พวกเขาได้ยินเรื่องราวของดาราดังๆ ในวงการมากมาย แต่ว่า ศิลปินที่ดีอย่างหลินเช่อ มีน้อยมาก
เปลือกนอกเปลือกในเหมือนกัน ไม่มีการเสแสร้ง
และยังเป็นกันเองกับพวกเขามากๆ ราวกับทุกๆ คนคือเพื่อนสนิท
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหนึ่งปีกว่าๆ มานี้ พวกเขาสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ตั้งแต่ยังเป็นนักแสดงตัวเล็กๆ จนตอนนี้กลายเป็นนักแสดงที่มีแฟนคลับหลายล้านคน พวกเขามีความผูกพันกันในทีมของตนเอง
หลินเช่อเองก็รู้สึกซาบซึ้ง มองทุกคน บอกกับพวกเขา “วางใจเถอะ ฉันไม่ยอมให้ทุกคนไม่มีข้าวกินหรอก”
——
วันต่อมา เริ่มมีคนทำลายชื่อเสียงหลินเช่อบนโลกอินเทอร์เน็ต
อย่างแรกคือใส่ร้ายว่าหลินเช่ออารมณ์ร้าย หลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ลาหยุดกับทางบริษัทไปเป็นเดือน
มีคนปล่อยข่าวให้กับเพจในเวยป๋อ บอกว่าช่วงโปรโมทภาพยนตร์ หลินเช่อได้หายไปจากบริษัทเป็นเดือนๆ ไม่รู้ไปพักผ่อนที่ไหน เอาแต่ใจมาก ไปโดยไม่แจ้งอะไรเลยแม้แต่น้อย
จากนั้น ก็มีข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาติดๆ กัน บอกว่า หลินเช่อก่อนมีชื่อเสียงกับหลังมีชื่อเสียงแล้วกลายเป็นคนละคนเลย ตอนนี้ภาพยนตร์กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในยามที่กำลังโด่งดังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครชี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับบริษัทของเธอ
แต่ในสายตาของนักแสดง ดูออกทันทีว่านี่มันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
การใส่ร้ายเธอมันได้เริ่มขึ้นแล้ว เริ่มจากเรื่องเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปตามลำดับขั้น
ไม่นานอวี๋หมินหมิ่นก็มาถึงบริษัท
เธอตรงไปหาเฉินจิ้งเต๋อ เฉินจิ้งเต๋อจำเป็นต้องรับมือกับเธอ
เมื่อเห็นอวี๋หมินหมิ่นเขาจึงเอ่ยขึ้น “ผมรู้ หลินเช่อคือคนที่คุณเลี้ยงขึ้นมากับมือ คุณเองก็คงไม่ยอมให้เธอกลายเป็นแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่เชื่อฟังแล้ว เราควบคุมเธอไม่ได้ คุณเป็นผู้จัดการของเธอ ช่วงนี้คุณก็กำลังยุ่งเรื่องส่วนตัว มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเป็นไปได้…คุณก็อยู่ข้างหลังเงียบๆ ไปซะ ตอนนี้คุณกลายเป็นคนสำคัญไปแล้วคงไม่เหมาะที่จะออกหน้าแทนเธอหรอกใช่ไหม”
อวี๋หมินหมิ่นมองเขา “ที่หลินเช่อมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ นั่นเพราะความพยายามของเธอ เป็นความโชคดีของเธอ ฉันไม่กล้าอ้างว่าเป็นเพราะตัวเองในเรื่องนี้หรอกค่ะ แน่นอนว่าบริษัทมีส่วนช่วย แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อไม่มีบริษัทของเราแล้ว เธอจะมีชื่อเสียงไม่ได้ แต่พูดมาถึงตรงนี้ เธอเป็นคนที่บริษัทเราเลี้ยงมา พวกคุณทำกับเธอแบบนี้ เพื่อฉินหวานหว่านที่มาจากที่อื่นเนี่ยนะ ไม่คิดว่ามันทำให้คนเก่าๆ อย่างพวกเราไม่พอใจบ้างเหรอ”
“หมินหมิ่น เป็นเพราะใจหลินเช่อมันไม่อยู่แล้วต่างหาก ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
“ยังไงซะ เราก็ต้องยืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างฉินหวานหว่านอย่างนั้นเหรอ”
“เราไม่ได้ยืนอยู่ข้างใคร…”
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต่างคนต่างอยู่ ตอนนี้ก็คงต้องลาแล้วค่ะ”
“คุณ…หมินหมิ่น เธอจะยอมหักหลังบริษัทเพื่อหลินเช่ออย่างงั้นเหรอ” ใบหน้าของเฉินจิ้งเต๋อเข้มขึ้น
อวี๋หมินหมิ่นบอก “หลินเช่อเป็นคนของฉัน และเป็นเพื่อนของฉันด้วย ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะที่จะยืนอยู่ข้างผลประโยชน์”
มองอวี๋หมินหมิ่นเดินจากไป เฉินจิ้งเต๋อยิ่งโมโหมากขึ้น
ทว่าตอนนั้นเอง ฉินหวานหว่านที่แอบฟังอยู่ก่อนแล้ว เดินเข้ามา
เฉินจิ้งเต๋อบอก “จริงๆ เลย ตอนนี้พวกเขาปีกกล้าขาแข็งกันไปหมดแล้ว โดยเฉพาะอวี๋หมินหมิ่นนั่น…”
เธอกลายเป็นภริยาประธานาธิบดี ทุกคนต่างรับรู้เป็นอย่างดี
ในวันที่เธอกลายเป็นภริยาประธานาธิบดี ทุกคนต่างก็ตกใจ แต่ต่อมาก็เริ่มคุ้นชิน พบว่าเธอเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
แม้จะกลัว แต่เมื่อมาลองคิดดู เธอก็คงไม่สามารถใช้ตำแหน่งภริยาประธานาธิบดีมาทำอะไรได้มาก อย่างไรก็เป็นเธอซะอีกที่ต้องกลัวการถูกใส่ร้าย
เกิดภริยาประธานาธิบดีโดนให้ร้ายขึ้นมา เธอจะยังอยากเป็นภริยาประธานาธิบดีอยู่ไหม
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็กลายเป็นที่กล่าวถึง ดังนั้นตั้งแต่แต่งงานแล้ว ก็ทำตัวติดดิน ไม่กล้าก่อเรื่อง
ฉินหวานหว่านบอก “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกลัว ฉันเชื่อว่าเธอไม่กล้าทำอะไรมากหรอก อย่างไรซะฐานะเธอก็โดดเด่น และอ่อนไหว หรือว่าเธอจะกล้าเอาฐานะของเธอมาใช้กดดันในวงการได้จริงเหรอ”
“เธอก็พูดถูกนะหวานหว่าน แต่ว่าหลินเช่อ…”
“ในเมื่อเธอไม่อยากอยู่ แม้เธอจะหลุดออกไปได้ เราก็จะถลกหนังเธอออกอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ”
“เธอพูดถูก แต่ทำแบบนี้…”
“ฉันรู้ว่าข้างกายเธอมีคนหนึ่ง เราสามารถใช้ความดื้อรั้นของเธอได้ แถมอายุยังน้อย ใจร้อน ถึงตอนนั้น…”
เฉินจิ้งเต๋อมองเธอ “คุณหมายถึง…”
——
หลินเช่อเจอกับอวี๋หมินหมิ่นที่สตูดิโอแล้ว
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ดูเหมือนพวกเขาจะปักหลักยืนอยู่ข้างฉินหวานหว่านไปแล้ว”
หลินเช่อบอก “ความจริงพวกเขาคงเริ่มสงสัยฉันตั้งแต่อยู่ดีๆ ฉันก็ลางานไปหนึ่งเดือนแล้วล่ะ”
“ยังไงเหล่าผู้บริหารก็สงสัยแบบนี้ งั้นตอนนี้เราตัดสินใจจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม”
“ใช่” หลินเช่อเองก็ไม่ได้อยากเดินมาถึงขั้นนี้
แต่ดูจากเรื่องครั้งนี้ ก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“โชคดีที่พวกเรายังเปิดไพ่ออกมาไม่หมด จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่า เบื้องหลังเธอยังมีกู้จิ้งเจ๋อ”
“เกี่ยวอะไรกับเขากันล่ะ”
“แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอมีกู้จิ้งเจ๋อ พวกเขาก็คงไม่กล้ารังแกเราแบบนี้”
“ฉันไม่อยากดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“เอาล่ะ ยังไงครั้งนี้เราก็ต้องสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ ในเมื่อตัดสินใจจะไปแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปติดต่อบริษัทอื่น ความจริงบริษัทที่อยากได้ตัวเธอก็คงจะมีไม่น้อย”
“แต่พวกเขาก็คงไม่อยากเป็นศัตรูกับบริษัทภาพยนตร์หลิงต้งหรอก”
“ใช่น่ะสิ บริษัทภาพยนตร์หลิงต้งอยู่มานานขนาดนั้น แถมยังมีอิทธิพลไม่น้อย ตามวิธีการเดิมของพวกเขา กลัวว่าพวกเขาก็คงอยากถลกหนังเธอไม่น้อย”
“ครั้งนี้ฉันไม่มีทางยอมให้พวกเขาทำสำเร็จแน่”
“ใช่ ยังไงเราก็ต้องลองสักครั้ง ถ้าไม่ไหว เธอก็ยังเป็นคุณนายกู้ อย่างมากก็แค่กลับไปเป็นคุณนายกู้เท่านั้นเอง”
ใช่ บางทีอาจจะเพราะกู้จิ้งเจ๋อไม่ยุ่งเรื่องของเธอ แต่เพราะมีเขาคอยอยู่เบื้องหลัง เธอถึงได้มีความมั่นใจ
เมื่อมีความมั่นใจแล้วก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
ตอนที่เดินออกไป หยางหลิงซินมองหลินเช่อ “พี่เช่อ จะไม่ให้ประธานกู้ช่วยจริงๆ เหรอคะ”
“ถ้าเรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ฉันจะอยู่ในวงการต่อไปได้ยังไงล่ะ” หลินเช่อบอก
หยางหลิงซินได้ยินดังนั้น จึงต้องเม้มปาก มีคนรังแกหลินเช่อขนาดนี้ เธอก็ยังไม่ยอมให้กู้จิ้งเจ๋อช่วย ความรู้สึกเมื่อโดนคนรังแกนั้นไม่ดีเลย หยางหลิงซินอ่านข้อความด่าหลินเช่อในเวยป๋อ ขนาดเธอยังโกรธเลย แต่ทำไม หลินเช่อถึงไม่โกรธเลยล่ะ
ตอนนั้นเอง อวี๋หมินหมิ่นมองเห็นหยางหลิงซิน จึงเรียกเธอออกมาคุยด้วยเป็นการส่วนตัว
“เสี่ยวซิน เธอยังพักอยู่ที่บ้านตระกูลกู้เหรอ”
หยางหลิงซินชะงัก มือกำชายเสื้อแน่น “ใช่ค่ะ พี่เช่ออยู่คนเดียวเหงามาก ประธานกู้ยุ่งอยู่บ่อยๆ พี่เช่อเลยให้ฉันอยู่ด้วยสักพักก่อนค่ะถือว่าอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วย”
“อ้อ…งั้นเหรอ แต่เธอไม่กลับบ้าน ที่บ้านไม่เป็นห่วงเหรอ” อวี๋หมินหมิ่นตบไหล่เธอยิ้มบางๆ
อวี๋หมินหมิ่นเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงคิดว่า คนทั่วไปเพียงฟังเธอเตือนแบบนี้ ก็คงจะพอเข้าใจ