แปดสิบแปด
ตัดสินใจ
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า เหตุใดเธอไม่เป็นฝ่ายดึงเสื้อลงเพื่อเปิดไหล่ด้วยตัวเองเล่า
เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเพียงต้องการดูรอยฟกช้ำที่ไหล่ของเธอเท่านั้น หากเธอดึงเสื้อลงเปิดไหล่ให้เขาดู ต่างฝ่ายต่างจะเป็นตัวของตัวเองหรือไม่
แต่ตอนนี้เธอนั่งอยู่ ส่วนเขาก็ยืน เป็นเพราะความกดดันที่ถูกมองมาจากด้านบนทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็ว นิ้วเรียวยาวของเขาแตะลงบนคอเสื้อของเธอ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงลง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกอับอายและประหม่าไม่น้อย
ความจริงการดูรอยช้ำบนไหล่เช่นนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนจะถอดเสื้อผ้าทั้งตัวเลยเล่า
เสวี่ยเจียเยว่หันไปจ้องมองตัวอักษรมงคลที่อยู่บนกระดาษสีแดง อักษรเหล่านั้นเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนเขียน การใช้พู่กันของเขานุ่มนวลแต่ทรงพลัง การตวัดก็งดงามและมั่นคง งดงามยิ่งกว่าอักษรบนป้ายซึ่งแขวนอยู่บนประตูสำนักศึกษาไท่ชูเสียอีก
ขณะที่เธอกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่ไหล่ขวา เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งดึงเสื้อของเธอลง และกำลังดูว่ารอยช้ำบนไหล่เป็นอย่างไรบ้าง
ผิวขาวราวหยกมีรอยนิ้วทั้งห้าประทับอยู่ แต่ดูจางลงกว่าเมื่อคืนแล้ว
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็สบายใจ แต่ยังเอ่ยถาม “ยาที่ซื้อมาเมื่อวานนี้อยู่ไหน”
เสวี่ยเจียเยว่ชี้ไปที่ห้องของตน “วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กหน้าเตียงนอนในห้องของข้าเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยต่อ “แม้ว่ารอยช้ำที่ไหล่ของเจ้าดีขึ้นบ้างแล้ว แต่จะต้องทายาสามวันถึงจะหายช้ำและจะไม่เจ็บอีก เจ้าดึงเสื้อขึ้นก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหยิบยามาทาให้”
“เจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่ตอบรับ จากนั้นก็เห็นเขาเดินเข้าไปในห้องของเธอ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับขวดสีขาวใบเล็กในมือ
ไม่รู้ว่าในยานี้ใส่สมุนไพรอะไรลงไปบ้าง กลิ่นของมันฉุนเล็กน้อย และเมื่อทาลงบนไหล่จะรู้สึกแสบร้อน
เสวี่ยเจียเยว่ทำได้เพียงดึงเสื้อลงและอดทนเท่านั้น เมื่อเขาทายาเสร็จแล้ว เธอรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย พอลองยกแขนขวาขึ้นก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว
เธอดึงเสื้อขึ้นตามเดิม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเสวี่ยหยวนจิ้ง “ขอบคุณนะเจ้าคะท่านพี่”
สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเลื่อนไปที่ไหล่ขวาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นเขาก็วางขวดยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินออกไปตักน้ำล้างมือที่นอกเรือน
แม้ว่ายาที่ติดอยู่บนมือของเขาจะถูกล้างออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะล้างสัมผัสที่นุ่มลื่นออกไปไม่ได้
นัยน์ตาของเขาทะมึนลงทันที และเมื่อนึกถึงเสื้อที่ถูกดึงลงเผยให้เห็นไหล่ขาวดุจหิมะ หัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมา
หลังจากมองฝ่ามือของตนพักใหญ่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินกลับเข้าไปในเรือน
เขาเห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังถือตะกร้าหวายใส่ผักต่างๆ คงกำลังคิดว่าวันนี้จะทำกับข้าวอะไรดี
ชายหนุ่มเดินไปยืนอยู่ข้างหลังเสวี่ยเจียเยว่แล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงชอบซื้อผักพวกนี้ ร่างกายของเจ้ากำลังเติบโต ต้องกินผักอย่างอื่นด้วยถึงจะดี”
แต่ตอนนี้ใกล้จะค่ำแล้ว คนขายผักคงพากันกลับเรือนไปแล้ว แม้อยากจะออกไปซื้อผักหลายชนิดกลับมาก็คงไม่ทัน เขาจึงทำได้เพียงคว้าตะกร้ามาจากมือเสวี่ยเจียเยว่และเอ่ยถาม “วันนี้เจ้าอยากจะกินผักอะไร”
ในตะกร้ามีถั่วแปบ ผักกาดขาว และบวบสองลูก ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำ
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากไปทำกับข้าว แต่เสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าไหล่ของเธอยังไม่หายดี จะลำบากเปล่าๆ เช่นนั้นการทำกับข้าวมื้อเย็นนี้ก็ให้เป็นหน้าที่เขาแล้วกัน
ในเรือนมีไข่ไก่ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงทำผัดบวบใส่ไข่ จากนั้นก็ผัดถั่วแปบอีกหนึ่งจาน เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เขายกมาวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง จากนั้นพวกเขาก็กินด้วยกัน
เมื่อครู่ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งทำกับข้าว เสวี่ยเจียเยว่ก็คอยช่วยอยู่ข้างๆ พลางนึกถึงเรื่องที่ตนพูดคุยกับป้าเฝิงก่อนหน้านี้
ป้าเฝิงทำงานอยู่ในร้านตัดชุดแห่งนั้นมาหลายปี ถือได้ว่าเป็นคนที่เชี่ยวชาญคนหนึ่ง หากพูดถึงเรื่องร้านตัดชุดจะต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่ถามเรื่องแบบกระโปรงในเมืองผิงหยาง จึงได้รู้ว่าฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นนี้เกิดมาจากครอบครัวยากจน ตอนที่เริ่มก่อตั้งแคว้นไม่ว่าจะทำอะไรก็สิ้นเปลืองไปหมด หลังจากพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์จึงสนับสนุนเรื่องการประหยัดอดออม เสื้อผ้าที่เคยสวยงามหรูหราและมีความซับซ้อนในการปักเย็บ ก็เปลี่ยนมาใช้ชุดแบบเรียบง่าย ดังคำกล่าวที่ว่าเบื้องบนนิยมสิ่งใด เบื้องล่างก็จะนิยมสิ่งนั้น เสื้อผ้าของราษฎรเป็นแบบเรียบง่าย และเป็นเช่นนี้อยู่หลายปี แต่เมื่อผ่านมาหลายยุคฮ่องเต้องค์ใหม่ให้ความสำคัญแก่ชาวนาและคนเลี้ยงหม่อนด้วยการเก็บภาษีน้อย ทั้งยังสนับสนุนให้ราษฎรทำการค้าขาย ตอนนี้ชาวบ้านจึงร่ำรวยขึ้น
ช่วงแรกทุกคนยังอยู่ในสภาวะที่แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม จึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่เสื้อผ้าที่ตนสวมนัก แต่ตอนนี้เมื่อฐานะดีขึ้นจึงเริ่มใส่ใจกับเสื้อผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินหรือคุณหนูของตระกูลใหญ่ พวกนางมักไม่พอใจกับแบบชุดกระโปรงหรือไม่ก็ผ้าที่ใช้ตัดชุด เป็นเหตุให้มีร้านขายผ้ามากมายในเมืองผิงหยาง และเป็นการค้าขายที่ทำรายได้ดีมาก
หลังจากได้ข้อมูลสำคัญ เสวี่ยเจียเยว่ก็ตัดสินใจว่าจะเปิดร้านตัดชุด
หากพูดไปก็จะหาว่าเป็นการโอ้อวด แต่เธอเคยศึกษาเรื่องชุดฮั่นฝูในทุกราชวงศ์ หากอยากได้แบบไหนเธอจะวาดออกมาไม่ได้เชียวหรือ ทั้งยังสามารถปรับแก้ได้ หลังจากเธอวาดแบบเสร็จแล้ว ก็ให้คนตัดชุดตามแบบเหล่านั้น ส่วนการจับคู่สีของชุดและลวดลายบนนั้น ป้าโจวก็สอนเธอมาแล้ว บอกได้เลยว่าทุกอย่างพร้อม เหลือแค่เปิดร้านเท่านั้น
แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องปรึกษาเสวี่ยหยวนจิ้งก่อน ความจริงเมื่อวานเธออยากจะพูดแล้ว แต่เพราะมีอาการเจ็บไหล่และเรื่องการตามหาน้องสาวแท้ๆ ของเขาทำให้ลืมเสียสนิท และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรเอ่ยได้แล้ว
เมื่อกินข้าวเสร็จและเสวี่ยหยวนจิ้งล้างถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย เสวี่ยเจียเยว่ก็เรียกเขา “ท่านพี่ มานี่เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังใช้ผ้าเช็ดมือ ที่ผ่านมาความสูงของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนต้นไผ่ในฤดูใบไม้ผลิ นิ้วมือก็เรียวยาว แต่เป็นเพราะช่วงนี้เขาขี่ม้ายิงธนูบ่อย และมักจะฝึกวรยุทธ์อยู่เป็นประจำ แม้ว่ามือเขาจะงดงาม แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นมือของบุรุษ ไม่มีทางเข้าใจผิดว่าเป็นมือของสตรีได้
สายตาของเสวี่ยเจียเยว่มองไปที่มืองดงามคู่นั้นพลางเอ่ยชื่นชมในใจ เมื่อเธอช้อนตาขึ้นก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมาพร้อมเอ่ยถาม
“หือ? มีเรื่องอะไร”
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่ท่ามกลางดวงดาวระยิบระยับ ในลานมีเสียงแมลงขับกล่อม และกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้โชยมาตามสายลมยามค่ำคืน ผ่านหน้าต่างแล้วกระจายไปทั่วห้องโถง
เสวี่ยเจียเยว่นำตะบันไฟมาจุดตะเกียงบนโต๊ะ และเรียกให้เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นเธอก็เป่าไฟบนตะบันไฟให้ดับ และนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ก่อนจะเอ่ยเรื่องร้านตัดชุดอย่างละเอียด
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งฟังจบ คิ้วของเขาก็ขมวดแน่น
ตอนที่เขากับเสวี่ยเจียเยว่ไปช่วยยายหานขายเต้าหู้ในเมืองเล็ก เมื่อแม่นางน้อยรู้ว่ามีสตรีเป็นนายบัญชี กระทั่งได้ทำการค้าขาย เขาก็รู้ทันทีว่าเจ้าตัวอยากทำการค้าขายอะไรสักอย่าง แต่หลังจากเขาเอ่ยสองสามประโยค เสวี่ยเจียเยว่ก็เงียบไป เขานึกเพียงว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจจะฟังคำพูดของเขาและคงเปลี่ยนใจไปแล้ว ทว่าความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่ยังคงอยากทำการค้าขาย แต่เพราะตอนนั้นยังเด็ก อีกทั้งปัจจัยต่างๆ ก็ยังไม่พร้อม จึงไม่ได้ปฏิบัติทันที ต่างกับตอนนี้…
“เจ้าอยากเปิดร้านตัดชุดเช่นนั้นหรือ” สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งสงบมาก ยากจะบอกว่าเขากำลังโกรธหรือดีใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ทำไม เงินไม่พอใช้จ่ายหรือ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรบอกข้า เจ้าอยากได้เท่าไร ข้าหามาให้เจ้าได้ แต่เจ้าจะออกไปเปิดร้านตัดชุดหรือทำการค้าขายไม่ได้ อีกอย่าง… เจ้ายังเด็ก สตรีในใต้หล้าทำงานอะไรก็มักจะลำบากกว่าบุรุษ ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากเช่นนั้น”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ข้าไม่ได้ขาดเงินเจ้าค่ะ จะพูดอย่างไรดี ข้ามาที่โลกนี้เพียงครั้งเดียว และอยากจะทำอะไรบางอย่าง แม้ว่าการกระทำของข้าจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลกนี้ และบางทีอาจไม่มีผลใดๆ กับใครทั้งนั้น เพียงแต่ได้ทำเรื่องที่มันยากลำบากบ้าง แม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ข้าเสียใจเมื่อมองย้อนกลับมา ไม่อย่างนั้นหากข้าแก่ตัวลงแล้วนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาซึ่งมีแต่คำว่าไม่มีอะไรทำ ข้าจะต้องนึกเสียดายแน่ ท่านพี่ ท่านเข้าใจข้าหรือไม่”
เมื่อกล่าวจบ เธอก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาอาจคิดว่าเธอเสียสติไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกผีสิง ควรโยนเข้ากองไฟเผาให้ตาย แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ ในภพที่จากมาญาติของเธอทยอยจากไปทีละคน แม้ว่าจะยังมีบิดา แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มี ดังนั้นเธอจึงอยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจ หรืออย่างน้อยก็ไม่ขัดขวาง
ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งที่มีสีหน้าเฉยชามาโดยตลอด กลับมีสีหน้าตกใจและจ้องมองเธอราวกับจำไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น
เขาคงไม่ได้เห็นเธอเป็นของแปลกแล้วกระมัง ในใจของเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด จากนี้ไปเขาจะไม่ทำตัวห่างเหินกับเธอใช่หรือไม่ คงไม่ได้เลิกคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของเขา?
ความสับสนผุดขึ้นในใจของเสวี่ยเจียเยว่อย่างฉับพลัน
ยอมรับว่าเธอหลงใหลในการมีญาติพี่น้อง แต่ถ้ามีชีวิตแบบไม่มีอะไรทำไปจนตาย ต่อไปในภายภาคหน้าเธอต้องรู้สึกเสียดายแน่นอน
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้นมา
“เรื่องนี้ เจ้าคิดดีแล้วหรือ”