ยี่สิบห้า
หนึ่งในสิบสองหญิงงาม
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจเป็นอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงว่าในป่าลึกบนเขาแห่งนี้จะมีคนอาศัยอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังเป็นสตรีอีกด้วย
เธอปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็เห็นว่าเขากำลังมองสตรีนางนั้นเช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มดูเหมือนอยากจะเอ่ยบางอย่าง สุดท้ายเขาก็กล่าวเพียงสั้นๆ “ตามข้ามา”
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนเหล่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่พลันกระจ่างแจ้งในใจทันที เสวี่ยหยวนจิ้งคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในที่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่ และเขาต้องรู้จักสตรีผู้นั้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นหนึ่งในหญิงงามสิบสองคนหรือไม่
เธอต้องโทษตัวเองที่เวลานั้นในหัวมีเพียงเรื่องวิทยานิพนธ์ จนไม่ตั้งใจฟังเพื่อนร่วมห้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้เพียงคร่าวๆ เช่นในตอนนี้… รายละเอียดที่ลึกกว่านั้นเธอไม่รู้เลย
เธอแอบถอนหายใจเงียบๆ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าตามเสวี่ยหยวนจิ้งไป
แม้ว่ารั้วไม้ไผ่นี้จะเตี้ย เพียงเสวี่ยหยวนจิ้งยกเท้าขึ้นก็สามารถข้ามเข้าไปได้ แต่เขากลับเลือกเดินไปเคาะประตูลานเรือนอย่างมีมารยาท
ประตูลานทั้งสองบานสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย แม้กระทั่งความสูงของมันยังน้อยกว่าเสวี่ยเจียเยว่ และเป็นเพียงการตั้งเอาไว้ให้รู้ว่านี่คือประตูเท่านั้น เธอสามารถมองเข้าไปเห็นสิ่งของทุกอย่างในลานเรือนได้อย่างชัดเจน
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งเคาะประตูไม่นาน สตรีที่กำลังพลิกของป่าบนรั้วอีกด้านก็รีบหันมามอง
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครอยู่แล้ว เมื่อครู่สายตาของเธอจึงจับจ้องคนที่กำลังพลิกของป่าตากแห้งตลอดเวลา พอเห็นอีกฝ่ายหันมา เธอยิ่งมองอย่างละเอียดขึ้น และพบว่าเจ้าของร่างบอบบางนั้นยังเป็นเด็กสาว
แม่นางผู้นี้มีอายุราวสิบสองสิบสามปี ใบหน้าเป็นรูปไข่งดงามไม่น้อย เป็นความงามที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก ดวงตานางเปล่งประกาย เวลายิ้มจะเห็นฟันขาวสะอาด
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่า นางจะต้องเป็นหนึ่งในสิบสองหญิงงามอย่างแน่นอน
คงเพราะมีน้อยคนที่จะมาเยือนที่นี่ สีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจึงดูแปลกใจและระวังตัว แต่หลังจากมองคนที่เคาะประตูอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นดีใจและตกตะลึงขึ้นมาทันที
“ท่านคือ… ท่านคือพี่จิ้งใช่หรือไม่” เด็กสาวรีบสาวเท้าไปใกล้เสวี่ยหยวนจิ้ง ยามนี้สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อีกทั้งเสียงยังสั่นเครือ
เสวี่ยเจียเยว่กลืนน้ำลายอึกใหญ่เงียบๆ พลางคิดในใจว่า ขออย่าให้เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้ชื่อหวงหรงเลย
เด็กสาวไม่ได้ชื่อหวงหรง แต่ชื่อหลี่หานเซี่ยว กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็มั่นใจว่านางคือหนึ่งในสิบสองหญิงงาม เพราะในความทรงจำอันเลือนรางของเธอนั้น เพื่อนร่วมห้องขมวดคิ้วเอ่ยชื่อที่ตนตั้งขึ้นมาอย่างซับซ้อน และนางเอกในนิยายเรื่องนี้ก็มีตั้งสิบสองคน โดยที่ชื่อของพวกนางล้วนเป็นชื่อดอกไม้ทั้งสี่ฤดู
หานเซี่ยวเป็นไม้ดอกชนิดหนึ่ง ตอนบานสะพรั่งดูขาวบริสุทธิ์ราวหยกงาม และมีกลิ่นหอมยวนใจยิ่ง
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าให้เด็กสาวเบาๆ พลางเอ่ยเรียกนาง “แม่นางหลี่”
ดูอ่อนโยนและมีมารยาทเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ข้างๆ พลันหรี่ตามองเขา ในใจก็คิดไปด้วย ‘เด็กสาวคนนี้คือหนึ่งในสิบสองหญิงงามจริงๆ’
เพราะเหตุนี้การปฏิบัติตัวของเสวี่ยหยวนจิ้งจึงต่างจากเดิม ตั้งแต่เธอข้ามภพมา เขาพูดคุยกับเธอแทบนับประโยคได้ เคยใช้น้ำเสียงอ่อนโยนและมีมารยาทเช่นนี้ที่ไหนกัน ล้วนมีแต่น้ำเสียงเย็นชาเท่านั้น
จากนั้นก็มีคำถามผุดขึ้นในใจเธอ เสวี่ยหยวนจิ้งเคยพบหลี่หานเซี่ยวเมื่อไร เขารู้ได้อย่างไรว่าเด็กสาวอาศัยอยู่ในพื้นที่ราบกลางหุบเขาเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ
หลี่หานเซี่ยวเปิดประตูทั้งสองบานออก ทั้งตกใจและดีใจจนแทบจะเข้ามาจับมือเสวี่ยหยวนจิ้ง แม้เด็กหนุ่มไม่ได้ตำหนินาง แต่เขาก็ขยับหลบออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วมายืนอยู่ด้านหลังเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเขา แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
คงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมหากหลี่หานเซี่ยวคิดจะตามไปจับมือเสวี่ยหยวนจิ้ง กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ดูออกว่าแม่นางผู้นี้กำลังตื่นเต้น แม้มีคนกั้นกลางระหว่างนางกับเด็กหนุ่ม ก็ดูเหมือนเด็กสาวจะไม่ได้สนใจ สายตาของนางกลับจับจ้องเพียงเขาผู้เดียว ก่อนจะกล่าวด้วยความดีใจ
“นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ในที่สุดพี่จิ้งก็มาเยี่ยมข้าใช่หรือไม่ หนึ่งปีมานี้ข้าไปที่ถ้ำแห่งนั้นอยู่บ่อยครั้ง คิดว่าสักวันท่านอาจจะไปที่นั่นอีก ในที่สุดท่านก็มาหาข้าเสียที ข้ารู้ว่าพี่จิ้งจะต้องมาหาข้าแน่นอน”
ขณะที่เอ่ยประโยคสุดท้าย นางดูดีใจราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมา
เมื่อฟังจากคำพูดของหลี่หานเซี่ยวแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า เมื่อหนึ่งปีก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งกับเด็กสาวเคยพบกัน และการที่ถ้ำนั้นดูสะอาดสะอ้าน เป็นเพราะมีคนไปดูแลอยู่เป็นประจำ ซึ่งคนผู้นั้นก็คือหลี่หานเซี่ยวที่อยู่เบื้องหน้าเธอนี่เอง
แต่เกิดอะไรขึ้นกับเสวี่ยหยวนจิ้งและหลี่หานเซี่ยว เหตุใดเด็กสาวถึงได้ไปรอเขาที่ถ้ำแห่งนั้น หรือว่าระหว่างพวกเขาทั้งสอง…
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และเพราะในใจของเธอคิดเรื่องบัดสีบัดเถลิง ใบหน้าจึงฉายความประหลาดใจออกมาให้เห็น
แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่รู้ว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่คิดอะไร แต่เพียงมองสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เขามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาตำหนิและเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายเห็นเช่นนั้น ก็รีบหันหน้าไปอีกด้านทันที สายตาทอดมองออกไปไกล ไม่คิดจะสบตากับเขา
ในที่สุดหลี่หานเซี่ยวก็นึกได้ว่ามีเสวี่ยเจียเยว่อยู่ตรงนี้ด้วย นางมองแม่นางน้อยที่แม้ว่าร่างกายจะผอมกะหร่อง แต่แววตากลับดูเฉลียวฉลาด ใบหน้างดงาม หากโตขึ้นจะต้องเป็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็อดเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งมิได้
“พี่จิ้ง แม่นางน้อยผู้นี้คือใครหรือเจ้าคะ”
จากสัญชาตญาณ นางคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยหยวนจิ้งกับแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้าคงไม่ธรรมดา
“นางคือน้องสาวของข้าเอง” น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนและมีมารยาทเช่นเคย ก่อนจะเอ่ยถามนาง “ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าหลี่อยู่ที่เรือนหรือไม่”
“ท่านปู่อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ” หลี่หานเซี่ยวรีบเอ่ยตอบทันที นางยังคิดจะไปจับมือเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่ามีเสวี่ยเจียเยว่ยืนขวางอยู่ จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป จากนั้นก็เอียงคอเชิญพวกเขาเข้าไปในลานเรือน ก่อนจะตะโกนบอกคนในเรือน “ท่านปู่! ท่านมานี่เร็วเข้า พี่จิ้งมาเยี่ยมแล้วเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงของนาง เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงแหบพร่าดังมาจากตัวเรือน จากนั้นก็เห็นชายชราผมขาวโพลนเดินออกมา
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาสวมชุดผ้าป่านสีน้ำตาลทั้งตัว ขาขวากับแขนขวาก็ดูเหมือนใช้การได้ไม่คล่องแคล่วเท่าไร ขณะที่เดินมาร่างก็โงนเงนเล็กน้อย ส่วนมือขวาจับไม้เท้าที่ทำอย่างเรียบง่าย กระนั้นดวงตาของเขากลับเปล่งประกายมีชีวิตชีวายิ่งนัก อีกทั้งท่าทางยังน่าเกรงขาม
รัศมีอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากคนคนหนึ่งนั้น ทำให้คนที่ได้สัมผัสรู้สึกหวั่นเกรงได้
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นคนผู้นั้นเดินออกมา เขาก็รีบเดินไปประสานมือคำนับทันทีพลางเรียกอย่างนอบน้อม “ท่านผู้เฒ่าหลี่”
จากนั้นเขาผายมือไปยังเสวี่ยเจียเยว่ “นางคือน้องสาวของข้าขอรับ” ก่อนจะเรียกแม่นางน้อยเข้ามา
แม้แต่เสวี่ยหยวนจิ้งที่ไม่สนใจผู้ใดนักยังเคารพคนผู้นี้ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เสวี่ยเจียเยว่จึงทำความเคารพชายชราอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเรียกเขา “ท่านผู้เฒ่าหลี่”
ผู้เฒ่าหลี่บอกพวกเขาว่าไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก ก่อนจะชวนเข้าไปในเรือน และสั่งหลี่หานเซี่ยวไปต้มชา
เสียงของเขาทุ้มต่ำน่าเกรงขามยิ่งนัก ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่าในอดีตเขาจะต้องมียศสูงเป็นแน่ ไม่มีทางเป็นเพียงชายชราในป่าเขาแห่งนี้
เมื่อเดินเข้าไปในเรือน เสวี่ยเจียเยว่กวาดตามองประเมินคร่าวๆ ก็พบว่าภายในได้รับการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ไม่เหมือนเรือนของคนในหมู่บ้านซิ่วเฟิง ที่ไม่ว่าตรงไหนก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำไร่ทำนา แต่ในเรือนหลังนี้กลับไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวแม้แต่ชิ้นเดียว บนผนังมีคันธนูกับลูกธนูแขวนเอาไว้ และมีอาวุธอย่างหอกยาวกับดาบยาววางอยู่ที่มุมผนัง
มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้เฒ่าหลี่กับหลี่หานเซี่ยวจะต้องเป็นตระกูลนักล่าอย่างแน่นอน เมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่สังเกตรอบๆ ตัวเรือนแล้ว ใต้ชายคามีเนื้อหมูตากแห้ง เนื้อไก่ตากแห้ง และเนื้อกระต่ายหมักเกลือตากแห้งแขวนเอาไว้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งที่เอวของหลี่หานเซี่ยวก็เหมือนจะมีธนูหนึ่งคันแขวนเอาไว้
หลังจากนั่งลงแล้ว เสวี่ยเจียเยว่เงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้เฒ่าหลี่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง
เรื่องที่พวกเขาสนทนากันนั้น เธอสรุปได้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนหลี่หานเซี่ยวหลงทางอยู่ในป่าคนเดียว ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงได้ข้อเท้าแพลง แต่โชคดีได้พบกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาช่วยเหลือและพานางมาส่งถึงเรือน ทำให้ผู้เฒ่าหลี่รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังเห็นว่าเขาเฉลียวฉลาดและมีร่างกายแข็งแรงกำยำ จึงคิดจะรับเขาไว้ในฐานะลูกศิษย์ ถ่ายทอดความสามารถทั้งหมดที่มีให้ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วจากไป และหนึ่งปีที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย หลี่หานเซี่ยวไม่อาจลืมเด็กหนุ่มได้ นางจึงมักจะไปยังถ้ำที่ทั้งสองคนเคยหยุดพักค้างแรมด้วยกันหนึ่งคืน และรอคอยว่าเขาจะไปที่ถ้ำแห่งนั้นอีกเมื่อไร
เมื่อพวกเขากล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หานเซี่ยวก็ยกถาดใส่น้ำชาสามถ้วยเดินเข้ามา
เนื่องจากเสวี่ยเจียเยว่มีอายุน้อยที่สุด และเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นสองมือไปรับถ้วยน้ำชาที่หลี่หานเซี่ยวส่งให้ พร้อมเอ่ยเสียงหวานด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่หานเซี่ยว”
ถึงอย่างไรก็มาที่นี่ครั้งแรก หากจะปากหวานเสียหน่อยคงไม่ใช่เรื่องผิดอันใด
ตอนที่หลี่หานเซี่ยวเห็นเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งมาด้วยกัน ในใจของนางรู้สึกระแวงแม่นางน้อยอยู่ แต่หลังจากได้ยินเด็กหนุ่มบอกว่าอีกฝ่ายคือน้องสาวของเขา ความหวาดระแวงพลันหายไป อีกทั้งยังคิดว่าในเมื่อเป็นน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง นางจะต้องทำดีกับแม่นางน้อยให้มาก และเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้…
“น้องเอ้อร์ยาช่างรู้ความยิ่งนัก” หลี่หานเซี่ยวยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ารอตรงนี้ก่อน พี่จะไปหยิบผลไม้อร่อยๆ มาให้เจ้ากิน”
จากนั้นนางก็เดินไปยกถาดผลไม้แห้งอย่างถั่วเหอเถาป่า เกาลัด เมล็ดสน องุ่นป่า และลูกพลับมาวางบนโต๊ะ
เสวี่ยเจียเยว่รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณทันที จากนั้นเธอก็หันหน้าไปอีกทางตามสัญชาตญาณ และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมองมาด้วยสายตาเย็นยะเยือก แต่เมื่อสบตากัน เขาก็รีบเบือนหน้าหนีทันที ก่อนจะยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม
ขณะที่ดื่มชาอยู่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งคิดในใจไปด้วย ‘นางช่างพูดจาไพเราะน่าเอ็นดูจริงๆ! คราวก่อนก็ทำกับท่านยายหาน ครั้งนี้ก็ทำกับหลี่หานเซี่ยวอีก ดูเหมือนว่านางจะเป็นเช่นนี้ต่อหน้าทุกคน เช่นนั้นการที่นางพูดจาไพเราะน่าเอ็นดูต่อหน้าข้า…’
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ตึง!’ ดังขึ้นมา เป็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะนั่นเอง จากนั้นเขาก็มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเย็นชา
Related