประหลาดที่นางว่าอาจจะทำให้มันรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
“ก็ได้…. สหายของข้าธาตุไฟแตกซ่าน ตอนนี้รักษาอาการภายนอกหมดแล้วเหลือเพียงสติที่ยังไม่กลับมาเท่านั้น”เหล่าเซียงพูดพลางจ้องมองไป๋จูเหวินนิ่ง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องยากไม่ว่าจะหมอคนไหนก็คงทำหน้างงเหมือนกันทั้งนั้น เหมือนบอกให้รักษาคนบ้าให้กลับเป็นคนปกตินั่นล่ะ
“เพราะธาตุไฟเข้าแทรกสินะขอรับ ถ้าแบบนั้นก็น่าจะรักษาได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา โชคดีเหลือเกินที่ไป๋จูเหวินเคยเจอประสบการณ์คล้ายๆแบบนี้มาก่อน ไป๋จูเหวินจึงเรียกเอาเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากมิติของตน ก่อนจะยื่นมันไปให้เหล่าเซียง
“จุดเทียนหอมเล่มนี้ให้สหายของท่านดมนะขอรับ ข้าคิดว่ามีโอกาสสูงทีเดียวที่จะรักษาได้”ไป๋จูเหวินพูดพลางวางเทียนหอมเอาไว้ในมือเหล่าเซียงด้วยท่าทียิ้มแย้ม ก่อนหน้านี้ตอนไป๋จูเหวินความจำเสื่อมก็ได้เทียนหอมแบบเดียวกันช่วยดึงความทรงจำกลับมา มันเป็นสูตรเทียนหอมลับที่ได้มาจากอาณาจักรไชน์เลยทีเดียว เทียนหอมนี้จะช่วยดึงความทรงจำกลับมา อาการฟั่นเฟือนจากธาตุไฟเข้าแทรกคาดว่าจะเกิดจากการปิดกั้นความทรงจำไปจนกลายเป็นคนเสียสติ หากดึงเอาความทรงจำกลับมาได้อาการฟั่นเฟือนอาจจะหายไปก็เป็นได้
“ท่านไป๋จูเหวิน ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”หลี่เย่เห็นอาจารย์ไม่ได้พูดอะไรนางก็รีบเดินเข้าไปขอบคุณไป๋จูเหวินทันที นอกจากจะให้สมุนไพรตามที่อาจารย์ขอแล้วมันยังให้ของที่อาจจะรักษาได้มาอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไร หากยังไม่พอก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อเลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา ก่อนหน้านี้ไป๋จูเหวินได้ฟังเรื่องของหลี่เย่จากบุตรสาวและบุตรชายมาแล้ว ตัวมันเองก็ชื่นชมในฝีมือการรักษาของนางเช่นกัน
“จะ เจ้าค่ะ”หลี่เย่ตอบรับพลางมองไปทางอาจารย์ของนาง ดูเหมือนเหล่าเซียงเองก็โล่งใจเหมือนกันที่ได้รับสมุนไพรมา แถมยังได้วิธีการรักษาอื่นมาอีก นางจึงเข้าไปขอบคุณไป๋จูเหวินอย่างจริงใจ ก่อนจะขอตัวมุ่งหน้าไปที่ถ้ำที่นางมัดสหายของนางเอาไว้ทันที
.
.
“ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ มันใช้เวลาไม่นานหรอก”เหล่าเซียงพูดพลางวางเทียนหอมเอาไว้ในถ้ำหลังจากพบว่ายาที่ตนทำนั้นไม่ได้ผลอย่างที่คิด แม้จะช่วยให้สหายของนางลดท่าทีคลุ้มคลั่งได้ แต่ก็ไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมาแต่อย่างไร นับว่าคราวนี้ต้องลองใช้เทียนหอมของไป๋จูเหวินดูเสียแล้ว
หลังจากจุดเทียนเอาไว้ในห้อง เหล่าเซียงและหลี่เย่ก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อรอให้ผลของเทียนหอมทำงาน นางก็ไม่ได้ถามเหมือนกันว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องรอจนกว่าเทียนจะละลายหมดกระมัง
ตูม!! เวลาผ่านไปยังไม่ถึงชั่วโมงอยู่ๆภายในถ้ำก็เกิดเสียงประหลาดเหมือนมีอะไรระเบิดไม่มีผิด นอกจากนี้ระดับพลังวิญญาณของคนในถ้ำก็เพิ่มสูงกว่าเดิมมากจนน่าตกใจ
ตูม!! อยู่ก็มีเศษโซ่หลุดกระจายออกมาจากปากถ้ำ ทำเอาเหล่าเซียงและหลี่เย่แทบจะพากันเข้าไปในถ้ำทันที เพียงแต่ยังไม่ทันเข้าไปตรงปากถ้ำร่างของชายชราก็เดินออกมาจากถ้ำเสียก่อน เพียงแต่ท่าทีของชายชรายามนี้กลับไม่ได้ดูฟั่นเฟือนอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว
“ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็สำเร็จแล้ว”ชายชราว่าพลางปล่อยพลังวิญญาณออกมาจนทั้งเหล่าเซียงทั้งหลี่เย่สะท้านวาบ
“ในที่สุดข้าก็ทะลุผ่านมาได้เสียที ฮ้าๆๆๆ”ชายชราหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยามนี้ระดับพลังของมันทะลุผ่านจากระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 ไปยังเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 แล้ว ในความทรงจำของมันผู้มาถึงระดับนี้ได้ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
“ท่าน…”เหล่าเซียงเห็นชายชรากลับมามีสติอีกครั้งก็พลันตื้นตันใจขึ้นมาทันที น่าดีใจเหลือเกิน ในที่สุดชายที่นางชื่นชมคนนั้นก็กลับมาแล้ว….
“เจ้า เหล่าเซียงสินะ….เจ้าเป็นคนรักษาข้านี่เอง”ชายชราพูดพลางยิ้มออกมา ตัวมันเองก็จำได้แต่เพียงตอนธาตุไฟกำลังเข้าแทรก รู้แต่ว่าตนเสียท่าเข้าแล้วเท่านั้น มารู้สึกตัวอีกทีก็โดนจับขังเอาไว้ในถ้ำ เกรงว่าตนเองจะธาตุไฟแตกซ่านแล้วโดยพามารักษาที่นี่กระมัง
“เจ้าค่ะ เป็นข้าเอง ถึงจะใช้เวลาไปสักหน่อยแต่ก็สามารถรักษาท่านได้เสียที”เหล่าเซียงว่าพลางยิ้มบางๆออกมา นางดูดีใจมากที่รักษาสหายของตนได้สำเร็จแถมมันยังทราบอีกด้วยว่าคนช่วยมันเอาไว้คือใคร
“เอาไว้ข้าจะมาตอบแทนเจ้าทีหลัง ข้ามีเรื่องต้องไปทำเสียก่อน”ชายชราว่าพลางพุ่งวาบออกไปราวกับสายฟ้าฟาด ทำเอาหลี่เย่ที่อยู่ด้านหลังได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“อาจารย์ ท่านไม่บอกสหายของท่านก่อนหรือว่าโลกมันเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว”หลี่เย่ถามพลางมองไปทางอาจารย์ของตนด้วยท่าทีสงสัย
“นะ นั่นสิ…”เหล่าเซียงก็เหมือนจะพึ่งนึกออกเช่นกัน นอกจากเรื่องเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว ระดับฝีมือของคนในเมืองยังเปลี่ยนไปมากอีกด้วย ฝีมือระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 แต่ก่อนอาจจะน่าเกรงขามสามารถท้าทายทั้งอาณาจักรได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้แม้จะยังโดดเด่นอยู่แต่จะอวดอ้างความแข็งแกร่งคงจะยากอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เกรงว่าจะตามมันไปไม่ทันเสียแล้ว….
เปรี้ยง!ร่างของเฒ่าประทับสวรรค์ทะยานไปข้างหน้าราวกับสายฟ้าฟาด แม้จะเผลอฝึกวิชาของพยัคฆ์อัสนีจนธาตุไฟเข้าแทรก แต่หลังจากนั้นมันก็ฝึกจนสำเร็จ ยามนี้ได้สติแล้วก็ได้ผลดีของวิชาพวกนั้นมาบ้างเช่นกัน
“ข้าไม่อยู่ตั้งนานยุทธภพคงเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ได้เวลาที่ข้าจะทวงตำแหน่งเดิมกลับมาแล้ว”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ
ฟิ้ว!! อยู่ๆที่ระยะสายตาของเฒ่าประทับสวรรค์ก็ปรากฏรถไฟขบวนพิเศษของอาณาจักรอู๋วิ่งผ่านทางไปพอดี พริบตานั้นเฒ่าประทับสวรรค์พลันสะดุ้งวาบเพราะมันเคลื่อนตัวเร็วมากจนความเร็วปานสายฟ้าของมันแทบจะตามไม่ทัน แถมพอมองดีๆก็พบว่าภายในรถไฟนั้นมีคนจำนวนหนึ่งโดยสารอยู่ราวกับเป็นเรื่องปกติ ทำเอาเฒ่าประทับสวรรค์ถึงกับหยุดเท้ามองดูรถไฟเดินทางผ่านไปด้วยสีหน้างงๆ
“มันคือ…อะไร”เฒ่าประทับสวรรค์มองภาพตรงหน้าตาค้าง ก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หรือว่ามันจะเสียสติไปนานกว่าที่คิด โลกใบนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้เลยงั้นหรือ
“……..”หลังจากเดินทางมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรอู๋เฒ่าประทับสวรรค์ก็ยิ่งอึ้งหนักเข้าไปใหญ่ แถมตอนนี้มันมาถึงยังเป็นตอนกลางคืนเสียอีก ทำให้เห็นสภาพเมืองหลวงแห่งอาณาจักรอู๋ที่ประดับไปด้วยแสงไฟสว่างไสวจนแทบไม่ต่างจากตอนกลางวัน ทำเอาเฒ่าประทับสวรรค์ได้แต่มองตาค้างไปอีกรอบ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”เฒ่าประทับสวรรค์เดินเข้าไปในเมืองพลางมองไปรอบๆ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย ทำเอามันทำตัวไม่ถูกไปเหมือนกัน
“คุณตา ถ้าท่านจะเข้าเมืองละก็ต้องแสดงบัตรนะขอรับ”ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพลางขอดูบัตรประจำตัวประชาชนของเฒ่าประทับสวรรค์
“นะ นี่…”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางนำแผ่นไม้ออกมาจากมิติของตนเอง
“คุณตา แบบนี้ใช้ไม่ได้นะขอรับ ต้องเป็นบัตรที่ออกจากทางการสิขอรับ”ทหารคนนั้นว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ แผ่นป้ายประทับสวรรค์ที่แต่ก่อนเพียงยื่นให้ดูก็ทำเอาคนที่ได้เห็นแทบก้มคารวะยามนี้กลับกลายเป็นแผ่นไม้หน้าตาประหลาดไปเสียแล้ว
“นั่น…เฒ่าประทับสวรรค์ไม่ใช่หรือ”อยู่ๆเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมร่างของชายชราในชุดทหารที่เดินเข้ามาหาเฒ่าประทับสวรรค์ช้าๆ
“เจ้า….หอกสะท้านฟ้าเล่งเชง”เฒ่าประทับสวรรค์เบิกตากว้างเมื่อได้พบคนรู้จัก ชายตรงหน้ามันคืออดีตแม่ทัพของอาณาจักรอู๋ เป็นยอดฝีมือชื่อเสียงโด่งดังทีเดียว เรียกได้ว่าถูกจัดเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับตัวมันหรือพวกเซียนดาบเซียนกระบี่เลยทีเดียว
“อย่าพูดเรื่องเก่าๆเลย ได้ข่าวว่าเจ้าธาตุไฟเข้าแทรกนี่นา รักษาหายแล้วงั้นหรือ”เล่งเชงถามพลางมองร่างของเฒ่าประทับสวรรค์นิ่ง แม้สภาพภายนอกจะยังดูไม่ดีนัก แต่พลังวิญญาณและท่าทีการพูดคุยก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว
“ถูกแล้ว ข้าพึ่งได้สติเมื่อครู่นี้เอง”เฒ่าประทับสวรรค์ตอบพลางยิ้มออกมา
“ดีๆ งั้นท่านก็มากับข้าเถอะ ข้าจะเลี้ยงสุราฉลองให้ท่านเอง”เล่งเชงว่าพลางยิ้มอย่างดีอกดีใจ
“พูดอะไรของเจ้า ข้าพึ่งกลับมาก็ต้องทวงคืนบัลลังก์อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรอู๋ก่อนถึงค่อยดื่มฉลองไม่ใช่หรืออย่างไร”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางยิ้มกว้าง ระดับพลังของมันยามนี้เหนือกว่าแต่ก่อนมากแถมยังได้ท่าของพยัคฆ์อัสนีมาอีกต่างหาก ยามนี้ต่อให้เป็นเซียนดาบเซียนกระบี่บุกเข้ามาพร้อมกันก็คงสู่มันไม่ได้
“อันดับหนึ่งอะไรกัน เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง”เล่งเชงว่าพลางหัวเราะออกมา
“เจ้าว่าอะไรนะ”เฒ่าประทับสวรรค์ถามด้วยท่าทีเคืองๆ นี่อีกฝ่ายกำลังดูถูกมันอยู่งั้นหรือ
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ที่ข้ายังอยู่ตำแหน่งแม่ทัพได้ก็เพราะข้าอยู่มานานเท่านั้น หากข้ามาเริ่มใหม่ด้วยพลังระดับนี้เกรงว่าจะเป็นได้แค่หัวหน้าทหารเฝ้าระวังเมืองเท่านั้นเอง”เล่งเชงตอบพลางหัวเราะออกมา คนรุ่นใหม่พัฒนาเร็วเสียเหลือเกิน ระดับพลังของชนชั้นยอดฝีมือยุคเก่าโดนเบียดเสียจนน่าใจหาย แต่เพราะมันผ่านมานานแล้วคนส่วนใหญ่ก็เลยทำใจได้แล้ว
“ที่เจ้าพูดแบบนั้นก็เพราะยังไม่เห็นระดับพลังของข้าในตอนนี้ต่างหาก”เฒ่าประทับสวรรค์ตอบ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแล้วยังไงกัน ตัวมันในยามนี้ก็พัฒนาขึ้นหลายเท่าเช่นกัน
“…….”เล่งเชงสัมผัสพลังวิญญาณของเฒ่าประทับสวรรค์แล้วอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ น่าเสียดายหายเป็นสมัยก่อนเฒ่าประทับสวรรค์คงสร้างชื่อเสียงให้อาณาจักรอู๋อีกมากแน่ๆเพียงแต่ตอนนี้….
“เฒ่าประทับสวรรค์…เอาไว้ข้าจะช่วยแนะนำงานให้เจ้าก็แล้วกัน”เล่งเชงพูดพลางจับบ่าของเฒ่าประทับสวรรค์เอาไว้ก่อนจะบีบแน่นเหมือนกำลังจะให้กำลังใจ หลังจากนี้เมื่อมันได้ทราบความจริงมันจะต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ