ไม่นึกว่าฟู่กุ้ยที่แสนอ่อนโยนจะถนัดโต้แย้งอะไรแบบนี้ หลิวเหมยหาเหตุผลมาแย้งไม่ขึ้น
แต่มองออกเลยว่า เธออ่อนไหวกับคำพูดของเขาบ้างแล้ว
“เอาแบบนี้ ถ้าเธอยังไม่เชื่อพี่ล่ะก็ พี่จะโทรหาอาจารย์เธอเดี๋ยวนี้เลย”
ฟู่กุ้ยไม่เชื่อว่าลัทธิวัตถุนิยมแบบเขาแถมยังจบดอกเตอร์จะโต้แย้งแพ้หญิงชราความคิดงมงายคนหนึ่ง ถ้าเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ก็เสียทีที่เรียนมาตั้งหลายปี!
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆโทรศัพท์บ้านหลิวเหมยก็ดังขึ้น
ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว โทรศัพท์ดังตอนนี้แอบน่ากลัวไปหน่อย
หลิวเหมยไปรับ เดิมคิดว่าเป็นแม่ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอาจารย์ของเธอ!
“ถึงบ้านหรือยัง?”
“อ๋า! อาจารย์!”
ฟู่กุ้ยได้ยินดังนั้นก็รีบไถรถเข็นเข้าไปฟังใกล้ๆ
“เด็กคนนี้นี่ทำไมนิสัยใจร้อนแก้ไม่หายสักที? ฉันยังพูดไม่จบก็ตัดสายทิ้ง! ดีที่ช่วงนี้ฉันลงเขามาพักในบ้านเกิดเลยมีโทรศัพท์ใช้ โทรเข้ามือถือตั้งนานเธอก็ปิดเครื่อง อยู่ๆนึกได้เลยโทรถามแม่เธอ เลยรู้ว่านิสัยบุ่มบ่าม…”
“ที่เขาบุ่มบ่ามก็เพราะคุณไม่ใช่เหรอครับ? คุณมีอะไรจะพูดก็พูดกับผมได้ครับ” ฟู่กุ้ยไม่รอให้หลิวเหมยพูด เขากดเปิดลำโพงทันทีแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ
สำหรับหญิงแก่ที่ชอบเอาความคิดไร้สาระกรอกใส่หัวหลิวเหมยแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเกรงใจ
“เอ๊ะ…ดาวพิฆาต?” อาจารย์คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ชายอยู่ด้วย พอได้ยินเสียงคนหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
“ผมเป็นคู่หมั้นของหลิวเหมยครับ ครั้งนี้พฤติกรรมของคุณ—”
“พวกเธอจะแต่งงานกันเมื่อไร?” อาจารย์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก
“ช่วงหน้าร้อนครับ ถึงตอนนั้นผมจะส่งบัตรเชิญไปให้นะครับ ผมจะต้องแต่งกับเธอให้ได้ครับ!”
อย่าคิดจะมาพรากคู่หมั้นของเขาไป! ตอนนี้ฟู่กุ้ยเตรียมคำสอนของท่านผู้นำไว้โต้แย้งเรียบร้อยแล้ว หากหญิงชราหมอดูงมงายคนนี้กล้ามีข้ออ้างล่ะก็ เขาจะเถียงให้ตายไปเลย! ดาวอริอะไร หลิวเหมยชะตาแข็งบ้าบออะไร มีหรือจะสู้ทางสว่างที่ท่านผู้นำชี้ได้ จะเถียงให้ตายไปเลย!
อยู่ๆก็รู้สึกว่าการที่สมัยเรียนตั้งใจเรียนวิชาพวกนี้ก็มีประโยชน์ไม่น้อย เอาไว้ใช้โต้แย้งกับคนได้ครอบจักรวาลมาก
อยากตะโกนออกไปให้ดังๆว่า ความเชื่องมงายทั้งหลายมันก็แค่เสือกระดาษ!
ฟู่กุ้ยยังไม่ทันจะได้ปล่อยท่าไม้ตายก็ได้ยินเสียงดีใจจากปลายสาย
“ดีมาก! แต่งงานก็ดี! เรื่องนี้ยิ่งไวยิ่งดี ทางที่ดีรีบไปจดทะเบียนก่อนเลยนะ ผ่านช่วงชงช่วงนี้ไปก็ไม่มีอะไรแล้ว”
“ท่านผู้นำสอนเราไว้ว่า—เอ๊ะ?”
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไหนล่ะคำพูดงมงาย
ไหนล่ะการโต้เถียง?
ฟู่กุ้ยเงียบไป หลิวเหมยที่อยู่ข้างๆก็เงียบ
“ที่ฉันโทรมาก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้นี่แหละ ช่วงนี้หลิวเหมยดวงไม่ดีอย่างแรง ให้เขาคอยอยู่กับเธอนะห้ามแยกจากกัน ยิ่งแต่งานไวปัญหายิ่งคลี่คลายเร็ว ต่อไปผัวเมียก็ห้ามทะเลาะกัน รักกันให้ดีๆ รับรองว่าพวกเธอรักกันจนแก่เฒ่าแน่”
“เอ่อ…”
แบบนี้จะให้ตอบยังไง!
“แต่เด็กคนนี้นิสัยค่อนข้างใจร้อน เมื่อกี้ฉันเพิ่งเริ่มคุยเขาก็ตัดสายทิ้งเฉย ไม่ฟังให้จบก่อน เอาโทรศัพท์ให้หลิวเหมยหน่อย ฉันจะพูดกับเขา”
ฟู่กุ้ยยื่นโทรศัพท์ให้หลิวเหมย ท่าทีของอาจารย์คนนี้น่าประหลาดใจจริงๆ
แต่มาคิดดูดีๆ ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงหลิวเหมยมาก ไม่อย่างนั้นจะโทรมาตอนดึกดื่นแบบนี้เหรอ?
“อาจารย์” หลิวเหมยรับสาย
“หลิวเหมย อาจารย์ได้ยินว่าเธอจะแต่งงานอาจารย์ดีใจมาก มีคำพูดที่อยากจะบอกเธอไว้ ถึงอาจารย์จะศึกษาแต่เรื่องโหราศาสตร์มาทั้งชีวิต เชื่อเรื่องความเป็นความตายเนื้อคู่ของคนที่ฟ้ากำหนดไว้แล้ว แต่นอกจากเรื่องพวกนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปได้ ขอแค่มีความพยายามมันเปลี่ยนได้หมดยกเว้นสามเรื่องนี้ พอแต่งงานแล้วก็พยายามให้มากๆนะ ไม่ต้องไปสนเรื่องดวงชะตาแข็งไม่แข็งหรอก”
ฟู่กุ้ยถึงกับไปไม่ถูก เห้ย! ป้าหมอดู ทำไมมาแย่งบทพูดผมล่ะ!
“อาจารย์…” หลิวเหมยเริ่มน้ำตาคลอเบ้า
“ตอนนั้นคนที่ดูดวงให้เธอเขาก็พูดฟันธงเกินไป อาจารย์เองไม่กล้าฟันธงชะตาชีวิตให้ใครเด็ดขาดแบบนั้นหรอก ขอแค่เรามีความพยายามก็ย่อมเปลี่ยนโชคชะตาได้ ต่อให้เปลี่ยนไม่ได้ก็ยังสามารถเปลี่ยนจิตใจคนได้ ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวัน”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกเขาให้ไวกว่านี้ล่ะครับ!” ฟู่กุ้ยตำหนิอย่างไม่เกรงใจ
“ฉันบอกหลายครั้งแล้วเขาก็ไม่เชื่อ เอาแต่คิดมาก เขาแคร์ครอบครัวมากเกินไป ฉันหลอกเขาว่าถ้าพยายามฝึกวิชาป้องกันตัวแล้วจะนำโชคดีมาให้ครอบครัวเขาก็ฝึกเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่อย่างนั้นคนที่ชอบกินอย่างเขาไม่ชอบออกกำลังกายจะเป็นแชมป์ระดับประเทศได้ยังไง? เหรียญมีสองด้านเสมอ หลิวเหมยจำไว้นะ สิ่งที่นำความทุกข์มาให้เธอล้วนเป็นสิ่งที่เธอแคร์ทั้งนั้น ถ้าจัดการกับความทุกข์ได้เธอก็จะได้ในสิ่งที่เธอต้องการ มันก็เหมือนที่อาจารย์เพิ่งพูดไป นอกจากความเป็นความตายกับเรื่องเนื้อคู่ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เรื่องอื่นล้วนต้องอาศัยความพยายามเพื่อให้ได้มาทั้งนั้น หรือจะเปรียบให้เห็นภาพก็ ขนาดคนเราทำงานยังรู้เลยว่าจะได้เงินเท่าไร สวรรค์ก็ไม่ได้กำหนดเสียหน่อยว่าชาตินี้เธอจะมีแต่ความสุขหรือความทุกข์อย่างเดียว ถ้าเธอใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกวันได้ก็ไม่เสียทีที่เกิดมา”
ฟู่กุ้ยหมดคำจะพูด
ทำไมหมอดูคนนี้ไม่เหมือนที่คิดไว้?
นี่มันหมอดูที่ไหนกัน นี่มันนักแย่งบทพูดหมอประสาทชัดๆ พูดจามีปรัชญาชีวิตทั้งนั้น!
โวะ!
หลิวเหมยยกนิ้วกลาง “อาจารย์! หลอกหนูนี่นา! ตอนเด็กๆหนูลำบากจะตายที่แท้อาจารย์หลอกหนูเหรอ?”
เธอไม่อยากฝึกยืนบนเสาไม้ แต่อาจารย์บอกว่ายืนแล้วพ่อจะไม่เป็นหวัดเธอก็ยืน
ฝึกนั่งเก้าลมแล้วปวดขา แต่อาจารย์บอกว่าทำแล้วแม่จะไม่ซวยไปหนึ่งเดือน
เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า
เธอเป็นแชมป์ศิลปะป้องกันตัวระดับประเทศหลายสมัย จากเด็กที่อ่อนแอขี้โรคกลายเป็นเด็กที่สุขภาพแข็งแรงมาก
“อย่างฉันเขาเรียกว่าสอนคนตามนิสัย! เรื่องโชคชะตาจะไม่เชื่อเลยก็ไม่ได้ แต่จะหลับหูหลับตาเชื่อไม่ได้!เรื่องทุกอย่างมันมีทางเปลี่ยนแปลงเสมอ จัดการให้ดี อยู่กับปัจจุบัน ดาวพิฆาตคนนี้ใช้ได้ อาจารย์ดูดวงให้แล้ว ลูกของพวกเธอสองคนโชคชะตาอาจนำ—”
“ไม่ต้องนำอะไรมาแล้ว! อาจารย์พูดไปก็ไม่มีประโยชน์! ชะตาของเด็กก็ให้เขาไปต่อสู้เอาเองเถอะค่ะ!” หลิวเหมยวางสาย โมโหจนหน้าแดงไปหมด
นี่มันอะไรกัน!
อาจารย์หลอกเธอมาตลอด!
“โหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ถึงจะเป็นระบบแนวคิดกับรูปแบบมุมมองที่มีต่อโลกที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังคงมีจุดที่เหมือนกัน อาจารย์ของเธอได้เปลี่ยนแปลงความคิดของพี่ที่มีต่อศาสตร์นี้เลยนะ”
การโทรมาครั้งนี้แตกต่างจากการรักษาจิตเวชตรงไหน?
ไม่ได้ต่างเลย
จะโชคชะตาหรือจะดวง ไม่ว่าสวรรค์จะกำหนดมาอยู่แล้วหรือไม่ แต่กลับมีคำพูดหนึ่งที่พูดถูก
มีความสุขก็เป็นวันหนึ่ง ไม่มีความสุขมันก็เป็นวันหนึ่ง การต่อสู้มานะบากบั่นใช่ว่าจะเปลี่ยนโชคชะตาได้ แต่คนที่ไม่ต่อสู้แม้แต่โอกาสก็ไม่มี
เราเป็นเจ้าของตัวเราเอง พยายามให้ถึงที่สุด ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตานำพา จิตใจหนักแน่น เจออุปสรรคไม่ย่อท้อ บางทีนี่อาจจะเป็นจุดที่เหมือนกันของคนที่ศึกษาโหราศาสตร์อย่างอาจารย์ของหลิวเหมยกับตัวแทนคนที่ศึกษาเรื่องจิตวิทยาอย่างเสี่ยวเชี่ยนกับฟู่กุ้ย
“…ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนพอได้ฟังหลิวเหมยเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็วางสาย เธอถอนหายใจโล่งอก
จากนั้นจึงเล่าให้อวี๋หมิงหลางฟัง
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ พวกเรากลับกันได้แล้ว เรื่องของสองคนนั้นลงเอยกันแล้ว”