เจ็ดสิบ
เกิดความสงสัย
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลงตรงๆ ตันหงอี้ก็ตะลึงงันไม่น้อย
ขณะที่เขากำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น เสวี่ยเจียเยว่ขอยืมพู่กันกับกระดาษจากคนในโรงบ่อนอย่างมีมารยาท
ดังคำกล่าวไว้ว่า ‘การดูความครื้นเครงนั้นมิใช่เรื่องเสียหายนัก’ ในเมื่อตันหงอี้เดินตามเสวี่ยเจียเยว่เข้ามา แม้ว่าคนในโรงบ่อนจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่พวกเขาก็คิดว่าเธอคงรู้จักกับคุณชายตระกูลร่ำรวยในเมืองผิงหยาง จึงมีคนหยิบพู่กันกับกระดาษมาให้ทันที
เสวี่ยเจียเยว่จดจำได้ทุกตัวอักษร แต่ทักษะการเขียนพู่กันของเธอนั้นแย่นัก ทว่าช่วงที่ผ่านมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งได้สอนการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันให้เธอ แม้ว่าจะเขียนได้ไม่ดีเท่าไร ก็ยังพอให้คนอ่านรู้ว่ามันคืออักษรตัวใด
เธอคลี่กระดาษออก หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มลงบนหินฝนหมึก ก่อนจะยกพู่กันขึ้นเพื่อเขียนสัญญาการเดิมพันระหว่างตนกับตันหงอี้ ทันใดนั้นตันหงอี้ก็แย่งพู่กันไปพร้อมกับเสียงของเขาดังขึ้นข้างหูเธอ
“เด็กอย่างเจ้าเขียนสัญญาเดิมพันเป็นด้วยหรือ ให้ข้าเขียนเอง”
เขาใช้พู่กันเขียนลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานสัญญาเดิมพันก็เสร็จเรียบร้อย
ตันหงอี้เงยหน้าขึ้นถามเสวี่ยเจียเยว่ “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไร”
เสวี่ยเจียเยว่บอกชื่อของตนออกไป เมื่อตันหงอี้ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น
“เสวี่ยเจียเยว่เช่นนั้นหรือ นึกไม่ถึงว่าเด็กอย่างเจ้าจะมีชื่อดีๆ เช่นนี้ด้วย” สิ้นประโยคนั้นเขาก็เขียนชื่อเสวี่ยเจียเยว่ที่มุมล่างด้านขวาของกระดาษ
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นคนในโรงบ่อนนำแท่นประทับหมึกสีแดงมาให้พวกเขา ตันหงอี้ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนแท่นประทับหมึกนั้น แล้วประทับลงตรงชื่อของตนในสัญญาเดิมพัน จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่อ่านสัญญาเดิมพันทั้งสองแผ่นอย่างละเอียด หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ก็ประทับนิ้วหัวแม่มือลงไปบนชื่อของตนในกระดาษสัญญาเดิมพันทั้งสองแผ่น จากนั้นก็เก็บสัญญาไว้กับตนหนึ่งแผ่น และวางอีกแผ่นลงบนโต๊ะ
ตันหงอี้หยิบสัญญาเดิมพันขึ้นมาจากโต๊ะ และมองรอยประทับนิ้วหัวแม่มือสีแดงฉานของเสวี่ยเจียเยว่ที่มุมล่างด้านขวา ก่อนจะใช้นิ้วดีดกระดาษแผ่นนั้นเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าต้องแพ้แน่ พี่ชายของเจ้า อย่าว่าแต่อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่เลย เกรงว่าจะสอบให้ติดก็ยังเป็นเรื่องยาก วันที่สำนักศึกษาทั้งสองแห่งประกาศผล จะเป็นวันที่เจ้าต้องมาเป็นสาวใช้ข้างกายข้า”
เสวี่ยเจียเยว่มองสัญญาเดิมพันในมือ บนกระดาษสีขาวราวหิมะมีอักษรอยู่หลายตัว
ลายมือของตันหงอี้ถือว่ายอดเยี่ยมนัก แต่ก็ดูยโสโอหังเหมือนผู้เป็นเจ้าของมัน
เธอพับสัญญาเดิมพันลงในถุงเงินใบเก่า เมื่อได้ยินคำพูดภาคภูมิใจของตันหงอี้ก็เพียงส่งเสียง “อ้อ” ออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ท่าทางนิ่งสงบของแม่นางน้อยอยู่ในสายตาของตันหงอี้ เขารู้สึกหงุดหงิดใจยิ่ง และช่างอึดอัดยิ่งนัก
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี รีบกลับไปเก็บข้าวของที่เรือนของเจ้าเพื่อมาเป็นสาวใช้ที่เรือนของข้า ห้าวันหลังจากนี้สำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ก็จะประกาศผลแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่ทำราวกับไม่ได้ยิน เดินตรงไปโดยไม่หยุดแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อมาถึงเรือน เสวี่ยเจียเยว่นำเตาถ่านกับหม้อออกมา เริ่มทำโจ๊กก่อน จากนั้นก็นำเนื้อหมูกับผักกวางตุ้งมาล้าง หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในหม้อผัดให้สุก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ขณะที่มองถ่านกำลังลุกไหม้ในเตา เธอก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปด้วย
สาเหตุที่เธอต้องเดิมพันกับตันหงอี้ในครั้งนี้ เป็นเพราะไม่สามารถทนฟังเขาเหยียดหยามเสวี่ยหยวนจิ้งได้ ในที่สุดเธอจึงตอบตกลง ส่วนเรื่องอื่นนั้น เธอก็ไตร่ตรองแล้วเช่นกัน
เธอรู้ดีว่าบทบาทของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น เขาจะได้เป็นขุนนางระดับสูงตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ด้วยความสามารถที่น่าตกตะลึง เช่นนั้นเรื่องราวในวัยเด็กของเขาก็ต้องทำให้ผู้คนตกใจอย่างแน่นอน อย่างเรื่องที่ไม่เคยมีผู้ใดสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่มาก่อน ก็เป็นไปได้มากว่าจะเกิดขึ้นกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อเขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า จึงมีโอกาสจะได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูงโดยไม่ต้องเปลืองแรงใดๆ ซึ่งการเดิมพันระหว่างเธอกับตันหงอี้นั้นก็จะถือว่าเธอเป็นฝ่ายชนะ และจะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึง
ตอนนี้เธอกำลังต้องการเงินอย่างมาก เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้ไม่เพียงสามารถทำให้ชีวิตของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งดีขึ้นเท่านั้น ไม่แน่เธออาจจะใช้เงินก้อนนี้ไปทำการค้าขายเล็กๆ ได้ และไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
แต่ถ้าเธอแพ้พนันก็ไม่ใช่ปัญหาอันใด เพราะคิดหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้ว ร่างนี้เพิ่งอายุเก้าขวบ จะออกไปรับจ้างทำงานก็เป็นเรื่องยาก หากได้ไปทำงานเป็นสาวใช้ข้างกายตันหงอี้แล้วจะเป็นเรื่องเสียหายตรงไหน ตระกูลตันร่ำรวยที่สุดในเมืองผิงหยาง เมื่อเป็นสาวใช้ให้แก่ตระกูลนั้น ก็จะได้รับเงินทุกเดือน เรื่องกินและเสื้อผ้านั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ตันหงอี้เทียบได้กับเด็กมัธยมต้นในภพที่เธอจากมา นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาคงไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเธอแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเธอรับมืออย่างรอบคอบ เวลาสามปีก็ผ่านพ้นไปเร็วยิ่งนัก
เพียงปิดบังเรื่องนี้จากเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้ชั่วคราว รอให้สำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ประกาศผลค่อยว่ากันอีกที หากเสวี่ยหยวนจิ้งรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องเดือดดาลมากแน่ เธอยังคงหวาดกลัวอยู่ในใจ
เมื่อตัดสินใจแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เลิกคิดเรื่องนี้ และหันมาตั้งใจทำอาหารต่อโจ๊กเริ่มเดือดแล้ว เสวี่ยเจียเยว่เปิดฝาหม้อออก ใส่ผักกวางตุ้งกับเนื้อหมูที่ผัดสุกแล้วลงไป จากนั้นก็โรยเกลือเล็กน้อย และปิดฝาหม้ออีกครั้ง ต้มอีกครู่หนึ่ง เมื่อสุกได้ที่จึงนำผ้าเปียกมายกหม้อลงจากเตา
เธอยกหม้อโจ๊กเดินไปที่หน้าเรือนหลักอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเคาะประตูพลางเอ่ย “ป้าโจว เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งทำโจ๊กใส่ผักกวางตุ้งกับเนื้อหมูเสร็จ ข้าจะวางเอาไว้หน้าประตู ท่านต้องกินตอนที่มันยังร้อนๆ นะเจ้าคะ”
เธอคิดว่าป้าโจวต้องไม่ยอมเปิดประตูอย่างแน่นอน หลังจากวางหม้อลงและเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมอง พบว่าป้าโจวกำลังยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดออกครึ่งเดียว
“ข้าไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ จากท่าน แต่ในเมื่อทุกคนอยู่ร่วมลานเรือนเดียวกัน มีญาติห่างไกลก็ไม่ดีเท่ามีมิตรในละแวกใกล้เคียง ข้าไม่สามารถเพิกเฉยต่ออาการป่วยของท่านได้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางของป้าโจวไม่เชื่อ เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “หากที่เอ่ยไปทำให้ท่านไม่พอใจ เช่นนั้นแล้วท่านคิดว่าตัวท่านมีผลประโยชน์ใดที่ข้าอยากได้บ้าง”
ครั้งนี้กลับเป็นป้าโจวที่ตะลึงงัน นางมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความสงสัยและตกใจ ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ทำดีกับผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “โจ๊กใส่เนื้อหมูและผักกวางตุ้งนี้ท่านต้องกินตอนที่มันยังร้อนถึงจะดี พรุ่งนี้ข้าจะซื้อปลากลับมาทำอาหารให้ท่าน แต่ถ้าท่านไม่ชอบ หรืออยากกินอย่างอื่น ท่านก็บอกข้าได้นะเจ้าคะ ข้าจะไปซื้อกลับมาให้ท่าน”
เธอพูดจบก็หมุนตัวและเดินกลับเรือน ขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือน เธอหันกลับไปมองครู่หนึ่ง เห็นป้าโจวยังยืนอยู่ตรงประตู แต่สายตาของนางไม่ได้มองมาที่เธอแล้ว นางมองไปที่หม้อใบนั้นแทน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ เพียงเข้าไปทำความสะอาดในเรือนของตน ตอนที่เธอทำความสะอาดเสร็จแล้ว ก็พบว่าประตูเรือนหลักปิดสนิท และหม้อที่วางอยู่หน้าประตูหายไปด้วย คงจะถูกป้าโจวยกเข้าไปในเรือนแล้ว
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะนำเสื้อผ้าไปซักที่ข้างบ่อน้ำ
เมื่อใกล้ถึงยามบ่าย เธอก็ออกไปรับเสวี่ยหยวนจิ้งที่สำนักศึกษาปี้อวิ๋น ทั้งสองเดินทางกลับและพูดคุยกันไปด้วย
ยังมีเนื้อหมูเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่จึงทำไข่ตุ๋นหมูสับ และผัดผักกวางตุ้งอีกเล็กน้อย แล้วสองพี่น้องก็กินกับข้าวสองอย่างนี้เป็นอาหารมื้อเย็น
รุ่งเช้าวันต่อมา เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นมาทำโจ๊กและอุ่นแป้งทอดสองแผ่นที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ หลังจากทั้งสองกินข้าวเช้าเสร็จ เธอก็อยากจะไปตลาดเพื่อซื้อปลา วันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ไปสอบที่สำนักศึกษาใดแล้ว เขาจึงไปกับเธอด้วย
ทั้งสองเดินไปจนถึงตลาด ซื้อปลามาหนึ่งตัว และซื้อของใช้จำเป็นอีกเล็กน้อย
ระหว่างที่เดินกลับต้องผ่านโรงบ่อนกับร้านน้ำชาที่เสวี่ยเจียเยว่เดินผ่านเมื่อวาน คนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงบ่อนรวมทั้งนั่งอยู่ในร้านน้ำชา พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ว่าใครจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู ทั้งยังได้ยินมาว่าหากชนะในการเดิมพันครั้งนี้จะได้กำไรถึงหนึ่งร้อยเท่า
เสวี่ยเจียเยว่ทำเหมือนไม่ได้ยิน และเดินไปกับเสวี่ยหยวนจิ้งต่อโดยไม่ได้เหลียวกลับไปมอง
เรื่องที่เธอเดิมพันกับตันหงอี้เมื่อวาน เธอยังไม่กล้าบอกเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้ คิดว่าจะบอกหลังจากวันประกาศผลสองสามวัน ตอนนี้เธอมั่นใจว่าจะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงของตันหงอี้ หากเธอชนะจริงๆ จะหาเวลาบอกเขาในภายหลังก็ยังไม่สาย แต่ตอนนี้จะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น… เธอรู้ดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
แต่บางครั้งเรื่องบนโลกนี้ก็ไม่เป็นดั่งที่หวังเอาไว้…
พวกเขาเดินไปได้ไม่ทันไร จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างถูกโยนลงมาตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยหยวนจิ้งรับสิ่งนั้นเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาแบมือออก ก็พบว่ามันคือถั่วเม็ดหนึ่ง
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งโยนถั่วอย่างขี้เกียจอยู่บนเก้าอี้ชั้นสองของโรงเตี๊ยม ในขณะที่โยนอยู่นั้น เขาก็มองลงมาด้วยแววตายั่วโทสะ
จะเป็นใครได้เล่า… นอกจากตันหงอี้ เห็นได้ชัดว่าถั่วเม็ดนั้นเขาจงใจโยนมันลงมา
หากเป็นเมื่อก่อน เสวี่ยเจียเยว่คงเดือดดาลไม่น้อย แต่ตอนนี้เธอไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น ยังเกิดความหวาดกลัวอีกด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ข้างๆ หากตันหงอี้บอกเรื่องเดิมพันเมื่อวานนี้ออกมา เธอจะทำเช่นไร
เธอรีบดึงแขนเด็กหนุ่มพลางบอกเขา “ท่านพี่ ไปเจ้าค่ะ พวกเรากลับเรือนกัน”
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่มีท่าทางแปลกไปจากเดิม เขาไม่เพียงไม่ขยับเขยื้อนเท่านั้น แต่ยังถามออกไปตรงๆ
“เจ้ากลัวตันหงอี้เช่นนั้นหรือ เหตุใดเจ้าต้องกลัวเขาด้วย เมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่กล้าโยนก้อนทองใส่เขาและพูดจาถากถางเขาอยู่หรอกหรือ พวกเจ้าสองคนมีเรื่องอันใดที่ข้าไม่รู้หรือไม่ เจ้าถึงได้อยากดึงข้าออกไปจากตรงนี้ทันทีเมื่อเห็นเขา หรือกลัวว่าข้าจะรู้เรื่องของพวกเจ้า”