ชายหนุ่มชุดเทาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมอง สายตาสบกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแรงกดดันที่ทำให้หายใจติดขัดโถมเข้าใส่ ทั้งร่างชาหน่วง เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นดั่งถูกสัตว์ร้ายตัวใหญ่ค้ำฟ้าจับจ้อง
“ผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” เขาตกตะลึงอยู่ในใจ
ชายหนุ่มชุดเทาตรงหน้าทำให้เขารู้สึกลึกล้ำหยั่งไม่ถึงและไม่อาจต่อต้านแม้แต่น้อย เขาเคยสัมผัสความรู้สึกที่คล้ายกันจากตัวของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่แท้จริงเช่นชิงหลิงกับราชายมโลกปี้โยวเท่านั้น
แก่นแท้สีดำขาวที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณของเขาหมุนแผ่วเบา พลังเวทโคจรทั่วร่าง ร่างกายจึงพอฟื้นกลับเป็นปกติได้
ดวงตาของชายหนุ่มชุดเทาทอประกายเล็กน้อย สายตามองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
เทียนเกอเจินเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มชุดเทาจึงมองไปทางหลิ่วหมิง แววตาครุ่นคิดแล่นผ่านดวงตา
“ศิษย์ คารวะเจ้าสำนัก” เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาสงบจิตใจได้แล้วจึงประสานสองมือคำนับเทียนเกอเจินเหริน
“หึๆ ศิษย์น้องหลิ่วเป็นเจ้าจริงเสียด้วย ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร! เอ๋ เจ้าระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว!” เทียนเกอเจินเหรินยังไม่ทันเอ่ยวาจา จินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างก็เผยสีหน้ายินดีเอ่ยออกมาก่อน
“ศิษย์พี่จิน ไม่พบกันเสียนาน” หลิ่วหมิงหันไปมองจินเทียนชื่อพลางคำนับทักทาย
“ศิษย์หลานหลิ่ว เวลาสั้นๆ เช่นนี้เจ้าไม่เพียงผนึกแก่นแท้ แต่ยังขึ้นไปถึงขั้นกลาง จากประวัติศาสตร์นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราคู่ควรเรียกขานเป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ส่งมา เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี” เทียนเกอเจินเหรินยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างแฝงความนัย
“เจ้าสำนักชมเกินไปแล้ว ข้า…” หลิ่วหมิงได้ฟังก็ยืดตัวตรง กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรอีกหน่อย
ชายหนุ่มชุดเทาพลันยกมือขึ้นตบมาทางหลิ่วหมิง
พริบตาเดียวกลางอากาศพลันปรากฏแสงสองสายสีดำกับสีขาวเกี่ยวกระหวัดกันก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์ขนาดหนึ่งจั้งสีขาวกับสีดำข้างหนึ่งตบเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างเชื่องช้า
ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ทันเข้าใกล้ร่าง หลิ่วหมิงก็สัมผัสถึงแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสายหนึ่งที่โถมเข้ามา ลมหายใจติดขัด โลหิตทั่วร่างแทบจะหยุดนิ่งทันที
เขาหน้าถอดสีในทันใด ขณะที่กำลังจะโคจรพลังเวททั่วร่างเข้าต่อต้าน ทันใดนั้นในหูก็ได้ยินเสียงเด็ดขาดดังขึ้น
“ไม่ต้องใช้พลังเวทอะไรทั้งสิ้น ใช้แต่พลังของกายเนื้อเจ้ารับกระบวนท่านี้”
หลังจากความคิดแล่นเร็วไวในใจ หลิ่วหมิงจึงกัดฟันตวาดออกมาเบาๆ คำหนึ่ง เสียงกระดูกกับเส้นเอ็นลั่นเปรี๊ยะดังออกมาจากร่างติดกันเป็นสาย กล้ามเนื้อทั่วร่างปูดนูนขึ้นมาในพริบตา ดันเสื้อผ้าบนร่างจนนูนเป็นลูก พริบตาเดียวร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้นเกือบครึ่งเท่า
“ฮ่า!”
เขาคำรามออกมาพร้อมกับต่อยหนึ่งหมัดเสียงดังกึกก้อง สวนเข้าหาฝ่ามือยักษ์สีดำขาวที่ตบลงมาเหนือศีรษะ
“ปัง!” เสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง
ฉับพลันเกิดแรงสั่นกระเพื่อมกลางอากาศประหนึ่งคลื่นน้ำ อากาศสะเทือนเป็นระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่าแผ่ขยายไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว
แม้แต่ห้องโถงแห่งนี้ตรงหน้าก็ยังสั่นไหวเบาๆ จากการโจมตีครั้งนี้ ยังดีที่ภายในห้องโถงมีชั้นจำกัดนับไม่ถ้วน กำแพงกับต้นเสาที่อยู่รอบๆ เปล่งแสงสีทองออกมาบนผิววูบเดียวก็ฟื้นกลับคืนสภาพเดิม
หลิ่วหมิงถูกแรงสั่นสะเทือนดีดกลับจนร่างกายปลิวถอยไปกระแทกกำแพงด้านหลังอย่างหนักหน่วง กว่าจะหยุดได้อย่างหวุดหวิด
แม้เป็นเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ยังแดงก่ำ รู้สึกหวานวูบในปากกับลำคอ เลือดคำหนึ่งพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบจะพ่นออกมา สีหน้าตกตะลึงจับต้นชนปลายไม่ถูก
นับตั้งแต่เขาได้สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสร้างร่างใหม่ มีโลหิตปีศาจสวรรค์ไหวเวียนในเส้นเลือด รวมกับที่ตรากตรำฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำหลายปีนี้ ร่างกายก็แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกร่างระดับเดียวกันไกลโพ้น
แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้เพียงตบเบาๆ ตามสบายครั้งเดียว เขาก็เกือบจะถูกโจมตีจนบาดเจ็บหนัก
ชายหนุ่มชุดเทาเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็ปรากกฎรอยยิ้มจางก่อนจะวางแขนลงช้าๆ
“ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋ นี่…” เทียนเกอเจินเหรินมองไปทางชายหนุ่มชุดเทาด้วยท่าทางสงสัยเล็กน้อย
ส่วนใบหน้าของจินเทียนชื่อกลับมีสีหน้าสนุกสนาน
หลิ่วหมิงโคจรพลังเวทในร่างอย่างรวดเร็วหลายรอบจนความรู้สึกหนักอึ้งในอกลดทอนลงไปมาก เมื่อหูได้ยินคำพูดของเทียนเกอเจินเหริน ในใจก็นึกออกทันที
แม้เขาจะอยู่ที่นิกายยอดบริสุทธ์มาเป็นเวลาไม่นาน แต่นามของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่มีไม่กี่คนในนิกายย่อมพอรู้มาบ้าง
ในหมู่ผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สี่คนของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนหนึ่งในนั้นมีนามว่าเสวียนอวี๋ซ่างเหริน เขาก็คือชายหนุ่มหน้าตาดาษๆ ผู้นี้ตรงหน้าหรือ?
“วางใจเถอะ เมื่อครู่ข้าเพียงลองทดสอบดูสักหน่อยเท่านั้น นี่คือโอสถดวงใจจิตวิญญาณหนึ่งเม็ด ช่วยเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บได้ แล้วยังมีฤทธิ์เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายเล็กน้อยด้วย รับไว้เถิด!” ชายหนุ่มชุดเทายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น พลางงอนิ้วดีดแสงสีแดงสายหนึ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบยื่นมือไปรับ มันคือโอสถสีแดงอ่อนที่ส่งกลิ่นหอมพิสุทธิ์เจือจางเม็ดหนึ่ง
เขาเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อมทันที
“ไม่ต้องไปหาคนอื่นแล้ว เด็กน้อยคนนี้ใช้ได้” ชายหนุ่มชุดเทาไม่สนใจอันใดหลิ่วหมิงอีก ตรงกันข้ามเขากลับหันไปมองเทียนเกอเจินเหรินแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ลอยละล่องออกไปจากห้องโถงอย่างไม่สนใจผู้ใด
“น้อมส่งผู้อาวุโสสูงสุด”
จินเทียนชื่อกับเทียนเกอเจินเหรินรีบค้อมกายส่ง
“ท่านประมุขเทียนเกอ เมื่อครู่ผู้อาวุโสท่านนี้ใช่ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋หนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หรือไม่?” หลิ่วหมิงรอชายหนุ่มชุดเทาจากไป เก็บโอสถเสร็จแล้ว จึงเดินไปตรงหน้าเทียนเกอเจินเหรินกับจินเทียนชื่อจากนั้นเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ศิษย์น้องหลิ่วเดาไม่ผิด” จินเทียนชื่อมองเทียนเกอเจินเหรินแวบหนึ่งแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องใส่ใจ เมื่อครู่ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋เพียงลงมือทดสอบความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเจ้าเท่านั้น หาได้มีเจตนาร้าย เหตุผลในเรื่องนี้ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง” เทียนเกอเจินเหรินแย้มรอยยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย
“ขอท่านประมุขคลายข้อสงสัยด้วย” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างนอบน้อม
“เรื่องเผ่าหนอนผีเสื้อที่ปรากฏตัวแถวนิกาย ไม่ต้องพูดมากเจ้าก็คงรู้อยู่แล้ว จากข่าวที่ได้มาจากศิษย์ซึ่งทยอยกลับนิกายระยะนี้ ยามนี้สถานการณ์ในแต่ละภูมิภาคของแผ่นดินคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่ยังทำอันใดเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ไม่ได้ จากเรื่องนี้ย่อมจินตนาการได้ว่าสถานการณ์ของที่อื่นก็คง…หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรักษารากฐานของนิกายไว้ไม่ได้ เกรงว่าช้าเร็วทั้งแผ่นดินคงจะพินาศวอดวาย” เทียนเกอเจินเหรินสายตาเคร่งขรึม เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“สถานการณ์ตอนนี้ ความจริงแล้วศิษย์ก็รู้มาอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเอ่ยตอบ
“ตอนนี้มีศิษย์ตกตายในมือเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ไม่น้อยแล้ว หลังจาเหล่าผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายเราหารือกันจึงกำหนดแผนการกวาดล้างแมลงบริเวณเทือกเขาหมื่นวิญญาณให้หมดสิ้น ทว่าภารกิจสำคัญในแผนการครั้งนี้ต้องการศิษย์ที่ระดับพลังไม่สูง แต่พลังกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งทำ” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย เดาคำพูดที่เทียนเกอเจินเกรินกำลังจะเอ่ยต่อไปได้บางส่วน
“เดิมนิกายเราเลือกศิษย์ลับที่ฝึกฝนวิชาสายร่างกายได้ไม่เลวสองสามคนเอาไว้แล้ว พวกเรากำลังหารือเรื่องนี้กับผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋ แต่เมื่อครู่ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋เห็นเจ้าก็ถูกใจทันที ดังนั้นภารกิจนี้ ดูท่าคงหนีไม่พ้นเจ้าแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ เอ่ยแทรกขึ้นมา
หลิ่วหมิงฟังจบพลันยิ้มเจื่อน
“ในเมื่อผู้อาวุโสเสวียนอวี๋สั่ง ศิษย์ย่อมไม่กล้าปฏิเสธ แต่ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจใดกันแน่”
“ศิษย์หลานหลิ่วยอมรับปากเรื่องนี้ นั่นดีเหลือเกิน แต่แผนการนี้สำคัญใหญ่หลวง ต้องรอยามเริ่มดำเนินการเท่านั้นจึงจะบอกรายละเอียดแก่เจ้าได้ เจ้ากลับไปเตรียมตัวเอาไว้ หลังจากนี้ไม่นานแผนการจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ถึงเวลาข้าจะอธิบายทุกสิ่งกับเจ้าด้วยตัวเอง” เทียนเกอเจินเหรินเห็นหลิ่วหมิงรับปากก็ค่อนข้างพอใจ
หลิ่วหมิงฟังจบก็ลังเลอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า
“ศิษย์หลานหลิ่วมาหาครั้งนี้ต้องการยื่นเรื่องเป็นศิษย์ลับสินะ ภารกิจครั้งนี้ถือว่าเป็นบททดสอบการเป็นศิษย์ลับของเจ้าก็แล้วกัน ขอเพียงทำภารกิจครั้งนี้ได้สำเร็จราบรื่น ตำแหน่งศิษย์ลับย่อมไม่หนีไปไหน นอกจากนี้ถึงเวลายังจะมอบรางวัลอื่นให้อีกมากมายด้วย” เทียนเกอเจินเหรินมองหลิ่วหมิงอย่างมีนัยยะแล้วเอ่ยเสริมขึ้นมาอีก
“ขอบคุณท่านประมุข ศิษย์จักทุ่มกำลังเต็มที่ทำภารกิจให้ลุล่วง” ดวงตาของหลิ่วหมิงเปล่งประกายด้วยความยินดี จากนั้นประสานมือคำนับ
เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาเช่นกัน
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงจึงไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาลาทั้งสองคนแล้วออกจากห้องโถงมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคิดว่าศิษย์หลานหลิ่วจะทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จหรือไม่?” เทียนเกอเจินเหรินจู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“อะไรกัน ศิษย์พี่เทียนเกอไม่เชื่อสายตาของผู้อาวุโสเสวียนอวี๋หรือไร?” จินเทียนชื่อยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นบ้าง
“หาใช่เช่นนั้น แต่ภารกิจครั้งนี้ ปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากเกินไป มิใช่จะอาศัยพลังเพียงอย่างเดียวทำให้สำเร็จได้” เทียนเกอเจินเหรินส่ายหน้า เอ่ยขึ้นมาคล้ายยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย
“ฮ่ะๆ ข้ากลับเชื่อมั่นในตัวศิษย์น้องหลิ่วอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าที่งานประตูสวรรค์หรือที่เศษซากของโลกบน ศิษย์น้องหลิ่วล้วนเผชิญหน้าด้วยความสุขุม เรียกได้ว่าทั้งมีความกล้าหาญและมีสติ ปัญญา ภารกิจครั้งนี้คงไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่าเขาแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เทียนเกอเจินเหรินเงียบไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยตอบ
…..
หลังจากหลิ่วหมิงกลับมาถึงยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงก็เรียกเขาไปพบอีกครั้งทันทีเพื่อถามเรื่องบททดสอบการเป็นศิษย์ลับ หลิ่วหมิงย่อมไม่ปิดบังเรื่องนี้ เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนยอดเขาหลักให้อินจิ่วหลิงฟังทุกรายละเอียด
เดิมทีเขาอยากจะสืบเรื่องภารกิจครั้งนี้จากอินจิ่วหลิงสักหน่อย ทว่าอินจิ่วหลิงเองก็ดูเหมือนไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน
เมื่อขบคิดไม่ได้ผล หลิ่วหมิงจึงได้แต่รอคอยครึ่งเดือนให้หลังไปถามเอาจากเทียนเกอเจินเหริน
หลังจากสนทนากับอินจิ่วหลิงอยู่พักหนึ่ง หลิ่วหมิงก็กลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
เสียงครืนดังขึ้นพักหนึ่ง ประตูถ้ำเปิดออกอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงมองภาพที่อยู่ตรงหน้า ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาในอกอย่างห้ามไม่ได้
ทุกสิ่งด้านในไม่เปลี่ยนจากตอนเขาไปสักนิด แค่ตรงพื้นถ้ำมีฝุ่นสีเทาจับอยู่ชั้นหนึ่งจนแลดูเงียบเหงาอยู่บ้างเท่านั้น
หลิ่วหมิงเดินวนรอบจุดต่างๆ ในถ้ำที่พัก หลังจากปัดกวาดอย่างพิถีพิถันรอบหนึ่งจึงเดินเข้าไปในห้องลับแล้วนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอย่างเงียบสงบ
การเดินทางระหกระเหินครั้งนี้ของเขากับการเผชิญศึกอันดุเดือดติดกันหลายครั้ง จริงๆ แล้วทำให้เขารู้สึกว่าพลังปราณเสียหายอยู่เล็กน้อย จำต้องพักรักษาตัวดีๆ สักพักหนึ่ง
หลายวันหลังจากนั้นขณะที่หลิ่วหมิงกำลังทำสมาธิพักฟื้นอยู่ในห้องลับของถ้ำที่พัก จู่ๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงสีขาวแผ่นหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่มาจากด้านนอกแล้วชนเข้ากับชั้นจำกัดนอกห้องลับพลางส่งเสียงดังหึ่งๆ
เขาลืมตาแล้วโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีดำสายหนึ่งโอบรอบยันต์สีขาวส่งมาถึงมือ เขาออกแรงกำครั้งเดียวก็ขยำจนแหลกทันที
“รีบมาวิหารหลัก” เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงของเทียนเกอเจินเหรินนั่นเอง