หลิงยี่เทียน ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต แต่ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนการตัดสินใจด้วยความเดือดดาลเรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางด้านของหวงเซียะก็สงบอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เช่นกันเมื่อนางมองไปยังคู่พี่น้องทั้งสองคนนี้
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราสามารถหนีจากวงล้อมของเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญได้ แถมนางยังมีสมบัติพลังมิติอีกต่างหาก?
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลิงยี่เทียน นางก็รีบพูดขึ้นทันที “ท่านไม่สามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้ ข้าจำเป็นต้องจับพวกเขากลับไปภูเขาฟีนิกซ์เพื่อทำการไต่สวน!”
หลิงยี่เทียนตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าต้องฆ่าพวกมันให้หมดเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้อื่นได้เห็น!”
ไม่นานมานี้พวกเขาก็เพิ่งถูกโจมตี ซึ่งพวกเขาก็ได้แสดงความแข็งแกร่งออกไปแล้วแต่มันก็ยังมีคนกล้ามาโจมตีพวกเขาอีก
ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร? หากเขาไม่ทำการสังหารคนเหล่านี้เพื่อเป็นตัวอย่างกับทุกคนว่าเขาเอาจริงหากใครกล้าทำร้ายคนของครอบครัวเขา ในอนาคตครอบครัวของเขาจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้ยังไง?
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดแย้งของหวงเซียะ เขาจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปต่อ หลิงฟ่างหัวก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าคือ หวงเซียะ รึเปล่า?”
ใบรรดาครอบครัวหลิงตู้ฉิงทั้งหมด ผู้ที่ไม่สามารถลืมชื่อ หวงเซียะ ได้มากที่สุดก็คือ หลิงไช่หยุน เนื่องจากหลิงตู้ฉิงใช้ชื่อนี้มาเปรียบเทียบกับนางอยู่หลายต่อหลายครั้งจนทำให้นางทนไม่ไหว เปลี่ยนแปลงตัวเองจากเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นกลายเป็นหมั่นเก็บตัวบ่มเพาะอย่างตั้งใจ
และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่หลิงไช่หยุนเก็บตัวนั้นก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางได้มาอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 14 เรียบร้อยแล้วและเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวไปสู่ขอบเขตนภา
ซึ่งทางด้านของหลิงฟ่าวหัว ซึ่งเป็นพี่สาวและยังคลุกคลีอยู่กับหลิงไช่หยุนอยู่บ่อย ๆ ก็รู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดีเช่นกัน
หลิงฟ่างหัวอยากรู้ถึงกระทั่งไปถามข้อมูลของหวงเซียะจากหลิงเทียนหยุน เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาได้ไปเจอนางตอนที่อยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องของหวงเซียะมากที่สุดในครอบครัวหลิงตู้ฉิงรองจาก หลิงเทียนหยุน ก็คือนาง
หลิงฟ่างหัวหัวเราะคิกคัก และพูดกับหวงเซียะ “ขอบคุณแม่นางหวงเซียะมากที่ทำให้น้องสาวของข้ากลายเป็นคนขยัน!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวงเซียะก็รู้สึกงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากที่หลิงฟ่างหัวพูดจบ นางก็หันไปหาหลิงยี่เทียน และพูดว่า “น้องหก ในเมื่อแม่นางหวงเซียะต้องการตัวคนเหล่านั้น เจ้าก็ปล่อยให้นางพาตัวพวกเขาไปเถอะ”
ในตอนนี้หลิงยี่เทียนยิ่งงุนงงเข้าไปกันใหญ่
เมื่อครู่พี่สาวของเขายังตะโกนร้องจะให้ฆ่าคนเหล่านั้นอยู่เลย แต่แล้วทำไมตอนนี้กลับบอกให้ปล่อยไปซะอย่างนั้น?
มันเป็นไปได้ยังไงที่พี่สาวของเขาผู้นี้ ซึ่งไม่เคยจะปล่อยให้ศัตรูของนางรอดชีวิตไปได้กลับเปลี่ยนการตัดสินใจกะทันหัน
ต้องรู้ไว้ว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมดนางคือคนที่ฆ่าคนไปเยอะมากที่สุด
“พี่ห้า นี่ท่านไม่สบายรึเปล่า?” หลิงยี่เทียนถามขึ้น
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของน้องชายตัวเอง หลิงฟ่างหัวจึงพาหลิงยี่เทียนไปคุยกันสองคน และจากนั้นนางก็เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับหวงเซียะที่นางได้ยินมาจากหลิงเทียนหยุนให้ฟังจนหมด
หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว หลิงยี่เทียนก็ได้แต่มองไปที่หวงเซียะด้วยสายตาซับซ้อน เขานึกไม่ถึงว่าหวงเซียะจะมีความสัมพันธ์กับพวกเขาอยู่อย่างลึกซึ้งแถมนางยังมีสถานะสูงส่งในภูเขาฟีนิกซ์อีกต่างหาก
ในตอนนี้เมื่อหลิงยี่เทียนได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ทั้งสองพี่น้องก็ไม่ได้เอ่ยถึงตัวตนของหลิงตู้ฉิง
ผู้หญิงคนนี้มีความรู้สึกให้กับพ่อของพวกเขา แต่พ่อของพวกเขากลับปฏิเสธและเลือกที่จะทำการลบความทรงจำของนางออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แต่เล่นตามน้ำไม่เปิดเผยเรื่องราวอื่น ๆ ให้เรื่องมันยิ่งยุ่งเหยิง
ทางด้านของหวงเซียะ นางมองไปที่คู่พี่น้องที่กำลังซุบซิบกัน นางก็รู้สึกสงสัยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ต้องทำตัวประหลาดแบบนี้ด้วย?
“ฝ่าบาทยี่เทียน ไม่ว่าจะยังไงคนพวกนี้คือคนของภูเขาฟีนิกซ์ของข้า ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้ทรยศแต่หลาย ๆ คนในหมู่พวกเขาก็ถูกล่อลวงมาและไม่ได้รู้เรื่องอะไร ข้าต้องนำตัวพวกเขากลับไปเพื่ออบรมพวกขาบางส่วนที่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงให้เข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น ดังนั้นท่านจะฆ่าพวกเขาไม่ได้” หวงเซียะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับว่า “แม่นางหวงเซียะ ไม่ต้องกังวลในตอนนี้ข้าได้เปลี่ยนใจแล้ว ในเมื่อพวกเขาเป็นคนของท่าน ดังนั้นข้าจะให้ท่านจัดการกับพวกเขาเอง พี่ห้าในเมื่อท่านรู้ว่าจะเจอพวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตได้ที่ไหน ท่านก็พาคนของเราไปช่วยแม่นางหวงเซียะจับคนพวกนั้นก็แล้วกัน!”
หลิงฟ่างหัวพยักหน้า “เอาล่ะ ถ้างั้นข้าจะนำคนของเราไปตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน แม่นางหวงเซียะเชิญตามข้ามา”
ถึงแม้ว่าหวงเซียะจะรู้สึกประหลาดใจ แต่นางก็ยังนำคนของนางตามหลิงฟ่างหัวไปยังเกาะเหมยหลินอยู่ดี
ส่วนทางด้านของหลิงยี่เทียนก็สั่งให้คนของเขาอีกส่วนไปปิดล้อมเกาะเหมยหลินด้วยเช่นกัน
จากนั้นครึ่งเดือนต่อมา ด้วยความร่วมมือกันระหว่างอาณาจักรจันทราและหวงเซียะ ผู้คนของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตทั้งหมดก็ถูกจับตัวได้จนหมด
หวงเซียะ ในขณะนี้ที่นั่งอยู่บนรถม้าล้อมรอบไปด้วยเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 57 นาย นางก็ล่ำลาหลิงฟ่างหัวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
นางรู้สึกได้ว่าหลิงฟ่างหัวและหลิงยี่เทียนต้องรู้อะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ปฏิบัติตัวกับนางแปลก ๆ แบบนี้
ในตอนแรกนางถูกปฏิเสธอย่างชัดเจน แต่ต่อมาพวกเขากลับตกลงแถมยังส่งคนมาช่วยเหลือซะด้วยซ้ำ เมื่อเจอแบบนี้เป็นใครก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ
“น้องฟ่างหัว พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า?” หวงเซียะยิ้มและถามขึ้น “และอีกอย่างในตอนแรกที่เจ้าพูดว่า ‘ทำให้น้องสาวของเจ้าขยัน’ มันหมายความว่ายังไงงั้นเหรอ?”
หลิงฟ่างหัวยิ้มและตอบกลับว่า “ท่านจะรู้คำตอบเองในอนาคต ในตอนนี้เมื่อท่านบรรลุเป้าหมายในการมาแล้ว ท่านก็กลับออกไปก่อนเถอะ!”
หวงเซียะครุ่นคิดอยู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พยักหน้าและพูดว่า “อย่าได้ประมาทพวกเผ่าอสูรเด็ดขาด ภายนอกทะเลชางหมางความแข็งแกร่งของมันอยู่ใน 5 อันดับแรกของขุมกำลังทั้งหมด โดยเฉพาะที่ตอนนี้พวกเจ้ายิ่งสร้างความแค้นให้กับพวกมัน ถ้าหากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถตามข้าไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ได้ เมื่ออยู่ที่นั่นข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่เช่นนั้นหากพวกสันเขาหมื่นอสูรมันส่งพวกของมันมาอีก พวกเจ้าคงไม่สามารถรับมือพวกมันได้ง่าย ๆ แบบนี้อีกแล้ว”
หลิงฟ่างหัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “พวกมันก็แค่เผ่าอสูรเท่านั้น หากพ่อของข้าอยู่ที่นี่ พวกมันจะมาทำอะไรได้พวกข้าได้? เอาล่ะท่านเองก็รีบไปได้แล้ว ข้าเองก็จะกลับแล้ว”
หลังจากพูดจบ หลิงฟ่างหัวก็หายตัวเข้าไปในรูมิติที่นางสร้างขึ้นต่อหน้าทุกคน
อันที่จริง หลิงฟ่างหัวไม่ได้กลับไปที่เรือนของนาง แต่นางไปหาหลิงไช่หยุนเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับหวงเซียะเป็นการกระตุ้นหลิงไช่หยุนทางอ้อมให้ยิ่งขยันมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าหลิงฟ่างหัวหายตัวไปแล้ว หวงเซียะก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าความสามารถในการเดินทางผ่านมิติจะมาอยู่ในตัวของหญิงสาวที่ยังอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา”
องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เจ้าหญิง นางมีสมบัติพลังมิติอยู่ในครอบครอง…”
เมื่อได้ยินองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเอ่ยขึ้น หวงเซียะก็หันกลับมามองและตอบกลับ “นางมีสมบัติพลังมิติแล้วยังไง? นางเพิ่งช่วยเหลือเราไปแท้ ๆ เจ้ากลับจะให้ข้าตอบแทนบุญคุณผู้อื่นแบบนี้งั้นเหรอ? และอีกอย่างขนาดพวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตล้อมนางไว้ก่อนหน้านี้นางยังหนีไปได้ แล้วพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะจับตัวนางได้งั้นเหรอ? และอีกอย่างพวกเรายังมีภารกิจที่ต้องตามล่าตัวพวกของหนิงเฟิงอยู่อีก ดังนั้นพวกเราจะมาเสียเวลาที่นี่อีกไม่ได้”
องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็พยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็พากันบินตรงกลับไปที่เมืองเจิ้นไห่
หลังจากที่ไปถึงเมืองเจิ้นไห่ หวงเซียะก็ได้รับข่าวความคืบหน้าถึงแหล่งที่ซ่อนของหนิงเฟิงทันที ซึ่งมันทำให้นางรู้แล้วว่าหนิงเฟิงซ่อนตัวอยู่ที่อาณาเขตเสี่ยวเป่ย
ซึ่งหลังจากที่หวงเซียะไปถึงอาณาเขตเสี่ยวเป่ย การสู้รบก็เกิดขึ้นในทันที!
“หนิงเฟิง ในเมื่อเจ้าบังอาจสมรู้ร่วมคิดกับพวกเผ่าอสูร เจ้าก็ควรจะรู้ว่ามันต้องมีสักวันที่เจ้าจะถูกจับได้เช่นวันนี้!” หวงเซียะตะโกนไปยังหนิงเฟิง “จงตามข้ากลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์แต่โดยดี ให้เหล่าผู้อาวุโสตัดสินชะตาของเจ้าว่าจะอยู่หรือว่าจะตาย แต่ถ้าหากเจ้าขัดขืนข้าบอกได้เลยว่าวันนี้เจ้าได้ตายแน่ ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหลายคนไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องเผ่าอสูรและถูกหนิงเฟิงหลอกมา หากพวกเจ้ายอมจำนนข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหมด!”
หนิงเฟิงมองไปยังหวงเซียะ และเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 นายด้วยสายตาเย็นชา เขานึกไม่ถึงเลยว่าตระกูลชนชั้นสูงจะรู้ตัวไวขนาดนี้แถมยังส่งกองกำลังที่ดีที่สุดมาตามจับเขาอีกต่างหาก
แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้
“องค์หญิง สิ่งสุดท้ายที่ท่านควรทำคือการมาที่นี่” หนิงเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ต่อให้ท่านจะพาเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถปกป้องท่านได้หรอก ท่านคงไม่รู้เลยสินะว่ามันมีผู้คนมากมายต่างต้องการอยากได้ตัวท่าน ซึ่งอันที่จริงแล้วการที่ข้ายังคงอยู่ที่นี่มันก็เพื่อรอการมาของท่านต่างหาก! ผู้อาวุโสสงป้า ถึงตาท่านออกโรงแล้ว!”