ไม่รู้ว่าหม่าลิ่วหรือชายอัปลักษณ์กลัวชาวประมงหรือกลัวความเจ็บปวดที่เขาได้รับอย่างกะทันหันกันแน่ หลังจากเรือออกแล้ว เขาก็สงบเสงี่ยมขึ้นไม่น้อยเลย เขาไม่กล้าไปถูน้ำมันเพื่อเอาเปรียบใครอีก
เจียงป่าวชิงขึ้นจากเรืออย่างปลอดภัย เมื่อขึ้นจากเรือมาแล้วและเพิ่งเดินออกไปได้ไม่ไกล ความรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติพลันเข้าครอบคลุมจิตใจของนาง
ใครบางคนสะกดรอยตามมา!
เจียงป่าวชิงก้มหน้าลง ครุ่นคิดในใจว่าใครคนนี้ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลยจริง ๆ นางเดินไปพลาง ลูบกำไลข้อมือที่เก็บเข็มเงินด้วยสีหน้าราบเรียบไปพลาง
เดิมทีที่นี่คือภูเขาและแม่น้ำที่ทอดยาวต่อกันอย่างไม่ขาดสาย เส้นทางเล็ก ๆ บนภูเขาเงียบสงบมาก เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นเดินอย่างไม่รู้ตัวและครุ่นคิดไปด้วยว่าถ้าหากอีกฝ่ายมีแผนการจะทำร้ายนาง เขาสามารถลงมือที่นี่ได้เลย
และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ตรงบริเวณมุมหนึ่งของพุ่มไม้หนาทึบ เจียงป่าวชิงได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง เมื่อนางหันกลับไปก็เห็นคนที่สะกดรอยตามมากำลังย่อตัวเพื่อเตรียมพุ่งเข้ามากดร่างนาง
ชายคนนั้นเห็นเจียงป่าวชิงหมุนตัวกลับมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจทันที
เจียงป่าวชิงสังเกตเขาและเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ผุดผ่องออกมาให้เห็น “ทำไมรึ ? บนเรือเมื่อสักครู่เจ้ายังเจ็บไม่พอใช่ไหม ?”
นี่คือหม่าลิ่ว ชายอัปลักษณ์ผู้ซึ่งคิดจะลงมือกับเจียงป่าวชิงบนเรือเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง เขาได้ยินที่นางพูด สีหน้าพลันบิดเบือนไปโดยเปลี่ยนกลายเป็นสีหน้าดุร้าย “เป็นฝีมือของไอ้เด็กบ้าอย่างเจ้าจริง ๆ ด้วย!”
เจียงป่าวชิงคร้านจะพูดจาไร้สาระกับชายน่ารำคาญคนนี้ นางจ้องเขาด้วยแววตาเย็นชาอยู่ตรงนั้น และไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดเหน็บแนมไว้หนึ่งประโยค “เจ้ามันขยะ”
หม่าลิ่วถูกกระตุ้นให้โมโห เขายิ้มชั่วร้ายและพูดเสียงแหบต่ำ “หึ ๆ แม่สาวน้อย วันนี้แหละข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองความยอดเยี่ยมของข้า” ไม่พูดเปล่า เขาโถมตัวเข้าใส่เจียงป่าวชิง
ทว่าหม่าลิ่วคิดง่ายเกินไป เขาคิดว่าตัวเองตัวใหญ่แต่อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กผอมแห้งคนหนึ่ง จึงตั้งใจจะใช้น้ำหนักควบคุมนางไว้ก่อน จากนั้นค่อยทรมานนางอย่างช้า ๆ…
ส่วนวิธีทรมานนั้นปรากฏขึ้นมาในหัวของหม่าลิ่วมากมาย แต่เขากลับค้นพบด้วยความหวาดกลัวว่าในระหว่างที่เขาโถมตัวเข้าใส่นาง ชั่วพริบตาเดียวร่างกายของเขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ต่อมาร่างกายเขาก็แทบจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
ร่างกายของหม่าลิ่วสูญเสียการควบคุม ศีรษะของเขาพุ่งทิ่มเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ด้านข้าง ที่น่ากลัวคือหนามจากพุ่มไม้ปักแทงเข้าไปบนร่างกายครึ่งซีกของเขาเสียแล้ว
“อ๊าก! นี่มันบ้าอะไรกัน เจ็บ เจ็บโว้ย!” หม่าลิ่วรู้สึกเจ็บมากแต่ร่างกายเขาขยับไม่ได้ เขาพูดขึ้นเสียงดังด้วยความหวาดกลัวว่า “เจ้าเด็กบ้า เจ้าทำอะไรกับข้า ?!”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจหม่าลิ่ว นางออกแรงถีบเขาเพื่อให้เขาพลิกตัวกลับมานอนหงาย จากนั้นก็ดึงเข็มเงินออกจากบนตัวเขา เสร็จแล้วเก็บกลับไปเก็บไว้ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พอได้แล้ว” เจียงป่าวชิงใช้มือบังแสงแดด นางมองท้องฟ้าแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “วันนี้แดดดีมาก เจ้าตากแดดอยู่ตรงนี้ไปสักครู่เถอะ ผิวมัน ๆ ของเจ้าจะได้สวย ๆ ยังไงล่ะ”
หม่าลิ่วอยู่ในพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม เขาทั้งรู้สึกเจ็บและหวาดกลัว ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขารู้เพียงว่าขยับตัวไม่ได้
“กลับมาเดี๋ยวนี้นะเจ้าเด็กบ้า กลับมาเดี๋ยวนี้!” หางตาของหม่าลิ่วเห็นร่างเล็กของเจียงป่าวชิงเดินจากไปอย่างช้า ๆ ก็ยิ่งตื่นตระหนก แม้ว่าเขาจะตะโกนจนคอหอยแทบขาด เจียงป่าวชิงก็ไม่หันกลับมามอง
เนื่องจากต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำคราด เจียงป่าวชิงจึงต้องเดินค่อนข้างไกลพอสมควรถึงจะเข้ามายังเขตพื้นที่ชีหลี่โว แต่นางยังเดินไม่ถึงบ้านก็เห็นเจียงหยุนชาน พี่ชายของตนกำลังเดินออกมาจากเส้นทางเล็กทางฝั่งบ้านของพวกนางด้วยความตื่นตระหนกตกใจ และในอ้อมแขนของเขายังอุ้มเสี่ยวฟ๋านฟ๋านมาด้วย
เจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงเดินสวนมาอย่างกะทันหัน ความร้อนรนบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความดีใจแทบจะในทันที เขาใกล้จะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่รอมร่อ
“ป่าวชิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?!” พูดเสร็จ เขาก็กอดเจียงป่าวชิงไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา ราวกับว่านางเป็นผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่พวกเขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันแบบนี้เลย ในขณะที่พวกเขากอดกัน เสี่ยวฟ่านฟ๋านยังอยู่ในอ้อมแขนของเจียงหยุนชาน อาจเป็นเพราะนางรู้สึกไม่สบายตัวจึงร้องไห้ออกมา
เจียงหยุนชานรีบโยกตัวเจ้าตัวน้อยเสี่ยวฟ๋านฟ๋านเพื่อกล่อมนาง
เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ อยู่ด้านข้าง นางค่อย ๆ เข้าใจได้ พี่ชายนางคงไม่ได้รู้เรื่องสะพานถล่มหรอกใช่หรือไม่ ?
และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย เมื่อเขากล่อมเสี่ยวฟ๋านฟ๋านเสร็จแล้ว ดวงตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย “พี่เอ้อยามาบอกว่ามีพ่อค้าเห็นเจ้านั่งรถล่อคันนั้นขึ้นสะพานที่เกิดอุบัติเหตุถล่มลงมา แล้วยังบอกอีกนะว่าท่อนไม้กระแทกคนตายไปหลายคนและทำให้คนจมน้ำไปหลายคนเช่นกัน นี่ทำเอาข้าร้อนใจมาก…”
เจียงหยุนชานยื่นมือออกมาดึงร่างน้องสาวให้หมุนตัวเพื่อตรวจสอบร่างกายทั้งด้านหน้าและด้านหลังของนางอย่างเร่งรีบ “ไหนมาให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ?”
ตอนนี้เจียงป่าวชิงถึงจะสังเกตเห็นว่าเจียงหยุนชานใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว ดูเหมือนรองเท้าอีกข้างคงจะหายไปตอนที่เขาวิ่งมา ถุงเท้าเสียดสีกับพื้นจนแทบมองไม่เห็นสีเดิมของถุงเท้าแล้ว นางรู้สึกอยากขำอย่างอดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจไปพร้อม ๆ กัน
เจียงหยุนชานสังเกตอย่างละเอียด ตอนนี้เสื้อผ้าของน้องสาวเขาถูกลมพัดจนแห้งแล้ว นอกจากเส้นผมที่ยังคงยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย กับจอนผมที่สยายและม้วนขึ้นอย่างง่าย ๆ ก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ๆ อีก
เจียงหยุนชานถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอก ในที่สุดเขาก็สบายใจขึ้นสักที
เจียงหยุนชานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อสักครู่พอข้าได้ยินพี่เอ้อยาพูดแบบนั้น ข้าก็ตกใจมาก แต่เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว… ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะนะ… แต่ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสะพานนั้นกันแน่ล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงเล่าเรื่องสะพานถล่มให้เขาฟัง “บางทีอาจเป็นเพราะสะพานนั่นขาดการซ่อมแซมเป็นเวลานาน ประกอบกับเจ้าล่อตกใจวิ่งขึ้นไปบนสะพานอย่างกะทันหัน ซึ่งในตอนนั้นคนข้ามสะพานก็เยอะอยู่แล้ว มันจึงถล่มลงมาเจ้าค่ะ ข้าเองว่ายน้ำเป็นจึงไม่เป็นอะไร แค่กอดท่อนไม้พยายามตีแขนว่ายขึ้นฝั่งก็เลยรอดมา”
สองพี่น้องพูดคุยและเดินกลับบ้านไปด้วย จู่ ๆ เจียงหยุนชานก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ ตัวเขาแข็งทื่อไปทันที “ใช่แล้ว ตอนที่พี่เอ้อยามาบอกเรื่องนี้กับข้า นางพูดเสียงดังมาก เกรงว่าคุณชายกงที่อยู่บ้านข้าง ๆ คงจะรู้เรื่องที่เจ้าตกน้ำแล้วเช่นกัน เอ้อ… เขาให้คนออกมาถามพี่เอ้อยาเป็นพิเศษด้วยนะ แต่ข้าเห็นสีหน้าของคุณชายกงดูแย่มากเลยจริง ๆ”
เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปทันที “เฮ้อ… เดี๋ยวกลับไปข้าจะไปบอกเขาก็แล้วกันว่าข้าไม่เป็นไร”
เจียงหยุนชายถอนหายใจตาม “เฮ้อ… ก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ”
เจียงหยุนชานเป็นคนที่ไม่ชอบพูดตัดสินคนอื่น สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือแม้ว่าตอนนั้นเขาจะร้อนใจแทบบ้า แต่เขาทันสังเกตเห็นว่าดวงตาของคุณชายกงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในชั่วพริบตา… ราวกับว่าคุณชายกงกำลังหวาดกลัวมากจริง ๆ ว่าเจียงป่าวชิงจะเป็นอะไรไป
เมื่อเลี้ยวผ่านหัวมุมของเส้นทางบนภูเขา ข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ถึงบ้านของพวกเขาสองพี่น้องแล้ว เจียงป่าวชิงมองไปไกล นางเหมือนเห็นเงาผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้น
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ถึงจะพบว่าเป็นเจียงเอ้อยา นางจับรั้วบ้านของกงจี้ เขย่งเท้ามองเข้าไปในบ้านเป็นบางครั้ง
ตอนที่เจียงเอ้อยามารายงานข่าว สีหน้านางแลดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ทั้งยังพูดประมาณว่าคนชั่วก็ต้องได้รับผลกรรมชั่วอะไรทำนองนั้น
ด้วยการกระทำของนางเมื่อก่อนสามารถตัดสินได้ว่านางเป็นคนเห็นแกต่ตัวไว้ใจไม่ได้ เจียงหยุนชานจึงต้องอุ้มเสี่ยวฟ๋านฟ๋านออกไปตามหาเจียงป่าวชิงด้วย เขาไม่ยอมให้นางช่วยดูเด็กเด็ดขาด จนมาถึงตอนนี้ที่พวกเขากลับมา เจียงหยุนชานคิดไม่ถึงว่าเจียงเอ้อยาจะยังอยู่
“พี่เอ้อยา ?” เจียงหยุนชานลองเรียกนาง
เจียงเอ้อยาได้ยินเสียงเรียกก็หันกลับมา นางเห็นเจียงหยุนชานที่อุ้มเด็กก่อน จึงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อสายตานางเลื่อนไปเห็นเจียงป่าวชิงที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างเจียงหยุนชาน สีหน้านางเปลี่ยนไปเหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสก ๆ นางพูดขึ้นเสียงดังด้วยท่าทางตกใจและทำอะไรไม่ถูก
“ผี!”
นางส่งเสียงร้อง อ้าปากค้างตกใจจนทรุดนั่งลงกับพื้น มือเท้าก็ยันพื้นเพื่อพาตัวเองหลบไปข้างหลัง จนกระทั่งแผ่นหลังชนกับรั้ว นางถึงถอยหลังไม่ได้อีก
ในใจของนางคิดว่าเจียงป่าวชิงตายแล้ว และคิดว่าผีตัวนี้คงตายใหม่ ๆ มันจึงกลับมาบ้านของมัน
เจียงเอ้อยาตกใจจนน้ำหูน้ำตาไหล “ผี! เจียงหยุนชาน ผีน้องสาวเจ้าโผล่มาแล้ว! อยู่ที่ข้างตัวเจ้านั่นไง”
.