เก้าสิบเก้า
กลับบ้านด้วยกัน
เดิมทีไม่มีผู้ใดออกมาจากเรือนในวันฝนตก การค้าขายย่อมเป็นไปได้ไม่ดีนัก วันนี้แทบไม่มีคนเข้าร้านซู่ยวี่เซวียน และไม่มีรายการสั่งตัดชุดแม้แต่ชุดเดียว ทว่าโชคดีที่หลายวันก่อนหน้านี้มีคนมาสั่งตัดชุดหลายคน จึงมีงานเพียงพอให้คนในร้านได้ทำไปอีกหลายวัน ทำให้ยามนี้มีงานยุ่งไม่น้อย
วันนี้เสวี่ยเจียเยว่จัดการกับบัญชีรวมทั้งตรวจดูผ้าและไหมในห้องเก็บของ ก่อนจะลงมือปักผ้ากับป้าเฝิงและคนอื่นๆ
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงกลางคืนจะมืดเร็วกว่าปกติ ยิ่งวันที่ฝนตกฟ้าครึ้มเช่นนี้ ในร้านก็ยิ่งมืดเร็วกว่าทุกวัน
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากจุดเทียนเพื่อให้ทุกคนทำงานได้ง่ายขึ้น แต่เทียนเล่มหนึ่งก็ใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งยังมีเทียนไม่มากนัก ถ้ามีแสงสว่างไม่พอจนเป็นเหตุให้ทำชุดออกมาไม่ดีและถูกลูกค้าตำหนิ อาจส่งผลให้ชื่อเสียงของร้านเสื่อมเสีย ดังนั้นเธอจึงบอกให้ลูกจ้างในร้านกลับเร็วกว่าปกติ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาทำต่อ
ทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์เพราะทำให้พวกนางมีกำลังใจมากขึ้นใช่หรือไม่
และเป็นจริงดังคาด… เมื่อทุกคนได้ยินเสวี่ยเจียเยว่บอกให้กลับเรือนได้ ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความยินดี หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้ว พวกนางจึงวางงานในมือลง และพูดคุยกันพร้อมกับเดินไปที่ประตูร้าน
ตอนที่พวกนางออกจากเรือนมาเมื่อเช้านี้ แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้มแต่ก็ไม่มีฝน บางคนจึงไม่ได้นำร่มมาด้วย แต่ตอนนี้ฝนกำลังตกหนัก ทำให้ไม่สามารถออกจากร้านได้ ได้แต่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าประตู
เสวี่ยเจียเยว่คิดจะไปตรวจดูความเรียบร้อยของชุดกระโปรงที่ทำในวันนี้ ไม่แน่ว่ากว่าเธอจะดูเสร็จฝนอาจหยุดตกก็ได้ เธอจึงมอบร่มของตนให้พวกนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกท่านใช้ร่มคันนี้ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ”
สตรีหนึ่งในนั้นเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจ “หากพวกเรานำร่มนี้กลับไป เถ้าแก่เนี้ยจะกลับเรือนเช่นไรเล่าเจ้าคะ ตกฝนเช่นนี้อาจกลับเรือนไม่ได้ พวกข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะตอบกลับนั้น ก็เห็นสตรีอีกคนยิ้มแย้มก่อนเอ่ยขึ้น
“ไยเจ้าต้องเป็นกังวลแทนเถ้าแก่เนี้ยด้วยเล่า หรือเจ้าไม่รู้ว่าพี่ชายของนางมารับกลับเรือนทุกวัน พวกเราถือร่มกลับเรือนอย่างสบายใจกันเถอะ ข้ารับรองได้ว่าอีกประเดี๋ยวพี่ชายของเถ้าแก่เนี้ยก็จะมาแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่เม้มริมฝีปากและยิ้มบาง ก่อนจะโบกมือให้แล้วยืนมองพวกนางเดินจากไปท่ามกลางสายฝน
จากนั้นเธอก็เข้าไปดูชุดที่ทำเสร็จในวันนี้ เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดพลาดจึงเดินไปหยิบชุดคลุมสีเขียวเข้มบนโต๊ะคิดเงินด้านนอกขึ้นดูแล้ววางลงที่เดิม พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงและเดาว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคงเลิกเรียนแล้ว เธอก็เดินออกไปยืนหน้าประตูร้าน
หลังจากผ่านไปชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย เธอเห็นเงาร่างสีเขียวกำลังเดินตรงมาทางนี้
แม้ว่าร่มจะเอียงจนบดบังใบหน้าของคนผู้นั้น แต่แค่เห็นรูปร่างของเขา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคือเสวี่ยหยวนจิ้ง และขณะที่เธอกำลังจะร้องเรียกเขานั้น จู่ๆ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีทีท่าว่าจะเดินต่อ
เสวี่ยเจียเยว่นึกสงสัยจึงไม่ได้ร้องเรียกเขา เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูร้าน
ไม่นานเสวี่ยหยวนจิ้งก็ก้าวเท้าหนักๆ ตรงมาหาเธอ เมื่อเดินมาถึงใต้ชายคาร้านเขาจึงเก็บร่ม เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาชวนหลงใหลทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งสะบัดหยดน้ำที่เกาะบนร่มออก ก่อนจะนำร่มคันนั้นไปพิงไว้กับผนัง จากนั้นจึงมองไปที่แม่นางน้อย
เสวี่ยเจียเยว่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของชายหนุ่มยังราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเคย ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เธอก็รู้สึกสบายใจไปหลายส่วน ทว่ายังอดเอ่ยถามเขาไม่ได้
“ท่านพี่ เหตุใดเมื่อครู่นี้ท่านไม่เดินเข้ามาเล่า”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขาพลันตะลึงงันเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเห็นท่าทางของเขาเมื่อครู่…
“เมื่อครู่มีน้ำฝนกระเซ็นใส่ตาข้า ข้าจึงหยุดขยี้ตาเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มเอ่ยโกหกหน้าตาเฉย ก่อนจะแสร้งเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดเจ้าถึงมองเห็นว่าข้าหยุดเดิน เจ้าคิดว่าข้ายืนทำสิ่งใด”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘จะไปรู้ได้ยังไงว่ายืนทำอะไรตรงนั้น’
ที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งมักทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขามีนิสัยดุร้ายและเงียบขรึม อีกทั้งต่อไปบทบาทของเขาจะเริ่มเป็นคนอารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเสวี่ยเจียเยว่จึงอดกังวลใจไม่ได้
แต่ถ้าลองคิดดูในอีกมุมหนึ่งก็พบว่า ชีวิตของเสวี่ยหยวนจิ้งแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก แล้วบทบาทของเขาจะเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร ส่วนนางเอกทั้งสิบสองคนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ปรากฏตัวออกมาเพียงสี่คน แต่ยังไม่มีนางใดได้มีบทบาทร่วมกับเขามากนัก
หรือว่าเธอจะคิดมากเกินไป…
เสวี่ยเจียเยว่คิดก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าท่านยืนมองมดกำลังย้ายบ้านอยู่ตรงนั้นต่างหากเล่า”
หลังจากเอ่ยติดตลกไปแล้ว เธอก็กล่าวขึ้นมาอีก “โชคดีที่ท่านพี่มารับข้า เพราะฝนตกหนักเช่นนี้ แล้วข้าก็ไม่มีร่ม คงต้องเดินตัวเปียกกลับเรือนเป็นแน่เจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยถามอีกฝ่าย “เมื่อเช้าเจ้าไม่ได้นำร่มมาด้วยหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าออกมาจากเรือนฝนยังตกอยู่ และเจ้าเองก็เป็นคนเตือนข้าให้กลับไปหยิบร่มด้วย เหตุใดเจ้ากลับไม่นำมาด้วย”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเมื่อเช้า เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ก่อนจะหลุบตาลงไม่พูดจา
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของเด็กสาวเช่นนั้น เขาก็นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมาเช่นกัน ชั่วขณะนั้นใบหูของเขาพลันร้อนผ่าว สายตาเบนไปยังทิศทางอื่นอย่างฉับพลัน ไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่ต่อ กระนั้นหัวใจที่เพิ่งสงบลงก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้กระแอมกระไอออกมาเบาๆ ปกปิดความกระอักกระอ่วนเอาไว้ แล้วเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มืดแล้ว พวกเราควรกลับเรือนกันได้แล้วละ”
ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังเกลี้ยกล่อมตัวเองให้สงบลง เธอคิดในใจว่าเมื่อเช้าเสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ไม่รู้เรื่อง เขาเพียงเป็นห่วงเธอเท่านั้น อีกอย่าง… ส่วนที่เขาสัมผัสอาจไม่ใช่ซาลาเปาสองลูกของเธอก็เป็นได้ เธอจะเขินอายด้วยเหตุอันใดเล่า ยิ่งเธอทำท่าเอียงอายมากเพียงใด เสวี่ยหยวนจิ้งก็จะยิ่งกระอักกระอ่วนมากเท่านั้น อาจถึงขั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาห่างเหินกันก็ได้ จะเป็นการดีกว่าหากทำเหมือนเรื่องเมื่อเช้าไม่เคยเกิดขึ้น ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะกลับมาสนิทสนมกันเช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ”
จากนั้นเธอเดินไปหยิบกุญแจที่โต๊ะคิดเงิน ทว่าเมื่อก้มมองชุดคลุมสีเขียวเข้ม เธอก็ไม่รีบหยิบกุญแจทันที กลับหันไปเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ท่านพี่ มานี่ก่อนเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปตามคำสั่ง ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่นำชุดคลุมสีเขียวเข้มมาพาดไว้บนไหล่และกำลังยิ้มให้เขา เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เด็กสาวจึงกางชุดนั้นออกพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าอยากจะตัดชุดให้ท่านพี่สักชุดมานานแล้ว เมื่ออากาศเย็นลงท่านต้องได้สวมมันไปสำนักศึกษา แต่ข้ายุ่งจวนจะเป็นลม จึงลืมเรื่องชุดของท่านไปเสียสนิท หลายวันก่อนข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้เลยตั้งใจทำให้เสร็จ ท่านลองสวมให้ข้าดูหน่อยว่าพอดีตัวท่านหรือไม่”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ความอบอุ่นพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเขา จากนั้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
เขาเอื้อมมือไปรับชุดคลุมตัวนั้นมาสวม
เสวี่ยเจียเยว่มองด้านหน้า ด้านหลัง และด้านซ้ายขวาอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ใบหน้าของท่านดูหล่อเหลา รูปร่างก็สง่างาม เหมาะกับชุดสีเขียวเข้มยิ่งนัก เมื่อสวมแล้วทำให้ท่านดูสุขุมน่าค้นหาและสูงส่งขึ้นมาไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
จากนั้นเธอก็เอ่ยถามเขา “ท่านพี่ชอบชุดคลุมตัวนี้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ชอบได้อย่างไร เขาดีใจจนแทบจะคลั่งอยู่แล้ว
เขาเอื้อมมือไปคว้ามือทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่ พร้อมกับหรี่ตามองอีกฝ่าย และพยักหน้าอย่างจริงจัง “ชอบ ตราบใดที่เจ้าเป็นคนทำ ข้าก็ชอบทั้งนั้น”
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ แม้เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะพูดคำอ่อนโยนเหล่านี้กับเธอบ่อยๆ แต่ตอนนั้นเสวี่ยเจียเยว่คิดว่านั่นคือมิตรภาพระหว่างพี่น้องเท่านั้น ทว่าตอนนี้… เหตุใดเธอถึงรู้สึกว่าคำพูดนั้นอ่อนหวานกว่าปกติ และสายตาที่เสวี่ยหยวนจิ้งมองมา เธอก็รู้สึกว่าช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าจะให้เธออธิบายก็ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร…
เสวี่ยเจียเยว่พร่ำบอกตัวเองว่าคงคิดมากเกินไป เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเคยบอกเธอมากกว่าหนึ่งครั้งว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมานี้เขาวางตัวเป็นพี่ชายต่อหน้าเธอมาตลอด และร่างนี้เพิ่งมีอายุสิบสองปีเท่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจะคิดเช่นนั้นกับเธอได้อย่างไร
ครู่หนึ่งคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัวของเธอก่อนหน้านี้ก็พลันมลายไป ก่อนจะเอ่ยด้วยความยินดี “ท่านพี่ ท่านชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เธอกล่าวจบก็หยิบกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก้าวออกจากประตูร้านพร้อมเสวี่ยหยวนจิ้ง
หลังจากปิดประตูร้านเรียบร้อยแล้ว เมื่อหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งอีกครั้ง ก็พบว่าเขาถอดชุดคลุมที่เพิ่งสวมไปเมื่อครู่นี้ออก แล้วนำมาคลุมไหล่ของเธอแทน
เขากล่าวขณะกำลังผูกเชือกชุดคลุมให้เสวี่ยเจียเยว่ “ตัวเจ้าผอมบาง ด้านนอกทั้งฝนทั้งลมพัดแรง เจ้าสวมชุดคลุมนี้ อย่างน้อยก็พอบังลมบังฝนได้ เท่านี้ข้าก็วางใจแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกกังวลยิ่งนัก ชุดคลุมนี้เธอตั้งใจเลือกเนื้อผ้าที่ดี หากเปียกเพราะถูกลมฝน หรือสกปรกเพราะโคลนตม เช่นนั้นเธอคงปวดใจแย่ แต่เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นห่วงเช่นนี้ เธอก็ทำใจไม่ได้ถ้าจะต้องบอกปัดความหวังดีของเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงไม่เอ่ยคำใดออกมาทำลายบรรยากาศ ได้แต่ตอบรับอย่างว่าง่ายเท่านั้น ปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งจับมือเธอเดินต่อไป
ขณะนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว และฝนก็ยังตกลงมาอย่างหนัก หมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ บางครั้งบางคราก็มีแสงตะเกียงจากบ้านเรือนชาวบ้าน แสงสีส้มส่องผ่านออกมาจากหน้าต่าง… ช่างดูสงบสุขยิ่งนัก
ชุดคลุมนี้เสวี่ยเจียเยว่ตัดตามส่วนสูงของเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อมาอยู่บนร่างของเธอเช่นนี้ก็ยาวเกินไป เธอไม่อยากให้ชายชุดคลุมลากไปกับโคลน จึงคอยยกขึ้นอย่างระมัดระวังไปตลอดทาง ทั้งยังพยายามอยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่ม ด้วยวิธีนี้สายฝนจะกระเซ็นโดนชุดคลุมน้อยลง
เสวี่ยเจียเยว่ทะนุถนอมชุดคลุมนี้เป็นอย่างมาก แต่ในสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งกลับเห็นว่าอีกฝ่ายหนาว จึงเอื้อมมือไปโอบไหล่บอบบางทันที ทำให้เสวี่ยเจียเยว่เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด และร่มในมือเขาก็เอียงไปทางเด็กสาวมากขึ้นเพื่อป้องกันลมฝนให้
เดิมทีสายฝนทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกอยู่แล้ว พอมีลมในช่วงกลางคืนก็ยิ่งหนาวมากขึ้น เมื่อครู่เสวี่ยหยวนจิ้งรีบร้อนออกมา จึงไม่ได้สวมชุดคลุมตัวนอกเพิ่มอีกตัว เมื่อถูกลมฝนตกกระทบร่างเช่นนี้ เขาก็จามออกมาหลายครั้ง
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองชายหนุ่ม ก็เห็นเสื้อบางๆ ของเขาเปียกไปกว่าครึ่งแล้ว คงเป็นเพราะร่มคันนี้เอียงมาทางเธอมากเกินไป โดยที่เขาไม่นึกถึงตัวเองเลย
เธอคิดเช่นนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ท่านพี่ ชุดท่านเปียกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้ ท่านจะไม่สบายได้นะเจ้าคะ”
ในขณะที่เอ่ยเธอก็ถอดชุดคลุมที่เพิ่งตัดใหม่ส่งให้เขา “สวมนี่ก่อนเจ้าค่ะ ถ้าท่านไม่สวม ข้าจะโยนทิ้งนะเจ้าคะ” น้ำเสียงและสีหน้าของเธอขึงขังยิ่งนัก
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งไม่หวาดกลัวเท่าไรนัก เพราะเขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ให้ความสำคัญแก่ชุดคลุมสีเขียวเข้มไม่น้อย เมื่อครู่อีกฝ่ายยกชายชุดคลุมนี้อย่างระวังมาตลอดทาง เพราะกลัวว่ามันจะเปื้อนโคลน มีหรือจะโยนทิ้งไปได้ง่ายๆ
เขาต้องการเกลี้ยกล่อมให้เสวี่ยเจียเยว่สวมชุดคลุมเอาไว้เช่นเดิม แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว และทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวทันที ก่อนจะเอื้อมมือไปรับชุดคลุมสีเขียวเข้มมา แล้วส่งร่มให้อีกฝ่ายถือไว้ก่อน ส่วนตัวเองก็สวมชุดคลุมทับเสื้อบางๆ ให้เรียบร้อย
สีเขียวเข้มเป็นสีที่ให้ความรู้สึกลุ่มลึกและสูงส่ง เมื่อบวกกับนิสัยอันสุขุมของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็ทำให้เขาดูสง่างามไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่พินิจมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งร่มคืนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากต่อไปอากาศหนาวกว่านี้ ข้าจะทำชุดคลุมสีดำปักขนนกสีขาวรอบคอเสื้อให้ท่านอีกสักตัว”
แม้จะเป็นการจับคู่สีดำสีขาวอย่างเรียบง่าย แต่ถ้าเสวี่ยหยวนจิ้งได้สวมแล้วจะสง่างามมากอย่างแน่นอน
เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตามองเสวี่ยเจียเยว่แล้วตอบรับเบาๆ จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปโอบไหล่เด็กสาวเข้ามาในอ้อมกอด และใช้ชุดคลุมที่ตนสวมห่อตัวอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย