เสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วเข็นรถฟู่กุ้ยเตรียมเดินออก แม่อวี๋เดินตามด้วยความเป็นห่วง
“แม่ไม่ต้องตามมาหรอกค่ะ ไปอยู่บ้านพี่สะใภ้รองดีกว่า พวกเราไปเดี๋ยวก็กลับ พรุ่งนี้เสี่ยวเฉียงต้องทำงานอยู่ค้างไม่ได้” เสี่ยวเชี่ยนทิ้งแม่อวี๋ไว้ที่บ้านแล้วพาฟู่กุ้ยออกไป
ตอนที่ผ่านร้านหนังสือเล็กๆ อยู่ๆฟู่กุ้ยก็บอกให้เสี่ยวเชี่ยนหยุดรถ
“มีอะไรเหรอ?”
“เธอช่วยพี่ลงไปซื้อหนังสือหน่อย” ฟู่กุ้ยเคลื่อนไหวไม่สะดวก ลงจากรถไม่ได้
ร้านหนังสือใหญ่ๆปิดหมดแล้ว มีแต่ร้านหนังสือขนาดเล็กที่เป็นกิจการส่วนตัวแบบนี้ที่ยังเปิดอยู่
“จะซื้อหนังสืออะไรเหรอ?”
“คำสอนท่านผู้นำ แนวคิดท่านผู้นำ หนังสืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับท่านผู้นำ จะเหมาเจ๋อตุง เติ้งเสี่ยวผิงหรืออะไรก็ได้ เห็นอันไหนก็หยิบมา”
“…จะเอาไปทำอะไร?” เสี่ยวเชี่ยนเดาทางไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่
ฟู่กุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน “พี่จะไปพาพี่สะใภ้เธอกลับมา”
ดุเดือด
แมนมาก
เท่ห์
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจทันที ใช้ได้นี่พี่ฟู่กุ้ย ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้มีความเป็นพี่ใหญ่ดีมาก
ผู้คงแก่เรียนพอมีอารมณ์ขึ้นมาก็เลือดร้อนไม่แพ้พวกชอบใช้กำลังเลยแฮะ
สักพักเสี่ยวเชี่ยนก็หอบหิ้วหนังสือออกมา เจ้าของร้านมองส่งเสี่ยวเชี่ยนด้วยความซึ้งใจ
ขอบคุณสาวสวยคนนี้จริงๆที่มาเอาหนังสือที่ดองอยู่ในร้านเขาตั้งหลายปีไปสักที
ระหว่างทางไม่มีการพูดคุย กว่าจะไปถึงบ้านหลิวเหมยก็เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว พอถึงที่นั่นก็เห็นอวี๋หมิงหลางยืนหน้าบึ้งเฝ้าอยู่หน้าบ้าน อีกทั้งยังก้มมองนาฬิกาเป็นระยะ
พอเห็นรถเสี่ยวเชี่ยนมาเขาก็หน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม น่ากลัวเข้ากับบรรยากาศท้องฟ้าที่มืดสนิท
เสี่ยวเชี่ยนไม่เห็นสีหน้าบึ้งตึงของเขา เธอเห็นแค่เขายืนอยู่หน้าบ้าน รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที สามีเธอนี่ดีจริงๆ
ซึ้งใจอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งนาที อวี๋หมิงหลางพาฟู่กุ้ยลงจากรถ เสี่ยวเชี่ยนลงจากรถยังไม่ทันได้พูดชมก็ถูกอวี๋หมิงหลางจับข้อมือไว้แล้วเขาก็เปิดประตูรถเธอเข้าไปด้อมๆมองๆแถวที่นั่งคนขับ
“นายดูอะไรของนาย?” เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจ
“ก็ดูไงว่าคันเร่งมันถูกคุณเหยียบจนพังหรือเปล่า ไถเกียร์จนสุด ขับพุ่งมาด้วยความเร็วสองร้อยตลอดทาง ใช้ได้นี่ ประธานเชี่ยน มีอะไรจะพูดไหม?”
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มแหยๆ
“นายก็พูดเว่อร์ไป ทางด่วนขับตามใจชอบได้เหรอ สองร้อยก็เว่อร์เกิน”
“ไม่ถึงสองร้อยแต่อย่างน้อยๆก็ร้อยสามสิบขึ้น ไม่อย่างนั้นคุณจะมาถึงไวขนาดนี้ได้ยังไง ผมคอยดูเวลาตลอด ถ้าเทียบกับระยะทางและความเร็ว คุณมาถึงเวลานี้ก็แสดงว่าเหาะมา”
เสี่ยวเชี่ยนชูนิ้วกลางในใจ มิน่าไอ้บ้านี่มายืนเฝ้าหน้าบ้าน ที่แท้ก็ออกมาจับผิด?
“ถนนเส้นนี้ไม่จำกัดความเร็ว ฉันก็เลยขับไวหน่อย”
“หน่อย?”
อวี๋หมิงหลางเลือกเน้นคำท้าย
เสี่ยวเชี่ยนกลัวเขากัดประเด็นนี้ไม่ปล่อย ตานี่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยล่ะก็นิดหน่อยก็ไม่เกรงใจ กล้าเถียงคอเป็นเอ็นกับเธอทันที แต่ตัวเธอเองก็ผิดจริงเลยไม่กล้าเถียงกลับ ครั้นแล้วจึงชี้ไปที่ฟู่กุ้ยที่กำลังพยายามเข็นรถตัวเองแล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างจริงจัง
“ดูนั่น เราสองคนยังไวไม่เท่าคนนั่งรถเข็นเลยนะ เร็วเข้า รีบตามไปดู ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับหลิวเหมย หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยจะยังพัฒนาไปได้ต่อหรือเปล่า?”
น่าเสียดายที่สกิลการเปลี่ยนเรื่องของเสี่ยวเชี่ยนพอเจอเสี่ยวเฉียงก็ประสิทธิภาพลดลงครึ่งหนึ่ง เขาไม่ถูกเธอล้างสมองได้ง่ายๆหรอก
“เรื่องนี้กลับไปเราค่อยคุยกัน ต่อไปห้ามคุณขับรถขึ้นทางด่วนเองอีก ผมดูออกนานแล้วว่าคุณเป็นพวกขับรถเร็ว”
อันที่จริงอวี๋หมิงหลางเสียใจมาก เขาไม่น่าให้เธอมา รู้สึกไม่วางใจเลย
“นายดูออกจากตรงไหน?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอม
ปกติขับรถในเมืองเธอออกจะขับช้า
“ตอนที่หนังเร็วแรงทะลุนรกภาคสองเข้าฉายเมื่อสองปีก่อน คุณจ้องชนิดที่ตาไม่กระพริบ ผมเลยสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นว่าคุณเป็นพวกขับรถเร็ว แต่น่าเสียดายที่ปกติจับไม่ได้คาหนังคาเขา”
เสี่ยวเชี่ยนหมดคำจะพูด ตานี่สมกับเป็นมือสไนเปอร์จริงๆ ความจำเป็นเลิศ นี่เรื่องมันก็ตั้งสองปีแล้วยังจะจำได้อีก
ดีที่อวี๋หมิงหลางเองก็เป็นห่วงเรื่องหลิวเหมยกับฟู่กุ้ย จึงไม่ได้เอาเรื่องเสี่ยวเชี่ยนต่อ บ้านหลิวเหมยอยู่ชั้นสี่ ที่นี่ไม่มีลิฟท์ อวี๋หมิงหลางแบกฟู่กุ้ย เสี่ยวเชี่ยนแบกรถเข็น พากันหอบหิ้วขึ้นไปด้านบน
ยังไม่ทันจะได้เคาะประตูก็ได้ยินหลิวเหมยกำลังถูกแม่ดุ
“เราว่าอะไรนะ? คบกับฟู่กุ้ยอยู่ดีๆ ทำไมมาบอกว่าจะไม่เจอกันแล้ว?”
“ก็แค่ไม่เจอหน้า จะมีเหตุผลอะไรเยอะแยะ ตอนนั้นที่หนูเลิกกับหม่าลุ่ยก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย”
“โอ๊ยลูกคนนี้นี่ น่าโมโหจริงๆ” เดิมแม่หลิวเหมยยังแอบคิดว่าหลิวเหมยจะพาว่าที่ลูกเขยมาด้วยได้ ใครจะไปคิดว่าเด็กคนนี้พอเข้าบ้านมาก็ตาแดงๆไม่พูดไม่จา
ถามอะไรก็ไม่ตอบ แม่หลิวเหมยเลยต้องถามอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางไม่ตามใจหลิวเหมยจึงเล่าเรื่องที่หลิวเหมยคุยกับฟู่กุ้ยระหว่างทางให้ฟังจนหมด
ในสายตาของเสี่ยวเฉียง การที่คบกันอยู่ดีๆก็มาหาเรื่องทะเลาะแบบนี้ เขาไม่บ้าตามไปด้วยหรอก
ตามคาด แม่หลิวเหมยโมโหมาก
“ยัยเด็กเลอะเลือน หม่าลุ่ยกับฟู่กุ้ยเหมือนกันเหรอไง? ฟู่กุ้ยดีกับเราขนาดนั้น ตกลงไม่พอใจอะไรในตัวเขากันแน่?”
ข้างในเกิดความเงียบ คนที่อยู่ข้างนอกมองไม่เห็น อันที่จริงหลิวเหมยกำลังร้องไห้
ก็เพราะฟู่กุ้ยดีเกินไป เธอถึงได้พูดแบบนั้น
อาจารย์บอกว่า ดวงเธอเป็นกาลกิณีตั้งแต่เกิด คบกับใครก็ชงกับคนนั้น แถมยังถามเธอด้วยว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ตอนดูดวงเห็นดวงของเธอไม่มั่นคง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้อง…
เธอทนฟังต่อไปไม่ไหวจึงตัดสายอาจารย์ทิ้งแล้วโทรหาฟู่กุ้ย
ก็ดวงเธอเป็นกาลิกิณีอยู่กับใครก็ชงไม่ใช่เหรอ?
ฟู่กุ้ยขาหัก พ่อต้องผ่าตัด หรือต้องรอให้เขาตายก่อนงั้นเหรอ?
แต่อันที่จริงแล้วหลิวเหมยยังฟังไม่จบ อาจารย์มีเรื่องจะพูดต่อ
แม่หลิวเหมยยังคงดุลูกไม่หยุด ฟังดูก็รู้เลยว่าเธอพอใจในตัวฟู่กุ้ยมาก
“เรานี่นะ สายตาพร่ามัวหรือไง? ก่อนหน้านี้ก็ไปเอาผู้ชายอะไรไม่รู้มาเป็นแฟน กว่าจะได้แฟนดีไม่ใช่ง่ายๆ แล้วนี่ยังจะไปหาเรื่องทะเลาะกับเขาอีก แม่จะบอกให้นะ รีบโทรไปขอโทษฟู่กุ้ยเดี๋ยวนี้ ขอโทษเสร็จก็ไปโรงพยาบาลกับแม่ พ่อเรายังนอนอยู่ที่นั่นนะ”
“แม่จะมายุ่งเรื่องแต่งงานของหนูทำไม หนูบอกว่าไม่เจอก็ไม่เจอสิ เอาเป็นว่าหนูมันตัวกาลกิณี ชาตินี้หนูจะอยู่อย่างนี้นี่แหละ พรุ่งนี้หนูจะเก็บของไปอยู่บนเขา จะไปบวชเป็นแม่ชี”
“แก” แม่หลิวเหมยโมโหจนเอามือจับหน้าอก ทำไมเด็กคนนี้ทำตัวน่าโมโหได้ขนาดนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพอดี แม่หลิวเหมยชี้หน้าลูกสาว อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เห็นอวี๋หมิงหลาง เสี่ยวเชี่ยน และบุคคลที่สำคัญที่สำคัญที่สุดอย่างฟู่กุ้ยอยู่ด้านนอก แม่หลิวเหมยรีบทำตัวตามปกติเหมือนอย่างตอนทำงาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับเป็นอย่างดี
“ไอ๊หยา ฟู่กุ้ยมาแล้ว มาๆ เข้ามาก่อน แล้วนี่ขาเป็นอะไรจ๊ะ?”
“เกิดอุบัติเหตุน่ะครับ แต่ไม่เป็นอะไรมาก กระดูกหักนิดหน่อย ทำคุณน้าเป็นห่วงแย่เลย”
“เกิดเรื่องทำไมไม่โทรมาบอกพวกน้าล่ะ แล้วนี่ยังมาตั้งไกล เข้ามาเร็ว รีบเข้ามาก่อน” แม่หลิวเหมยพอเห็นฟู่กุ้ยนั่งรถเข็นในสมองก็คิดไปสารพัด
คนแก่คิดไปต่างๆนานา หรือฟู่กุ้ยจะพิการหลิวเหมยถึงได้ไม่อยากเจออีก?