“นังนั่นกล้าดียังไงมากล่าวหาว่าฉันต่อว่าและทำร้ายแม่ตัวเอง เธอไม่รู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นน่ารังเกียจแถมยังต่ำทรามยิ่งกว่าเธออีก” หันซิวเช่อตะโกนลั่นขณะที่ปัดข้าวของตกลงพื้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน
ทันทีที่หันเจี๋ยเห็นดังนั้นก็พยายามเอ่ยปลอบน้องขายตัวเองทันที “เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าเก็บเอามาหงุดหงิดเลยน่า”
“ผู้หญิงทุกคนบนโลกทั้งหน้าด้านแล้วก็ชั่วช้ากันทั้งนั้น!”
“ซิวเช่อตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปิดเรื่องนี้ให้เงียบ ต่อให้เราจะผิดหรือเปล่า ยังไงมันก็ดูไม่ดีอยู่ดี”
“ฮึ่ย เดี๋ยวผมจะหาทางหุบปากเธอเอง!” หันซิวเช่อเอ่ยก่อนจะกลับไปห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้หันเจี๋ยนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางอึมครึม
หันเจี๋ยยังคงจำทุกภาพเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อนได้ดี ตอนนั้นซูอวี๋นอนจมกองเลือดและขอให้เขาเรียกตำรวจ แต่ด้วยความหวาดกลัวพ่อของตัวเอง เขาจึงตัดสินใจกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของภรรยาน้อยแทน
ตลอดหลายปีมานี้เขาโกหกหันซิวเช่อ เพราะคุณพ่อหันรับปากว่าจะยกกิจการของครอบครัวให้เขาถ้าเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
ดังนั้นเขาจึงนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะโผล่มาอีกครั้ง และพยายามล้างมลทินให้ตัวเอง!
ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้เธอคงยังไม่ลืม
ไม่สิ…
เธอคงไม่มีทางลืมความอัปยศและความเจ็บปวดไปตลอดชีวิต แต่เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเองได้จริงหรือ จะอย่างไรล่ะ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับบอกว่าเธอมั่วผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ ตอนนี้หลักฐานทั้งหมดคงถูกทำลายไปหมดแล้ว เธอจะพิสูจน์ได้อย่างไร ฝันไปหรือเปล่า
หากแต่แม่คนนี้ของเขาคงจะไม่ปล่อยให้เขาได้มีชีวิตอย่างสงบสุข แม้จะผ่านมายี่สิบปีแล้วเธอก็ยังไม่คิดปล่อยให้ลูกชายตัวเองได้อยู่เป็นสุข!
หันซิวเช่อเข้าใจแม่เขาผิดเพราะเอาแต่หมกตัวอยู่ในเงามืด แต่หันเจี๋ยนั้นทำลงไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อย่างไรเสียเขาก็ถูกสั่งสอนตั้งแต่เล็กจนโตว่าควรคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อน ดังนั้นสิ่งที่ซูอวี๋สอนเขาในช่วงเวลาสั้นๆ ของการเป็นแม่ ว่าให้เป็นคนดีและใจกว้างจึงทำให้เขาเบื่อหน่ายเต็มที
ประกอบกับการที่เลขาของพ่อเอ็นดูเขา…จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยซูอวี๋ เขาต้องช่วยเธอเพียงเพราะเหตุผลน่าขันว่ามีสายเลือดเดียวกันอย่างนั้นหรือ
ตลกน่า!
ไม่นานคุณพ่อหันที่อยู่ต่างประเทศก็ได้ยินเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาโทรมาหาหันเจี๋ยในทันที “แกปิดเรื่องนี้ให้เงียบภายในสามวันจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นพวกเราได้จบเห่แน่!”
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะฟื้นตัวขึ้นมาตอนนี้ได้ยังไง
“เธอเป็นเมียน้อยมาหลายปีจนไม่มีทางล้างมลทินได้หรอก พ่อไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกครับ”
“ระวังไว้จะดีที่สุด! แล้วก็อย่าให้หันซิวเช่อรู้ความจริงเด็ดขาด!”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว!” หันเจี๋ยขานรับด้วยความเคารพ
เหตุผลเดียวที่ถังหนิงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะหันซิวเช่อทำให้เธอโกรธ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เธอไม่ปล่อยให้คนอื่นมีโอกาสตอบโต้กลับด้วยซ้ำ
ดังนั้นหันเจี๋ยจึงไม่โง่ถึงขนาดตามเล่นงานถังหนิงต่อ ด้วยเหตุนี้เขาจึงติดต่อไปทางไห่รุ่ยและพยายามติดต่อถังหนิงผ่านโม่ถิง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกนอกเสียจากอ้อนวอนเธอ ทว่ามันก็ถือว่าคุ้มค่าตราบใดที่เธอหยุดขุดคุ้ยเรื่องนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าความจริงใจของเขาไม่มีความหมาย…
…
เดิมทีถังหนิงต้องการเหตุผลที่จะทำการเปิดโปง ในเมื่อหันซิวเช่อท้าทายเธอก่อนเธอก็ต้องตอบโต้กลับอยู่แล้ว
หลังจากข่าวเริ่มแพร่สะพัดออกไป ผู้คนบนโลกออนไลน์ต่างขุดคุ้ยข่าวเก่าๆ ของตระกูลหันเมื่อยี่สิบปีก่อน แม้ว่าหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวเรื่องมั่วผู้ชายจะเก่าแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างก็ยังมีการบันทึกเอาไว้
เมื่อก่อนข่าวนี้เป็นที่ฮือฮา ทำให้ชื่อเสียงซูอวี๋พังพินาศ สุดท้ายไม่เพียงแต่ขาข้างหนึ่งของเธอจะใช้การไม่ได้ แต่ยังถูกลูกชายตัวเองหักหลัง โดนภรรยาน้อยของสามีกดขี่ข่มเหง รวมถึงการรุมประณามจากสังคม
“รุ่นพี่คะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ถังหนิงอดที่จะถามออกมาไม่ได้เมื่อได้เห็นว่าเรื่องเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าคุณรับมือไม่ไหว…”
“ฉันได้เริ่มแล้ว ยังมีโอกาสให้กลับตัวอีกเหรอ” เสียงเรียบของซูอวี๋ดังลอดโทรศัพท์มา “ในเมื่อฉันตัดสินใจที่จะทวงความเป็นธรรมให้ตัวเองแล้ว ฉันไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว อีกอย่างฉันก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด”
เธอเงียบมากว่ายี่สิบปีก่อนที่เธอจะตัดสินใจเปิดเผยความจริงในท้ายที่สุด เพราะเหตุใดกัน
จากการวิเคราะห์ของถังหนิง ความจริง บนหน้าหนังสือพิมพ์นั้นแตกต่างจากความจริงที่เธอรู้มามาก ไม่ได้หมายความว่าการแสดงเด็ดๆ กำลังจะเกิดขึ้นหรือ
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเรื่องนี้ก็เงียบลงเพราะความพยายามปิดข่าวของหันเจี๋ย ในเวลาเดียวกันหันซิวเช่อตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปเยี่ยมแม่ที่ทำให้เขาต้องขายหน้าไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นเขาจึงนับพบกับซูอวี๋
ถังหนิงคิดไว้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เธอจึงถามซูอวี๋ว่าต้องการไปพบหรือไม่ หากเธอไม่อยากไปก็แค่ปฏิเสธเขาไป
ทว่าซูอวี๋กลับตอบกลับมา “ถึงฉันจะขอให้คุณช่วยเรื่องนี้ แต่ฉันก็แค่ยืมวิธีของคุณมาล้างมลทินให้ตัวเอง ฉันยังต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง ฉันให้คุณคอยปกป้องจากทุกอย่างไม่ได้หรอกค่ะ ฉะนั้น…ฉันจะไปค่ะ”
“โอเคค่ะ แต่ถ้าไอ้เลวนั่นพยายามจะทำร้ายคุณล่ะคะ…”
“อย่าลืมว่าฉันยังมีสามีอยู่นะคะ” ซูอวี๋ระบายยิ้ม
ถังหนิงยิ้มตอบเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเธอลืมผู้ชายคนนั้นไปหมดสิ้นแล้ว สัญชาตญาณแรกของเธอคือการปกป้องซูอวี๋
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอข่าวดีนะคะ”
ซูอวี๋วางสายและจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมเล็กน้อย ก่อนออกไปพบกับหันซิวเช่อพร้อมกับสามีของเธอ แน่นอนว่าแม้กระแสจะเงียบลงแล้ว แต่สื่อยังคงสนใจเรื่องราวในอดีตของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อพบว่าสองแม่ลูกได้นัดเจอกัน
หันซิวเช่อไม่ได้หลบซ่อนท่าทีรังเกียจยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าซูอวี๋ หากแต่เธอก็ไม่ได้ดูเหมือนแม่ที่รักใคร่ลูกเช่นกัน ในขณะที่เธอนั่งอยู่ตรงข้ามเขาและฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“คุณไม่รู้ว่าตัวเองน่ารังเกียจจริงๆ เหรอ คุณอาจจะไม่อายกับเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่เราอายนะ ดังนั้นก็บอกเรามาซะว่าต้องทำยังไงถึงจะปล่อยพวกเราไป”
“ชีวิตฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเธอหรอก ฉันไม่ต้องการอะไรจากเธอทั้งนั้น ฉันแค่ต้องการความเป็นธรรม!”
“ความเป็นธรรมเหรอ” หันซิวเช่อหัวเราะ “ทุกคนต่างพูดถึงแต่คุณ รู้หรือเปล่าว่าคนเขาหัวเราะเยาะผมขนาดไหน”
“ฉันไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้นี่ เธอควรไปถามพ่อกับแม่เลี้ยงของตัวเองดีกว่านะ” ซูอวี๋สวนกลับ “แต่ก็คงไม่ต่างกันหรอก ฉันว่าเธอก็เหมือนกับพี่ชาย ตอนนั้นเขามองฉันโดนเมียน้อยใส่ความ มองฉันถูกพ่อของเธอทำร้ายจนขาขวาหัก ในขณะที่เขากอดขาผู้หญิงคนนั้นแล้วเรียกว่าแม่ เธอคงคิดว่าน่าเสียดายที่เธอไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเองสินะ”
“คุณพูดถึงเรื่องอะไรกัน” หันซิวเช่อถึงกับตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอกำลังโกหกใครกันแน่ พวกเธอสามคนไม่ได้ร่วมมือกันหรอกเหรอ ทำไมต้องเสแสร้งด้วยล่ะ
“อย่าบอกฉันนะว่าเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายปีก่อนน่ะ เธอแค่อ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็คิดไปเองว่าเป็นความจริงน่ะเหรอ”
ซูอวี๋อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ดูท่าเขาคงไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องนั้นเมื่อหลายปีก่อนจริงๆ …