หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 152 ข้าเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ! (ปลาย)

บทที่ 152 ข้าเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ! (ปลาย)

เมื่อคิดจบ ฉับพลันก็ได้มีบางอย่างดึงความสนใจชายหนุ่ม ชั่วจังหวะนั้นเยี่ยฉวนพลันหันขวับไปอีกด้าน ของป่า ไม่ไกลนัก ร่างของคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งเต็มเหยียดสุดฝีเท้า คนผู้นั้นคือโม่อวิ๋นฉี

โม่อวิ๋นฉีขณะนี้เสื้อผ้าเปียกโซกไปด้วยเหงื่อ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยราวโคกระบือที่ถูกใช้งานอย่างหนัก…

ฉับพลันสายตาของเขามองมาทางเยี่ยฉวน ก่อนอีกฝ่ายจะสะดุ้งตกใจจนเห็นได้ชัด จากนั้นจึงแสดง สีหน้าแปลกใจพร้อมตะโกนถาม “เฮ้ย… ทำไม่ไปฝึกกัน ?”

เยี่ยฉวนส่ายหน้า “ไม่ล่ะ !”

คนถามทำตาปริบ ๆ ด้วยชักโมโห “อะไรวะ ทีเจ้าทำไมจึงไม่ต้องฝึก ? ทั้งอาจารย์ใหญ่ยังไม่สั่งลงโทษ ด้วย ? ไม่ยุติธรรมเลยนี่หว่า !”

เยี่ยฉวนเดินเข้าไปใกล้ ยกฝ่ามือตบลงบนบ่าของโม่อวิ๋นฉีเชิงปลอบใจ “รู้ไหมว่าใครเป็นยอดฝีมือ ?”

จากนั้นจิ้มนิ้วชี้ลงบริเวณหน้าอกตนเอง “นี่ เห็นหรือยัง ? ข้านี่แหละยอดฝีมือตัวจริงเสียงจริง ! ว่าจะกลับไปงีบเอาแรงสักตื่น ส่วนเจ้าก็ขยัน ๆ เข้าไว้นะ ข้าจะนอนเอาใจช่วย !”

โดยไม่รอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินดุ่มออกไปทันที

“โห ไอ้นี่ !” โม่อวิ๋นฉีฟาดงวงฟาดงาอย่างฉุนจัด “ยอดฝีมือเรอะ ?! ขี้โม้ฉิบ… ไว้ข้าสำเร็จเมื่อไร คอยดู จะไล่ซัดเจ้าให้ร้องโอดโอยเลยทีเดียว…”

จากนั้นไม่นานก็มีเสียงคนวิ่งโครมครามเข้าป่าไป ต่อมาก็มีเสียงร้องเอะอะโหยหวน แต่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเขาจะแหกปากร้องไปเพื่ออะไรกัน…

ทางด้านเยี่ยฉวน ชายหนุ่มได้เดินมาถึงห้องโถงสถานศึกษาฉางหลาน จึงพบว่าเยี่ยหลิงยังไม่เข้านอน เด็กน้อยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงขั้นบันได เมื่อเห็นเยี่ยฉวนที่กำลังเดินเข้าประตู เยี่ยหลิงพลันลุกพรวดขึ้นยืน

คนเป็นพี่ตรงเข้ามาหาพลางลูบหัวน้องอย่างรักใคร่ “ทำไมยังไม่เข้าไปนอน ?”

เยี่ยหลิงคว้าแขนของพี่ชายดึงให้ทรุดลงนั่งตรงเชิงบันได้ ก่อนจะเอนศีรษะซบลงบนบ่าของเยี่ยฉวนและพูดพึมพำเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบ “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่เจ้าค่ะ !”

เยี่ยฉวนพูดยิ้ม ๆ “พี่ก็จะอยู่กับเจ้าเสมอนั่นแหละ !”

เยี่ยหลิงเอียงศีรษะเล็ก ๆ หันหน้ามาถาม “ท่านพี่ ถ้าข้าฝึกยุทธ์ ท่านจะคัดค้านหรือไม่ ?”

เมื่อได้ยินคำถามของน้องสาว เยี่ยฉวนนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ทำไมจะต้องค้าน ? ถ้าเจ้า ได้ฝึกยุทธ์ อีกหน่อยเจ้าจะได้ปกป้องพี่บ้างยังไงล่ะ…” ว่าพลางยักคิ้วหลิ่วตาเป็นเชิงล้อเลียน

เยี่ยหลิงกอดแขนพี่ชายของนางแน่นขึ้นอีก จากนั้นจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดที่มีแสงดาวระยิบระยับ เสียงเยี่ยหลิงรำพึงแผ่วเบาขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านว่าท่านแม่ของพวกเรายังมีชีวิตอยู่ไหมเจ้าคะ ?”

เมื่อน้องถามเช่นนี้เยี่ยฉวนก็ได้แต่เงียบงัน

“ท่านแม่หรือ ?” ความทรงจำอันน่าประทับใจเกี่ยวกับท่านแม่ของพวกเขานั้น ช่างสลัวเลือนรางเต็มที !

เสียงน้องสาวพึมพำแผ่วเบา “อันที่จริง… มันไม่สำคัญว่าท่านแม่จะยังอยู่หรือไม่ ขอแค่ข้ามีท่านพี่… เท่านี้ก็พอใจแล้ว”

เยี่ยฉวนเอนศีรษะของตนซบกับศีรษะเล็ก ๆ “เพื่อให้เจ้าได้อยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข พี่ยอมทำทุกอย่าง !”

ใต้ท้องฟ้าและดวงดาว สองพี่น้องนั่งกอดกันกันแน่น

วันรุ่งขึ้น

ทันทีที่ฟ้าเริ่มสาง เยี่ยฉวนพลันกลับไปด้านหลังภูเขาเพื่อฝึกฝนตามปกติ

หากมิใช่เพียงแค่ฝึกฝนแรงผลักดัน ทว่าเขายังฝึกทักษะกระบี่ด้วยเพราะเวลานี้ถึงแม้เยี่ยฉวนจะสามารถ ควบคุมกระบี่ได้เป็นผลสำเร็จ แต่ยังขาดความชำนาญ ดังนั้นจึงต้องหมั่นฝึกฝนให้เกิดความชำนาญในทักษะ กระบี่

ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั้งไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉี ที่ต่างต้องฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนตกอยู่ท่ามกลางสภาวะกดดันไม่ต่างกับเยี่ยฉวน !!

ถึงแม้การเข้ามาเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลานของแต่ละคนจะมีเหตุผลแตกต่างกัน ทว่าตอนนี้ พวกเขาได้เข้ามาอยู่ร่วมกัน และมีความรู้สึกผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสถานศึกษาแล้ว !

พวกเขาต่างรู้ดีถึงสถานะของสถานศึกษา ด้วยว่าหากไม่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง พวกเขาอาจต้องสิ้นชีพจากน้ำมือของศิษย์ฉางมู่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง !

มีแต่ต้องฝึกหนัก !

ฝึกชนิดเอาเป็นเอาตาย !

ถัดมาอีกสองสามวัน ณ บริเวณนอกเขตเมืองหลวง

คนสามคนสวมผ้าคลุมสีดำขาวควบม้าปรากฏตัวขึ้นนอกกำแพงเมือง แต่เมื่อใกล้ถึงเขตกำแพง ทั้ง สามหาได้ชะลอฝีเท้าม้า กลับยังคงห้อตะบึงด้วยความเร็วชนิดที่คนเดินเท้าต้องพากันหลีกหลบให้จ้าละหวั่น

ที่หน้าประตูเมือง ทหารรักษาการณ์จับตาดูคนทั้งสามมาก่อนแล้ว ทั้งเห็นได้ชัดว่าม้าไม่มีทีท่าจะชะลอฝีเท้าลงแม้จะเข้ามาใกล้ประตูเมืองแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงมีเสียงตวาดถามจากกลุ่มทหารที่รักษาประตูเมืองดังขึ้น

“พวกเจ้าเป็นใคร ?”

ถึงกระนั้นทั้งสามก็ไม่คิดจะลดความเร็วของม้า หากแต่กลับยังคงพุ่งตรงมา จนกลุ่มทหารจำต้องล่า ถอยออกห่างเพื่อมิให้เกิดอันตราย

เมื่อเห็นว่าทางประตูเมืองโล่งสะดวก ทั้งสามคนจึงห้อม้าผ่านเข้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นทหารกลุ่มหนึ่งก็ได้ดาหน้าเข้าขวางขบวนม้าไว้ ก่อนหัวหน้าทหารชายวัยกลางคนจะก้าวมา ข้างหน้าพลางร้องถาม “พวกเจ้าคิดจะขี่ม้าเข้าเมืองมาเฉย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ทั้งสามคนนี้…”

ขณะนั้นเอง คนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนที่ฉับพลันร่างของเขาจะหายวับไปในพริบตา จากนั้นจึงเกิดเสียงอู้อี้ดังขึ้นพร้อมตามมาด้วยร่างทหารวัยกลางคนที่กระเด็นวืดออกไปไกล

พวกทหารเมื่อเห็นคนของตนถูกซัดกระเด็น พวกเขาก็ต่างโกรธจัดเตรียมพุ่งเข้าปะทะ ทว่าทันใดนั้นเองเสียงตวาดพลันดังขึ้นจากด้านหลัง

“กล้าดียังไง ?” หลังเสียงเงียบลง ได้ปรากฏร่างชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มทหาร สายตาของ ชายแก่กวาดจับใบหน้าทหาร ปากเอ่ยพูด “พวกเจ้าไม่เห็นหรือไง ? คนพวกนี้เป็นศิษย์ฉางมู่”

“ศิษย์ฉางมู่ !” สีหน้าเหล่าทหารแปรเปลี่ยนซีดเผือด พวกเขาไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน

ชายชราหันไปทางคนทั้งสามพลางถามไปว่า “พวกท่านมาจากที่ใด ?”

คนหนึ่งในสามที่ดูท่าว่าเป็นหัวหน้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเมินเฉยไม่แตกต่างจากเดิน “พวกเรามาจากแคว้นถัง !”

“แคว้นถัง !” หลังได้ยินคนตอบ กลุ่มทหารพลันมีสีหน้าขึ้งเครียดทันที “แคว้นถัง ศัตรูคู่อาฆาตของแคว้น เจียงมาช้านาน !”

ทว่าผู้อาวุโสคนนั้นกลับเอาแต่พยักหน้า ก่อนพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่สถานศึกษาก็แล้วกัน !”

คนหัวหน้าส่ายหน้า “ไม่จำเป็น เพียงบอกมาว่าเยี่ยฉวนอยู่ที่ใด ?!”

ชายชราชะงักชั่วครู ก่อนที่ปากจะเอ่ยวาจาออกมา “พวกเจ้าควรไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจะทำอะไร ทั้งสามคน…”

“เหอะ ไตร่ตรอง ?” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเย็น “เพราะไตร่ตรองกันมาแล้วน่ะสิ จึงไม่อาจดูดายนั่งจิบน้ำชา อีกต่อไป บอกมาดีกว่าว่าเยี่ยฉวนอยู่ที่ใด พวกเราจะไปเด็ดหัวมัน !! และเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะกลับแคว้นถังทันที”

ผู้อาวุโสผู้นั้นจ้องมองคนทั้งสามไม่วางตา “พวกเจ้าทั้งสามควรเข้าใจเสียก่อน ว่าเยี่ยฉวนคนนี้ไม่ใช่คนที่คิดจะจัดการได้ง่ายดาย เขา…”

“มันอยู่ที่สถานศึกษาฉางหลาน !” ทันใดนั้นเสียงของคนที่ถูกซัดกระเด็นไปได้ซึ่งกำลังกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนได้ตะโกนบอกมา เขามองไปที่เจ้าคนท่าทางเป็นหัวหน้า “เยี่ยฉวนเป็นศิษย์ฉางหลาน ถ้าพวกเจ้าไป ไม่ถูก ข้าจะพาไปเอง !”

คนที่เป็นหัวหน้าพูดเสียงเรียบ “นำไป !”

หลังทหารชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น เขาพลันหันไปคำรามออกคำสั่งกองทหารตรงหน้าในทันที “แจ้งไปยังหน่วยทหารให้เตรียมกำลังพล อีกครึ่งชั่วยามเราจะไปที่สถานศึกษาฉางหลาน พวกเจ้าทุกคนต้องไป เอาใจช่วยคนฉางหลาน ส่วนใครที่ไม่ไป ข้าคนนี้จะหักขามันเสีย !”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset