หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 138 หลิงเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว ! (ปลาย)

บทที่ 138 หลิงเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว ! (ปลาย)

ณ เมืองชายแดน

ภายในกระโจมที่พักของเจียงจิ้ว ชายชราผู้หนึ่งถลันเข้าไปอย่างรีบด่วน จากนั้นกล่าวรายงานด้วยน้ำ เสียงร้อนรนตะกุกตะกัก “ฝ่าบาทองค์หญิง คุณชายเยี่ย.. เรือเหาะที่คุณชายเยี่ยโดยสารอับปางพะย่ะค่ะ !”

จากเสียงรายงานร้อนรนที่ได้ยิน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาใหม่ “ท่านว่าอะไร ?”

ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรือเหาะระเบิดและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ…ส่วนสาเหตุยังไม่ทราบ แน่ชัด ทว่าเชื่อแน่ว่าต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลัง ทั้งยัง…”

อีกฝ่ายถามตัดบท “เขาเป็นอย่างไร ?”

คนถูกถามอึกอัก เขาส่ายหน้าพลางตอบว่า “กระหม่อมยังไม่ได้ข่าวของเขาว่าเป็นหรือตาย ทว่าตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น…”

แกร๊ก !

เสียงโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าของหญิงสาวพังทลายลงด้วยน้ำมือของนาง สีหน้าโกรธจัด “ให้ตายสิ สถาน ศึกษาฉางมู่ ! เลวทรามสิ้นดี !”

ชายชราจ้องมองหญิงสาวด้วยความตกตะลึง “ฝ่าบาท…”

อีกฝ่ายหันขวับมาทางชายชราทันที “ส่งทหารม้าหนึ่งร้อยนายออกลาดตระเวน ทำทุกวิถีทางตามหา เขาให้พบให้ได้ !”

ชายชราพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวยังยืนอยู่ภายในกระโจม ชั่วขณะหนึ่งนางหยิบแผ่นป้ายสีทองออกมา สายตาที่ทอดมองวัตถุ ในมือแววตาเคร่งเครียด “ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะทำให้สถานศึกษาฉางมู่ได้รับผลที่มันก่อกรรมเอาไว้อย่าง สาสม”

หลังจากนั้นจึงลุกออกจากที่เดินออกไปภายนอก สายตาเหม่อมองบนท้องฟ้าในระยะไกล “อย่า เจ้า ต้องไม่ตาย… ช่วยมีชีวิตอยู่ให้ได้…”

มือข้างขวากำเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจจนปลายเล็บจิกไปบนเนื้ออุ้งมือ…

ยามวิกาล เยี่ยฉวนเดินเท้ากลับเข้าเมืองชายแดน ชายหนุ่มใช้ผ้าคลุมสีดำเพื่อปกปิดอำพรางสายตา ของผู้พบเห็น

เขามิได้ย้อนกลับไปที่ค่ายทหารของเจียงจิ้ว ในเวลานี้เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ปรารถนาจะเปิดเผย สถานะของตนเอง

ทว่าเขากลับเข้าไปที่สำนักอัปสรเมรัยและแอบซื้อที่นั่งของเรือเหาะอีกเที่ยว

ในเวลาครึ่งชั่วยามถัดมา เรือเหาะลำนั้นได้ทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าของเมืองชายแดนและไม่นานต่อมาก็กลืนหายไปในท้องฟ้ายามราตรี

บนเรือเหาะ ในห้องผู้โดยสารทั่วไป

เยี่ยฉวนปิดล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำ

การฝึกปรือกระบี่ !

ทว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ชายหนุ่มมิได้ฝึกกระบี่ เขากำลังฝึกปรือการใช้พลังหลอมรวมลมปราณควบคุม กระบี่ !

ภายในหอคอยแห่งเรือนจำชั้นที่หนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งทะยานฉวัดเฉวียนไปมากลางลานโดยไร้การ ควบคุม บางขณะก็ตกลงสู่พื้นล่างจากกลางอากาศ หรือไม่บางขณะก็หยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มขาดประสบการณ์ในการควบคุมกระบี่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหวั่นไหว ด้วยว่าตนเองยังขาดทักษะ เขาจึงต้องหมั่นฝึกปรือหนักขึ้น ๆ ไปอีก

ผ่านไปกว่าหนึ่งวันครึ่ง ขณะที่เรือเหาะเข้าใกล้เมืองหลวงขึ้นทุกที

เยี่ยฉวนยังอยู่ภายในหอคอย เขาพร่ำฝึกปรืออย่างหนักหน่วงยิ่ง ทว่าโดยพื้นฐานชายหนุ่มมีความเป็นยอดฝีมือและความประจักษ์แจ้งอยู่แล้ว จึงช่วยให้เขาค่อย ๆ เข้าใจเคล็ดลับและสามารถใช้งานกระบี่หลิงซิ่วได้อย่างราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ …

ครึ่งชั่วยามถัดมาเรือเหาะเข้าใกล้เมืองหลวงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองจากบนเรือเหาะสายตาของชายหนุ่ม สามารถจับภาพเค้าโครงของเมืองหลวงได้

ณ เมืองหลวง

บริเวณด้านหน้าของห้องโถงประชุมแห่งสถานศึกษาฉางหลาน

เยี่ยหลิงนั่งอยู่บนขั้นบันได ในมือประคองหุ่นไม้แกะสลักชิ้นหนึ่ง หุ่นไม้ตัวน้อยนี้คือเยี่ยฉวน

สายตาจ้องมองหุ่นไม้ในมือ เด็กหญิงทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าชะเง้อมองออกไปทางเชิงเขา เสียงรำพึงกับตนเองว่า “ท่านพี่ ข้าคิดถึงท่าน”

ทุกวัน เด็กหญิงจะมานั่งตรงจุดนี้ราวหนึ่งชั่วยามเพื่อรอคอยการกลับมาของเยี่ยฉวน !

ในตอนนั้นเอง จี้อันซื่อพลันปรากฏขึ้นข้างกายของเยี่ยหลิง เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เพิ่งเข้ามา “พี่สาวจี้ ท่านหิวข้าวอีกหรือเจ้าคะ ?”

หญิงสาวก้มมอง นางส่ายหน้าปฏิเสธพลางทรุดลงนั่งข้างเด็กหญิง พลันสายตาเหลือบไปเห็นหุ่นไม้ แกะสลักในมือของเยี่ยหลิง “นั่นคือท่านพี่ของเจ้าล่ะสิ ?”

เยี่ยหลิงพยักหน้ารับ “ท่านพี่แกะสลักเองเจ้าค่ะ หล่อไหมเจ้าคะ ? ฮิฮิ…”

อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นนางหันไปมองอีกด้านหนึ่งไม่ห่างออกไป ด้วยมีบุรุษผู้หนึ่งกำลัง ก้าวตรงมาพร้อมด้วยกลุ่มคนอีกนับสิบ

ชายผู้นี้และกลุ่มคน ทั้งหมดคือศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !

เมื่อสายตาของหญิงสาวปะทะกับร่างผู้มาเยือน พลันสีหน้าเปลี่ยนไปสิ้นเชิง !

“เฟินเจี๋ย !”

ผู้ที่นำหน้าคือเฟินเจี๋ย ทั้งเขาและเป่ยเฉินได้ชื่อว่ายอดคนแห่งฉางมู่ !

เฟินเจี๋ยที่กวาดสายตามาทางจี้อันซื่อพลันร้องถาม “เยี่ยฉวนอยู่ที่ไหน ?”

คนถูกถามค่อยลุกขึ้นยืน “เขาไม่อยู่”

อีกฝ่ายชำเลืองมองด้วยหางตา “ตอนที่ข้าออกจากเมืองหลวง คนจากสถานศึกษาฉางหลานสังหาร ศิษย์แห่งฉางมู่ มันผู้นั้นกล้าดีอย่างไร ?”

ทันทีที่พูดจบ ร่างเบื้องหน้าอันตรธานไปจากสายตา

แกร๊ก !

พื้นดินที่อยู่เบื้องหน้าของจี้อันซื่อบังเกิดรอยแตกร้าว !

หญิงสาวกระชากดาบออกจากฝัก และตวัดฟาดลงอย่างแรง !

ผัวะ !

ขณะนั้นเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง พลันร่างทั้งร่างของหญิงสาวถูกแรงปะทะผลักดันเข้าไปภายในห้องโถงประชุม

เวลานั้นเฟินเจี๋ยตั้งใจจะติดตาม ทว่ามีเสียงจากศิษย์ฉางมู่ด้านหลังชี้มือตรงไปยังเด็กหญิงตัวน้อยซึ่ง ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป ที่พูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่อาวุโสเฟินเจี๋ยขอรับ นั่นน้องสาวของเยี่ยฉวน ในเมื่อน้องของมันอยู่ที่นี่ ผู้เป็นพี่ชายคงหลบซ่อนอยู่ในนี้เป็นแน่ !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟินเจี๋ยหันขวับมาทางเยี่ยหลิง เด็กหญิงเห็นท่าไม่ดีหันหลังวิ่งหนี ทว่าเฟินเจี๋ยกลับ มาปรากฏตัวขวางหน้าไว้ทันทีพลางใช้มือขยุ้มผมของนางและยกร่างของเด็กน้อยลอยขึ้นจากพื้น ทำให้เยี่ยหลิงเริ่มร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด

ภายในห้องโถง จี้อันซื่อกระโดดสปริงตัวและใช้ดาบในมือฟันเข้าที่เฟินเจี๋ย !

พลังปะทะนั่นสามารถสะบั้นขาดแม้แต่อากาศธาตุ !

อย่างไรก็ตาม ผู้จู่โจมกลับชะงักยั้งดาบกระทันหันและถอยออกห่าง ด้วยเฟินเจี๋ยจับเยี่ยหลิงไว้เป็นเกราะกำบังพลังปะทะจากนาง

สายตาของจี้อันซื่อจ้องเขม็งที่เฟินเจี๋ย “เจ้าใจดำอำมหิตมาก !”

“ใจดำอำมหิตอย่างนั้นหรือ ?”

พลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคำราม “อย่าคิดว่าข้าเกรงกลัวเจ้า เพียงแต่ยังไม่มีอารมณ์อยากสังหารเจ้า เท่านั้น จงจำไว้ ภายในหนึ่งชั่วยามให้เยี่ยฉวนเดินไปหาความตายที่สถานศึกษาฉางมู่ หรือมิเช่นนั้น จะมีร่าง คนตายถูกแขวนริมทางเดินขึ้นเขาฉางซานอีกหนึ่ง !”

จากนั้นจึงจับเยี่ยหลิงแบกขึ้นบ่าและหันหลังเดินจากไป

ทันใดนั้นมีเสียงของจี้อันซื่อน้ำเสียงเยือกเย็นเจือดูแคลนดังไล่หลัง “จับเด็กน้อยไว้เป็นตัวประกัน ไม่ เกรงว่าคนภายนอกจะมองสถานศึกษาฉางมู่ของเจ้าเป็นตัวตลกหรืออย่างไร ?”

“ตัวตลกหรือ ?”

เฟินเจี๋ยหันกลับ สายตาแฝงแววเหี้ยมเกรียมเขม้นมองคนพูด “ในแคว้นเจียง ใครหน้าไหนกล้าหัวเราะ เยาะสถานศึกษาฉางมู่บ้าง ?”

สายตาของจี้อันซื่อแฝงความโหดเหี้ยมไม่ต่างกัน “เจ้าเป็นบุรุษกลับใช้วิธีสกปรก ไม่คิดหรือว่าการ กระทำเช่นนี้ต่ำทรามสิ้นดี ?”

พลันมุมปากของเฟินเจี๋ยบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มหยามหยัน “ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายข้าไม่อยากเสียเวลาพูดกับเจ้า จำไว้ภายในหนึ่งชั่วยาม ถ้าไอ้เยี่ยฉวนคนที่สังหารศิษย์ฉางมู่ไม่ออกมาปรากฏตัวที่ทางเดินขึ้นเขาฉางซาน เช่นนั้นก็ตามไปเก็บศพน้องสาวของมันได้เลย ในเมื่อมันสังหารศิษย์ฉางมู่… หากไม่ได้ ชีวิตมันมาชดใช้ งั้นแล้วข้าก็จะฆ่าน้องมันแทน !”

จากนั้นก็หันหลังออกไปพร้อมด้วยเด็กหญิงเยี่ยหลิง

ในโถงหอประชุม จี้อันซื่อบดขยี้ศิลาถ่ายสัญญาณอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนักภายหลังจากเฟินเจี๋ยและกลุ่มศิษย์ออกไปพร้อมจับตัวเยี่ยหญิงไปด้วย พลันปรากฏคนผู้หนึ่งวิ่งขึ้นมาตามเชิงเขา คนผู้นั้นคือเยี่ยฉวน

เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าเต็มที่ ตลอดตามทางเสียงเขาหัวเราะร่าอย่างมีความสุข “หลิงเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset