หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 149 แรงผลักดัน (ต้น)

บทที่ 149 แรงผลักดัน (ต้น)

ใบหน้าของเยี่ยฉวนและคนอื่น ๆ แข็งค้าง

ส่วนอาจารย์ใหญ่จี้ก็หยุดพูดคุยและดื่มต่อไปเรื่อย ๆ

จากนั้นโม่อวิ๋นฉีจึงได้หยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “อาจารย์จี้ เอ่อ ท่านก็บริหารจัดการความสัมพันธ์ ไม่เก่งจริง ๆ นั่นแหละ…”

เมื่อถูกอาจารย์ใหญ่จี้จ้องหน้า โม่อวิ๋นฉีก็อึกอักขึ้นมาทันที เขารีบแก้ตัว “อาจารย์จี้ ท่านใจเย็น ๆ ก่อนและโปรดอย่าขยับ…”

อาจารย์ใหญ่จี้ส่ายศีรษะเบาๆ “ในทวีปชิงนั้น แต่เดิมสำนักศึกษาฉางหลานเคยมีวันวานอดีตอันรุ่งเรือง !แต่อย่างไรเสียสิ่งเหล่านั้นย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา ในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดหากจะรื้อฟื้นถึงมัน พวก เจ้าสามคนมากับข้าที่ด้านหลังภูเขาเดี๋ยวนี้เลย”

หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและจากไป

เยี่ยฉวนและอีกสามคนที่เหลือลุกขึ้นเดินตาม

ภายในห้องโถงนั้นเหลือเพียงเยี่ยหลิง

เยี่ยหลิงใช้มือเล็ก ๆ ของตัวเองคว้าจับเยี่ยฉวนเอาไว้แน่น “ท่านพี่… ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ…”

ดวงตาทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่

ที่ด้านหลังภูเขา

อาจารย์ใหญ่จี้ได้พาทั้งสามคนไปที่น้ำตก สายตาของเขาหยุดลงที่ไป๋เจ๋อ “จากนี้ไป ข้าจะเพิ่มระดับ ความเข้มข้นในการฝึกฝนของพวกเจ้า ข้าจำเป็นจะต้องกระตุ้นพลังเลือดอสุรกายที่อยู่ภายในร่างกายของเจ้า และดึงมันออกมาใช้ให้เร็วที่สุด”

หลังจากนั้นเขาจึงชี้ไปที่ลูกตุ้มเหล็กขนาดเท่าศีรษะมนุษย์สองอันซึ่งวางกองอยู่ไม่ไกล !

อาจารย์ใหญ่จี้กระซิบบอก “เจ้าต้องถือมันขณะที่ลงไปในน้ำตกด้วย”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋เจ๋อก็พยักหน้า เขาแขวนลูกตุ้มเหล็กสองอันนั้นไว้กับตัว และเมื่อร่างกาย ถูกเพิ่มน้ำหนักอย่างกะทันหัน ตรงพื้นข้างใต้เท้าของเขาก็เกิดเป็นรอยบุบขึ้นอย่างชัดเจน !

ไป๋เจ๋อลงไปที่น้ำตกท่ามกลางสายตาของทุกคนโดยมีโซ่คล้องเท้าเอาไว้…

ไม่นานนัก เสียงเกลียวคลื่นร้องคำรามคล้ายสัตว์กำลังเห่าหอนก็พลันดังขึ้นตรงริมเชิงน้ำตกนั้น

นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว โม่อวิ๋นฉีถึงกับเบือนหน้าหนีเพราะทนไม่ได้ที่จะมองภาพนั้นตรง ๆ

จากนั้นอาจารย์ใหญ่จี้จึงหันมองไปที่โม่อวิ๋นฉีบ้าง เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ สีหน้าของโม่อวิ๋นฉีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “อาจารย์จี้ ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอแล้วล่ะ”

อาจารย์ใหญ่จี้ถามกลับอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้าแน่ใจหรือ ?”

โม่อวิ๋นฉีรีบพยักหน้าตอบ “แน่นอน !”

จี้อันซื่อมองไปที่เยี่ยฉวน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงใช้ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ กับเขาไปก็แล้วกัน !”

โม่อวิ๋นฉีพูดไม่ออก “…”

เยี่ยฉวนเพียงหันหน้ามามองเท่านั้น โม่อวิ๋นฉีพลันกระโดดหนีทันที “อาจารย์จี้ นี่ท่านล้อเล่นหรือเปล่า ? ท่านเมาแล้วแน่เลย ดังนั้นก็อย่ามาสั่งให้ข้าทำอะไรบ้า ๆ เลยนะ !”

จี้อันซื่อกล่าวขึ้นแบบลอย ๆ “ให้เจ้าตายในเงื้อมมือของศิษย์ฉางหลานยังดีกว่าตายด้วยน้ำมือของพวกศิษย์จากสำนักฉางมู่ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คงตายตาหลับแล้ว”

โม่อวิ๋นฉีเงียบลงในทันใด

เยี่ยฉวนเดินมาหาและตบบ่าเขาเบาๆ “ก็แค่ต้องทนเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเสียหน่อย แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วล่ะว่าเจ้าจะอยากก้าวผ่านความยากลำบากใด ๆ นั่นหรือเปล่า ข้าสัญญาว่าจะไม่ทุบตีเจ้าจนปางตายแน่นอน อย่างมากสุดก็แค่พิการเท่านั้นแหละ !”

โม่อวิ๋นฉีเบ้ปาก ริมฝีปากสั่นระริก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ มองไปที่อาจารย์ใหญ่จี้ “พวกท่านก็พูดมาเถอะว่าจะทรมานข้าอย่างไรบ้าง ?!”

อาจารย์ใหญ่จี้ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก แต่เวลาต่อมากลับมีสายโซ่เหล็กยาวมากปรากฏขึ้นต่อหน้า โม่อวิ๋นฉี และลูกเหล็กขนาดเล็กจำนวนมากก็ได้ถูกมัดไว้บนโซ่อีกทีหนึ่ง

อาจารย์ใหญ่จี้สั่งอย่างใจเย็น “ใส่มันแล้ววิ่งไปรอบ ๆ ด้านหลังภูเขาร้อยรอบ จงทำแบบนี้ตอนเช้าหนึ่งครั้งและตอนเย็นหนึ่งครั้งในทุก ๆ วัน แต่หากเกินเวลาที่กำหนดจะถูกต้องเพิ่มอีกยี่สิบรอบ…”

เยี่ยฉวนแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมาเล็กน้อย

“พื้นที่หลังเขากว้างไม่ใช่น้อย ๆ หากวนครบยี่สิบรอบ คงจะได้ระยะทางประมาณสี่สิบหรือห้าสิบลี้… ทว่ายังจะต้องแบกโซ่ไปกับลูกบอลเล็ก ๆ เหล่านั้นด้วย… ข้าว่าข้าทำไม่ได้แน่ ๆ!”

สีหน้าของโม่อวิ๋นฉีซีดลงอย่างกะทันหัน “อาจารย์จี้ นี่ท่านต้องการให้ข้าวิ่งจนขาขาดหรือยังไงกัน ?”

อาจารย์ใหญ่จี้พูดอย่างเฉยเมยว่า “วิ่งจนเสียขาย่อมดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นมาหักขา จากนี้ไปถ้าเจ้ายัง มัวพูดพล่ามไร้สาระอยู่อีกข้าจะให้เพิ่มอีกสิบรอบ !”

โม่อวิ๋นฉีปิดปากสนิท “…”

หลังจากนั้นครู่หนึ่งโม่อวิ๋นฉีก็เริ่มออกวิ่ง เขาร้องไห้น้ำตาพรากไปด้วยขณะที่ขยับขา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาร้องไห้เรื่องอะไร…

ในตอนนี้เองที่อาจารย์ใหญ่จี้มองไปที่เยี่ยฉวน

เยี่ยฉวนยิ้มกว้าง “ข้ายินดีจะฝึกฝนทุกรูปแบบตามที่ท่านต้องการ !”

อาจารย์ใหญ่จี้มองเยี่ยฉวน มีความซับซ้อนฉายขึ้นในแววตา “พลังที่เจ้าใช้ในสำนักศึกษาฉางมู่อยู่ใน ขั้นปฐพีงั้นสินะ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ

อาจารย์ใหญ่จี้ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าถือเป็นศิษย์ที่ออกจะมีความลับไม่น้อย แต่ทั้งหมดนั่นไม่สำคัญ หรอก มากับข้าสิ !”

หลังจากนั้นเขาก็มาถึงภูเขาลูกเล็ก ๆ พร้อมกันกับเยี่ยฉวนและจี้อันซื่อ

ภูเขาลูกเล็กตรงหน้า ก็คือภูเขาที่เยี่ยฉวนทลายไม่สำเร็จก่อนหน้านี้

เยี่ยฉวนกระซิบกระซาบ “ท่านต้องการให้ข้าต่อยเจ้าภูเขาลูกเล็กนี้หรือไม่ ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ตอบ “ทั้งใช่และไม่ใช่ !”

เยี่ยฉวนมองอาจารย์ใหญ่จี้

อาจารย์ใหญ่จี้ตอบเสียงเบา “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ แต่ก็เป็นด้านหมัดมวยด้วยเช่นกัน ข้าอาจไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเต๋าแห่งกระบี่มากนัก แต่ข้าเองก็พอจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งศิลปะการต่อสู้อยู่บ้าง”

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ใหญ่จี้จึงชี้ไปยังภูเขาลูกเล็กที่เห็นอยู่ไกล ๆ  “เจ้าคิดว่ามันคืออะไร ?”

เยี่ยฉวนตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างจริงจัง “ก็ภูเขา !”

อาจารย์ใหญ่จี้ส่ายหน้า “มิใช่ มันคือสิ่งกีดขวางที่อยู่ต่อหน้าเจ้ายังไงล่ะ !”

เมื่อสิ้นเสียงลง อาจารย์ใหญ่จี้ก็ปล่อยหมัดไปข้างหน้า

ตู้มมม !

ภายใต้การโจมตีของหมัดนั่น ภูเขาลูกเล็กก็พลันพังทลายลงทันที !

เศษภูเขากระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เห็นทันตา !

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเยี่ยฉวนก็รู้สึกทึ่งขึ้นมาเล็กน้อย !

เยี่ยฉวนรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของอาจารย์ใหญ่จี้นั้นทรงพลังมากทีเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังตกใจทุก ครั้งที่ได้เห็นพลังจากหมัดนั่นอยู่ดี

ไม่แน่ว่าวันหนึ่งพลังหมัดของเขาอาจแข็งแกร่งถึงขนาดนี้บ้างก็เป็นได้ !

อาจารย์ใหญ่จี้หันไปมองเยี่ยฉวน “รู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ?”

เยี่ยฉวนส่ายหน้า

อาจารย์ใหญ่จี้พูดเสียงกระซิบ “เวลาที่เจ้าโกรธ เจ้าอาจมีเคล็ดวิชาต่อสู้ให้พึ่งพา แต่แน่นอนว่าแรงผลักดันของเจ้าย่อมมีไม่พอที่จะรองรับมันแน่ เจ้ามีทักษะในการฆ่าเพียงพอแล้วทว่ายังขาดแรงผลักดันในการต่อสู้ อยู่ แม้ว่าด้วยพละกำลังของเจ้าจะไม่ได้อ่อนแอ… แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี !!”

“ถ้าหากเจ้าสามารถเพิ่มแรงผลักดันขับเคลื่อนเคล็ดวิชาต่อสู้ได้สำเร็จ งั้นแล้วความแข็งแกร่งของเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นตาม และไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่เจ้ายังจะมีโอกาสเป็นปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้มากขึ้นด้วย !”

ด้วยเหตุนี้เอง อาจารย์ใหญ่จี้จึงมองไปยังภูเขาขนาดเล็กที่ถล่มนั่น

“แรงผลักดันคืออะไรน่ะหรือ ? จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของการโจมตีทางจิตใจ เมื่อเผชิญหน้า กับภูเขาเล็ก ๆ ลูกนั้น หากเจ้ามองว่ามันเป็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งยากที่จะทำลายลงได้ นั่นเท่ากับว่าเจ้าได้ล้มเหลว ตั้งแต่ภายในจิตใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้ว เจ้าควรจะคิดว่ามันคือเศษขยะที่ขวางทางและเจ้าสามารถทำลาย มันได้ตลอดเวลาต่างหาก !”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset