หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 160 คอยดูฝีมือข้าเสียบ้าง ! (ปลาย)

บทที่ 160 คอยดูฝีมือข้าเสียบ้าง ! (ปลาย)

บรรยากาศรอบข้างเปล่าเปลี่ยววังเวงน่าฉงน ด้วยไร้ผู้คนสัญจรแม้สักคน !

น่าประหลาดยิ่งนัก !

ชายหนุ่มจับตามองถนนเบื้องหน้า พลางคิดตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น ถึงจะเป็นคนไม่เคยเกรง

กลัวสิ่งใด แต่เยี่ยฉวนหาใช่คนโง่เง่าที่จะยอมเดินลงสู่กับดักทั้งที่รู้แก่ใจเช่นนี้

ทว่าไม่ทันไร โสตประสาทพลับรับรู้เสียงกระแสลมวูบเข้าหาทางเบื้องหลัง เยี่ยฉวนหรี่สายตาก่อนหัน

ขวับไปในทิศทางที่มาของเสียงเบื้องหลัง พร้อมกับกระแทกหมัดสวนออกไปเบื้องหน้าทันควัน

ผัวะ !

แรงปะทะทำให้ร่างของเยี่ยฉวนถอยหลังไปพรื่ดหนึ่ง ขณะเดียวกันพื้นดินบริเวณนั้นเกิดรอยครูดลึก

เป็นแนวยาว เขายกสันหมัดขึ้นดู เห็นเป็นรอยโลหิตแดงช้ำจึงเงยมองทางเบื้องหน้า

ในที่ปลายไกลสุดถนนมีคนผู้หนึ่งรูปร่างกำยำเทอะทะอายุราวยี่สิบยืนขวางทางอยู่ ขนาดร่างกายของ

เขาคนนี้ถ้าจะเทียบความใหญ่โตน่าจะพอกับไป๋เจ๋อ และมือข้างขวาของคนผู้นั้นก็ได้สวมใส่ถุงมือเหล็กสีดำ

“ศาสตราวุธจิตวิญญาณสินะ !” สายตาจับภาพวัตถุที่อยู่ในมือของคนที่ยืนฟากตรงข้าม เยี่ยฉวนพลันนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความกระหายใคร่ได้

ผู้ชายสวมถุงมือเหล็กสีหน้าดุดัน มองคนตรงหน้าด้วยแววตาส่องประกายกร้าว บิดปากแสยะยิ้ม

ขณะเดียวกันเยี่ยฉวนก็ได้สอดส่ายสายตามองโดยรอบ

ตอนนั้นเองจึงสังเกตเห็นว่าห่างออกไปทางด้านหลังคนร่างยักษ์ มีคนผู้ชายอีกสองคน เจ้าคนทางซ้ายสวมชุดคลุมยาวในมือถือทวนยาว โดยที่ส่วนปลายของทวนเป็นประกายเจิดจ้าดุจแสงดาวอันสงบเยือก

ส่วนอีกคนทางขวาผมทรงสั้น ในมือถือดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยว เป็นดาบสั้นสีดำสันหนาร้อยด้วยห่วง

เหล็กสามห่วง ทว่าส่วนคมดาบกลับบางเฉียบ

และพลังของคนทั้งสาม ก็คือขั้นพลังทะยานสวรรค์ ! ไม่สิ ที่ถูกต้องบอกว่าคนทั้งสามกำลังจะเป็นขั้น

สันโดษในอีกไม่ช้าต่างหาก !

ในตอนนั้นเอง เสียงคนสวมชุดยาวถือทวนพลันพูดขึ้นว่า “พวกเราทั้งสามเคยเห็นฝีมือของเจ้ามาก่อน ! เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าในแคว้นเจียงจะมียอดคนเช่นเจ้าเคียงข้างทัดเทียมผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นอันหลานซิ่วเช่นนี้”

พลางคนพูดสาวเท้าเดินตรงมาทางเยี่ยฉวน “เรามาสู้กันทีละคนหนึ่งต่อหนึ่ง เพราะพวกเราไม่ได้เป็น

ศัตรู ฉะนั้น…” เยี่ยฉวนไม่รอให้จบประโยค เขาทะยานพรวดรวดเร็วราวลูกธนูหลุดจากแล่ง !

ระยะห่างของคนทั้งคู่ไม่กี่จั้ง ทว่าในขณะนั้นเองสีหน้าของเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนฉับพลัน ช่วงจังหวะนั้น

เขาเบี่ยงกายออกทางขวาเพื่อเลี่ยงหลบบางสิ่ง ด้วยลูกธนูสีดำได้พุ่งตรงเข้ามาปักตรงหัวไหล่ของเยี่ยฉวน !

ชายหนุ่มเงยมองตามทิศทางของลูกธนูต้นเหตุ ก่อนพบว่าบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งปรากฏว่ามีร่างของสตรีในชุดรัดกุมสีดำกลืนกับความมืด ในมือถือคันธนูและที่ไหล่สะพายกระบอกใส่ลูกธนูสั่นพริ้วอยู่เบื้องหลัง !

ใครว่าสาม พวกมันมีสี่คนต่างหาก !

เยี่ยฉวนเหลือบมองสตรีที่ยืนมองอยู่บนหลังคาในระยะไกลด้วยแววตาเย็นเยียบ มือคว้าลูกธนูบนหัว

ไหล่กระชากออกมาหักทิ้ง ทันใดนั้นมีเสียงกระแสลมพัดวืดขึ้นทางเบื้องหลัง คนร่างยักษ์ปรากฏกายขณะเดียวกับที่เยี่ยฉวนหันหลังขวับรับหมัดหนึ่งที่พุ่งสวบตรงเข้ายังศีรษะ !

ฉับพลันเยี่ยฉวนตอบโต้โดยแรงหมัดอันทรงพลัง ประหนึ่งเสือร้ายที่หลุดออกจากป่ากระโจนเข้าตะครุบขย้ำเหยื่ออันโอชะ !

เขาบิดมุมปากแยกเขี้ยวหมุนรอบตัวขณะพุ่งออกหมัดตรงเข้าปะทะรุนแรง ! “หนึ่งหมัดดับชีพ !”

ด้วยพลังรุนแรงระเบิดออกขณะเยี่ยฉวนออกหมัดพุ่งตรง จึงพาให้พื้นดินเบื้องล่างแยกแตกด้วยความ

แรงแห่งพลังระเบิด ไม่เพียงพื้นดินเท่านั้นที่แตก ทว่าผนังทั้งสองฝั่งยังเกิดรอยร้าวโยงใยทั่วทั้งแผ่นพื้น

หมัดปะทะหมัด !

ผัวะ !

สิ้นเสียงระเบิดสนั่น พลันถุงมือเหล็กสีดำของผู้ชายร่างบึกบึนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ขณะที่ร่างของผู้เป็นเจ้าของถอยกรูดห่างออกไปอีกหลายจั้ง จนที่พื้นปรากฏรอยครูดเป็นแอ่งจมลึกลงไปในดิน

ทันทีที่ร่างถอยกรูดหยุดชะงัก คนร่างยักษ์จึงก้มลงมองมือข้างขวาที่ไร้ถุงมือเหล็กซึ่งกำลังสั่นสะท้าน

รุนแรง !

สีหน้าของเขาเวลานี้ทั้งตกตะลึงทั้งประหลาดใจ !

ตลอดเวลาที่ฝึกความแข็งแกร่งทางกาย คนที่มีขั้นพลังเท่ากันนั้นยากนักจะหาคนที่ร่างกายแข็งแกร่ง

เทียบเท่า !

แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้สิ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกกระบี่ขั้นพลังต่ำต้อยเท่านั้นไม่ใช่หรือไร ?!

เยี่ยฉวนไม่รอช้า ชายหนุ่มตัดสินใจไล่ติดตามผู้ชายร่างใหญ่ซึ่งล่าถอยออกห่างไป

ทว่าทันใดนั้นเขาต้องหันขวับมาเผชิญหน้าคนผู้หนึ่งซึ่งพุ่งทวนยาวออกขวางทางห่างใบหน้าไปเพียง

ไม่กี่นิ้ว ที่ปลายทวนปรากฏลำแสงคมกริบหมุนติ้ว !

ชายหนุ่มเร่งเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วออกด้านข้างหลบคมแห่งแสงทวนที่เข้าปะทะ ทว่าทันใดนั้นลำทวน

ยาวกลับตวัดวาดปัดเข้าหา

เวลานี้เยี่ยฉวนจึงไม่อาจคิดนาน ดังนั้นจึงได้แต่ผลักออกฝ่ามือทั้งสองเข้าสกัดลำทวนที่ตวัดฟาดเข้ามา

ผัวะ !

พลังปะทะส่งแรงสั่นสะเทือนสู่ผนังที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวน ขณะเดียวกันนั้นร่างของผู้ชายอีกคนหนึ่งก็

ได้ปรากฏขึ้นทางเบื้องหน้าพร้อมสับดาบโค้งจันทร์เสี้ยวลงสุดแรง

ฉัวะ !

แรงปะทะของดาบสั้นรวมทั้งพลังบีบอัด บังคับให้เกิดสถานการณ์ที่มิอาจเลี่ยงหลบ ! ช้าเกินไปที่จะ

หลบหลีกด้วยทั้งทวนยาวและดาบโค้งต่างบีบบังคับเข้ามาทั้งสองด้าน !

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเหยียดแขนกางฝ่ามือออกคว้าจับอาวุธที่ฟาดลงไว้จนแน่น !

เปรี้ยง !

เยี่ยฉวนฉวยดาบสั้นโค้งด้วยสองมือ แต่เท้ากดลึกจมลงในผิวดิน

ทันใดนั้นเองทวนยาวพลันแทงสวบเข้ากลางลำตัว ! ชายหนุ่มจึงจำต้องปล่อยมือจากดาบสั้น และพลิกตัวหลบออกทางด้านข้าง !

เปรี้ยง ! เปรี้ยง !

ทวนยาวพลาดเป้าหมายทิ่มพรวดลงบนพื้นดินตรงจุดที่เยี่ยฉวนเคยยืน กระแสพลังส่งให้ผนังด้านข้าง

สั่นสะเทือนอย่างแรง !

ขณะนั้นเยี่ยฉวนทะยานหลบพลังปะทะของทั้งทวนยาวและดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยว ทว่ายังมิทันได้หยุดพลันมีกระแสพลังบางอย่างพุ่งเข้าปะทะทางเบื้องหลังซ้ำอีกครา !!

ด้วยเขาหันขวับทันที จึงได้เผชิญหน้าในระยะประชิดตาต่อตากับผู้ชายร่างใหญ่ !

ขณะที่คนร่างยักษ์กำลังทะยานเข้าหาจากอากาศพร้อมกับสับหมัดลงมาอย่างแรง โดยมีเป้าหมายเป็นกึ่งกลางศีรษะของเยี่ยฉวน !

เกิดประกายแสงสีดำพุ่งวาบออกจากหมัด !

แววตาของเยี่ยฉวนฉายประกายโหดเหี้ยม ครานี้มิได้หลบหลีกแต่กลับพุ่งหมดสวนออกปะทะคนใน

อากาศ !

และก็เป็นอีกครา…

เพชรตัดเพชร !

หมัดต้องจัดการด้วยหมัด !!

เป็นอีกครั้งที่เขาปลดปล่อย ‘หนึ่งหมัดดับชีพ’ ! ที่มิใช่เพียงผสานเคล็ดวิชาต่อสู้เท่านั้น หากเยี่ยฉวนยังทำการประสานพลังทั้งหมดที่มีเพื่อเพิ่มอานุภาพความรุนแรงยิ่งขึ้นเข้าไปอีก !

สองพลังหมัดประสานงากลางอากาศ !

เปรี้ยง !

ร่างยักษ์ของคนตัวใหญ่กระเด็นหวือตกกระแทกพื้นดังสนั่นไกลออกไปหลายจั้ง

ขณะที่ร่างของเยี่ยฉวนเองก็กระถดถอยออกไปอีกหลายจั้งเช่นเดียวกัน !

ก่อนจะพลันเกิดกระแสลมหวิวหวือบางเบาแหวกอากาศทางเบื้องหลัง !

หากแต่มันก็ยังคงไม่อาจรอดพ้นโสตประสาทที่จะรับรู้ได้ เยี่ยฉวนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยและขยับเบี่ยง แต่ดูเหมือนยังช้าไป ด้วยลูกธนูปลายขนนกปักฉึกเข้าที่หัวไหล่อีกดอก !

ฉึก !

ชายหนุ่มเงยมองคนบนหลังคา จึบพบว่าหญิงสาวกำลังเงื้อคันธนูสุดแขนจนวงธนูเป็นรูปโค้งพระจันทร์เต็มดวง แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปล่อยลูกธนูเข้าสู่เป้าหมายอย่างเยี่ยฉวนตลอดเวลา !

สายตาเย็นชาของคนชุดดำที่กำลังเล็งธนูนั้น ขณะที่นางกำลังจะปลดปล่อยลูกธนู เสี้ยววินาทีต่อมา

หญิงสาวพลันต้องหันขวับไปมองด้านหลัง ด้วยปรากฏแสงสว่างวาบจู่โจมกระทันหันพุ่งตรงลงกลางศีรษะ !

คนชุดดำหรี่ตาลง ก่อนพลันหันหลังขวับแตะปลายเท้าลงบนพื้นดีดตัวลอยข้างจากบนหลังคาที่เดิมไปยังหลังคาอื่น !

และในที่นั้นนางก็ได้เผชิญหน้ากับสตรีอีกคนในชุดลวดลายภูเขาและแม่น้ำ !

จี้อันซื่อ !

ในเวลาเดียวกันเยี่ยฉวนที่อยู่เบื้องล่าง พลันปรากฏร่างของคนสองคนเข้ามาขนาบซ้ายขวา !

สองคนผู้นั้นคือโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ จึงเท่ากับตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีสี่ต่อสี่เท่ากันแล้ว !

เยี่ยฉวนตัดสินใจขยับจะเคลื่อนที่เข้าหาสองคนของอีกฝ่าย แต่โม่อวิ๋นฉีกลับใช้มือขวายกขึ้นกันไว้เสีย

ก่อน “คอยเดี๋ยวซี…”

ทั้งเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อเหลือบมองคนพูดเป็นตาเดียว ขณะที่เจ้าตัวพูดต่อว่า

“เจ้าจะดังเกินหน้าเกินตาเพื่อนฝูงไปหน่อยนะท่าน สาว ๆ ทั้งเมืองหลวงกิ๊วก๊าวรู้จักแต่เยี่ยฉวน ๆ…

เพราะฉะนั้นวันนี้เจ้าอยู่เฉย ๆ คอยดูฝีมือข้าเสียบ้าง ! ข้าจะคว่ำพวกมันให้ชมเป็นขวัญตา !”

ขาดคำเขาเคลื่อนที่ออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับที่ฉับพลันนั้นผู้ชายสองคนที่อยู่เบื้องหน้าหาบวับไปกับตา !

…ก่อนที่ท่ามกลางความเงียบงัน จะปรากฏเสียงปะทะดังสนั่น !!!

ผัวะ !

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกคน คือร่างของโม่อวิ๋นฉีที่หัวทิ่มพรวดปักลงบนพื้นดิน เมื่อเขาเงยหน้า

ขึ้นจึงได้เห็นคราบโลหิตไหลออกทางมุมปาก

ไป๋เจ๋อนิ่งหน้ามองด้วยสายตาแสดงความผิดหวัง “ไอ้ตัวแสบ จะให้พวกเรายืนดูเวลาที่เจ้าถูกกระทืบงั้นหรือ ?”

โม่อวิ๋นฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่รู้สึกจุกจนไม่อาจตอบโต้ “…”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset