หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 141 ใครก็ตามที่รังแกเจ้า พี่จะฆ่ามันเอง ! (ต้น)

บทที่ 141 ใครก็ตามที่รังแกเจ้า พี่จะฆ่ามันเอง ! (ต้น)

ลานกว้างเงียบกริบ !

สายตาทุกคู่จับอยู่ที่เยี่ยฉวน ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาทุกคนในขณะนี้กำลังบ้าดีเดือด ไล่สังหาร ราวกับบ้าคลั่ง

แต่นี่คือสถานศึกษาฉางมู่ !

ในตอนนั้นเอง บรรดาฝูงชนที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพากันมองไปที่กลุ่มศิษย์ฉางมู่เป็นตาเดียว

“ต้นเหตุแห่งความขุ่นเคืองในครั้งนี้เกิดจากสถานศึกษาฉางหลาน แล้วเช่นนี้สถานศึกษาฉางมู่จะทำ หน้าอย่างไร ?”

สีหน้าของทั้งหลีซิ่วและศิษย์ของเขานั้นต่างก็บึ้งตึงบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจเปรียบเปรย โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกับหลีซิ่ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายของตนอย่างยิ่ง เมื่อผู้ที่มอบความตายให้แก่เฟินเจี๋ย กลายเป็นเยี่ยฉวน !

“เฟินเจี๋ย !”

“เขาจัดเป็นสุดยอดในบรรดายอดคนแห่งสถานศึกษาฉางมู่ !”

“เหตุใดจึงต้องมาตายเช่นนี้ ?”

“เขาผู้นี้เปรียบเสมือนงานชั้นเอกแห่งสถานศึกษาฉางมู่ !”

หากสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือความกล้าแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดไปจากเมื่อแรกเริ่มของเยี่ยฉวน โดยเฉพาะพลังปะทะแห่งกระบี่ที่เป็นพลังที่ต้องยอมรับเลยว่าตนเองยังรู้สึกกริ่งเกรงไม่น้อย

“มันพัฒนาได้เร็วยิ่ง !”

สายตาของหลีซิ่วที่มองตรงมาที่เยี่ยฉวน แววตาไม่ปิดบังซ่อนเร้นความมุ่งหมายเอาชีวิตแม้แต่น้อย !

ขณะนั้นเองที่เยี่ยฉวนเดินไปที่เสาซึ่งเยี่ยหลิงถูกมัดแขวนไว้ เขาตวัดกระบี่ตัดเชือกที่มัดนางออก ฉับ พลันนั้นร่างของเด็กสาวได้หล่นลงสู่อ้อมแขนที่รอรับอยู่

เยี่ยหลิงกอดเยี่ยฉวนไว้จนแน่น “ท่านพี่…”

เยี่ยฉวนอุ้มร่างของน้องสาวเดินตรงไปยังสตรีบนรถเข็น เขาค้อมตัวแสดงความเคารพหญิงสาวชุดดำ “รบกวนท่านช่วยดูแลนางสักครู่ !”

หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ “ข้าจะช่วยดูแลนางให้ !”

จากนั้นเยี่ยฉวนหันหลังกลับ เขาเดินตรงไปทางกลุ่มศิษย์แห่งฉางมู่ซึ่งยืนห่างออกไป เสียงสั่นเครือของผู้เป็นน้องดังมาจากด้านหลัง “ท่านพี่…”

ชายหนุ่มหยุดชะงักและหันมาพูดกับนางว่า “เจ้าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของพี่ ใครก็ตามที่รังแกเจ้าพี่จะฆ่ามัน !!”

คนเป็นพี่หันหลังให้ เขาถือกระบี่ไว้ในมือขณะสาวเท้าตรงเข้าหาศิษย์แห่งฉางมู่ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยัน “ว่าไง ศิษย์ฉางมู่ พวกเจ้ามีแต่คนขี้ขลาดตาขาวพวกนี้เท่านั้นหรือ ? หาได้มีคนกล้าหาญออกมาสู้ กับข้าเลยหรือ ? พวกเจ้าอยากให้ข้ามาไม่ใช่หรือไง ? ข้าก็มาแล้วนี่ไง ทำไมพวกเจ้าถึงเอาแต่นิ่งเงียบกัน !”

“กล้าดีนัก !”

ฉับพลันก็ได้ปรากฏร่างของศิษย์ฉางมู่คนหนึ่ง เขามีท่าทางดูกราดเกรี้ยว ก่อนจะกระโดดจากกลุ่มออกมายืนอยู่ไม่ไกลออกไป “ไอ้เยี่ยฉวน ที่นี่เป็นที่ของสถานศึกษาฉางมู่ เจ้ากล้า…”

ทันใดนั้น เยี่ยฉวนพลันหายวับไปจากจุดที่อยู่

ควับ !

แสงแห่งกระบี่สะบัดซัดออกไปกลางลาน !

สีหน้าของศิษย์ฉางมู่ผู้นั้นแปรเปลี่ยน ด้วยอีกฝ่ายไม่กล้าเผชิญกับพลังปะทะแห่งกระบี่ของเยี่ยฉวน โดยตรง ดังนั้นจึงรีบล่าถอยออกทันควัน ทว่าในตอนนั้นเอง กระบี่พลันเหวี่ยงสะบัดออกจากอุ้งมือของเยี่ยฉวน

ไม่ทันไร กระบี่หลิงซิ่วก็ได้พุ่งเข้าหาร่างของศิษย์ผู้นั้นเสียแล้ว

ทันใดนั้นเอง พลังแห่งกระบี่หลิงซิ่วก็ได้ตีปะทะเข้ากับร่างศิษย์แห่งฉางมู่

ตู้ม !

กระบี่หลิงซิ่วที่เหวี่ยงสะบัดออกจากมือของเยี่ยได้ปะทะเข้ากับพลังต้านทานกลางอากาศ

ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปทางคนผู้หนึ่งซึ่งยืนไม่ไกลออกไป ด้วยผู้ที่ออกพลังต้านทานนั่นคือหลีซิ่วเอง !

เมื่อเห็นว่าหลีซิ่วออกหน้าเช่นนี้ บรรดาคนที่มามุงดูจึงพากันมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อน จะพากันคิดไปวุ่นวาย

เยี่ยฉวนยื่นมือรับกระบี่ที่หวนกลับคืน สายตาจ้องเขม็งไปที่หลีซิ่ว ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากพูด กลับเป็นเยี่ยฉวนเสียก่อนที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “เลิกพล่ามเสียที วันนี้ข้าต้องการเอาชีวิตคน !”

ขาดคำ เขาพลันถีบตัวกระโดดขึ้นสูง ก่อนที่ร่างนั้นจะพุ่งทะยานเข้าหาหลีซิ่ว !

กระบี่ปรากฏ !

หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !

เมื่อกระบี่ปรากฏ มันก็ได้บังเกิดเสียงระเบิดกึกก้องไปทั่วลาน

เป้าหมายการจู่โจมของเยี่ยฉวนครานี้เปลี่ยนเป็นหลีซิ่ว เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ทุกคน พากันตกตะลึง

“เยี่ยฉวนเสียสติไปเสียแล้วหรือ ?”

“คนผู้นั้นคือรองอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ ! ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสันโดษ !”

ขณะเดียวกัน ท่าทางของหลีซิ่วเองก็ดุร้ายมุ่งหมายชีวิต เขาผลักฝ่ามือข้างขวาออกไป ก่อนจะตีขึ้นด้านบน ฉับพลันก็ได้บังเกิดพลังรุนแรงชนิดหนึ่งพุ่งวาบออกจากกลางฝ่ามือที่สั่นระริก

ตู้ม !

ร่างของเยี่ยฉวนพร้อมกระบี่ พลันถดถอยซวดเซไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับร่างขอหลีซิ่วที่ถอยกรูดไป หลายจั้งเช่นเดียวกัน !

สีหน้าของคนอื่นยามนี้ตกตะลึงราวกับเห็นผี !

“เยี่ยฉวนสามารถปะทะกับหลีซิ่วได้อย่างสูสี !”

อย่าว่ากระนั้นเลย แม้แต่หลีซิ่วเองยังมีสีหน้าประหลาด ชายหนุ่มมีขั้นพลังต่ำชั้นกว่าถึงสองขั้น ฉะนั้นตนเองจึงไม่คิดฝันว่าพลังปะทะแห่งกระบี่ของเยี่ยฉวนจะสามารถต้านพลังของตน และบีบให้เขาต้องล่าถอยได้ เช่นนี้ !

เขาที่เป็นถึงขั้นสันโดษ !

“ยอดคนโดยแท้ !”

ยามนี้สายตามุ่งร้ายของหลีซิ่วที่มองคนตรงหน้ามิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป “ถ้ายอดคนอย่างมันยังยืนหยัด อยู่ต่อไป คงไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามันจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉางมู่ !”

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลีซิ่งพลันตั้งท่าเตรียมจู่โจมเต็มกำลัง ทว่าเสียงของหญิงสาวในชุดดำซึ่งนั่งบนรถเข็นกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อนว่า “อะไรกัน ? สถานศึกษาฉางมู่หาศิษย์ที่จะออกมาสู้ไม่ได้ ทว่ากลับดีแต่ข่มเหง รังแกผู้อื่นเสียแล้วหรือ ?”

เวลานั้นก็ได้บังเกิดเสียงอื้ออึงของผู้คนวิพากษ์อย่างเซ็งแซ่

มิหนำซ้ำ สายตาของผู้คนโดยรอบยังพากันหันมองไปทางศิษย์แห่งฉางมู่ด้วยแววตาประหลาดใจล้น เหลือ อีกทั้งบางแววตาที่มองมายังเจือไปด้วยความดูถูกดูแคลนอย่างไม่ปกปิด

เยี่ยฉวนออกตัวเพียงหนึ่งเดียว ขณะที่สถานศึกษาฉางมู่ส่งรองอาจารย์ใหญ่ออกหน้า เห็นได้ชัดว่าใน สถานการณ์นี้กลับเป็นสถานศึกษาฉางมู่ที่ถูกข่มเหง

หลีซิ่วหันขวับไปทางคนพูด “เจ้าคือใคร ?”

สตรีในชุดดำสั่นศีรษะน้อย ๆ “ข้าเป็นเพียงคนดู”

ทันใดนั้นนางก็พลันหันหน้าไปทางขึ้นเขาฉางซาน “ตอนนี้ผู้คนมารวมตัวไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่น หรือท่านต้องการทำลายชื่อเสียงอันดีของสถานศึกษาฉางมู่ซึ่งอุตส่าห์สั่งสมมานานนับพันปี ท่านรองอาจารย์ใหญ่หลี ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นรองอาจารย์ใหญ่พลันชำเลืองมองนาง สีหน้าบูดบึ้งเหยเก

ชื่อเสียง !

แน่นอนสถานศึกษาฉางมู่ใส่ใจต่อภาพพจน์ชื่อเสียงยิ่งนัก หากเขาออกปะทะจู่โจม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เรื่องนี้จะต้องถูกแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งแคว้นเจียง หรือในบางทีมันก็อาจจะแพร่ออกไปยังแคว้นอื่นใกล้เคียง !

ถึงตอนนั้น สถานศึกษาฉางมู่จะกลายเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป !

ขณะนั้น ชายหนุ่มที่อยู่กลางลานในระยะห่างออกไป เขาพลันยกกระบี่ยาวชี้ตรงไปยังกลุ่มศิษย์ฉางมู่ ในสีหน้าแฝงความมั่นใจ พลางพูดว่า “สถานศึกษาฉางมู่ไร้ซึ่งคนกล้าหาญแล้วหรือ ? ถ้ามีก็จงออกมา !”

คำพูดของเยี่ยฉวน ทำให้พวกศิษย์แห่งฉางมู่สีหน้าเปลี่ยนแปรจนน่ากลัว !

เมื่อใดหนอที่สถานศึกษาฉางมู่ต้องถูกวาจาดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ?

ทันใดนั้น ศิษย์ฉางมู่ผู้หนึ่งไม่สามารถอดทนอีกต่อไป เขาถลันเข้าหาเยี่ยฉวน ทว่ายังไม่ทันถึงตัว เยี่ย ฉวนกลับตวัดกระบี่สะบั้นศีรษะศิษย์ผู้นั้น !

ฉับ !

โลหิตสาดกระเซ็น !

ศิษย์ฉางมู่ผู้นั้นสิ้นชีพด้วยกระบี่เดียว !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset