หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 161 หาเงินจากการต่อสู้ได้นี่เอง ! (ต้น)

บทที่ 161 หาเงินจากการต่อสู้ได้นี่เอง ! (ต้น)

เยี่ยฉวนเดินเข้ามาช่วยฉุดโม่อวิ๋นฉีให้ลุกขึ้น อีกฝ่ายปาดโลหิตที่ซึมออกมาจากมุมปาก สายตาเขม่นมองสองคนเบื้องหน้า เสียงรำพึงกับตนเอง “คนผู้นี้พลังแข็งแกร่ง !”

“จริง แข็งแกร่งมาก !” เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วย จากประสบการณ์ที่เคยปะทะมาก่อนหน้า ทำให้ไม่อาจมั่นใจว่าจะสามารถคว่ำคนทั้งสองได้ !

ข้อเท็จจริงที่ว่าในโลกนี้คราคร่ำไปด้วยยอดอัจฉริยะและยอดคน !

สถานศึกษาฉางมู่รู้ดีในข้อนี้ จึงตั้งรางวัลมูลค่ามหาศาลเพื่อล่อตาล่อใจต่อคนเหล่านั้น !

อย่าว่าแต่คนอื่น แม้เยี่ยฉวนเองยังรู้สึกอิจฉาหน่อย ๆ!

เฉพาะคัมภีร์ยุทธ์ขั้นปฐพีอย่างเดียว เขาสามารถขายเพื่อซื้อกระบี่จิตวิญญาณได้หลายเล่มแล้ว !

วินาทีนั้นต้องสลัดความคิดวุ่นวายในหัว เขาหันมาหาคนที่ยืนข้างทั้งสอง ไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉี “เลือกเอา จัดการคนละคน !”

ไป๋เจ๋อกราดมองรอบตัว สายตาปะทะเข้ากับคนร่างยักษ์ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ! โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาทะยานเข้าหาชายร่างยักษ์อย่างรวดเร็ว ! ชายร่างยักษ์เห็นคนพุ่งเข้ามา มันหาได้หวาดหวั่นไม่ กลับกระโจนพรวดและทะยานเข้าหาไป๋เจ๋อเช่นเดียวกัน !

เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! เปรี้ยง !

ฉับพลันต่อมา เสียงระเบิดต่อเนื่องดังสนั่นขึ้นทางเบื้องหลังเยี่ยฉวนและโม่อวิ๋นฉี !

เยี่ยฉวนปรายตามองโม่อวิ๋นฉี ซึ่งยังยืนหน้ามึนนิ่งเฉย คนถูกมองเบนสายตาไปทางคนถือดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยว ทันใดนั้นเองราวกับตัดสินใจขั้นเด็ดขาด พลันร่างทั้งร่างถลันพรวดไปทางชายถือดาบสั้นรวดเร็ว มีเสียงดังครั่นครืนปานฟ้าคำราม !

หากนั่นมิได้ทำให้ชายถือดาบสั้นสะดุ้งสะเทือน กลับกันเขาทะยานเข้าหาและยกดาบตวัดฟากฉับเต็มแรงดังควับ !

ทว่าดาบนั้นกลับพลาดเป้าหมาย !

โม่อวิ๋นฉีโผล่พรวดขึ้นเบื้องหน้ามันเสียแล้ว ชายถือดาบสั้นจึงจำต้องพลิกหลบ ด้วยเคลื่อนไหวรวดเร็วสูสีกัน เขาจึงหมุนตัวกลับพร้อมสับดาบสั้นลงมาอีกครา…

ด้านจี้อันซื่อ นางได้กระโดดออกจากที่พาร่างทะยานเข้าหาสตรีชุดดำ ขณะที่คนบนหลังคาหายแวบออกห่าง ในเวลาเดียวกันลูกธนูขนนกก็ได้พุ่งสวนทางเข้าหาร่างของจี้อันซื่อ ทำให้นางไม่กล้าผลีผลามลงมือ…

ที่ด้านล่างนั้นเอง เยี่ยฉวนและบุรุษในชุดคลุมยาวยืนคุมเชิงซึ่งกันและกัน ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่ม !

คนสวมเสื้อคลุมยาวจ้องเขม็ง และเอ่ยขึ้นก่อนว่า “พวกเรากำลังจะไปจากเมืองหลวง !”

เยี่ยฉวนส่ายหน้า ทำเสียงจึ้กจั้ก “ถ้าเจ้าพูดก่อนหน้าที่พี่น้องของข้าจะมาถึง ข้าก็คงไม่รั้งไว้ แต่นี่… สายไปเสียแล้ว !” ขาดคำของเยี่ยฉวน ร่างทั้งร่างเผ่นโผนพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ราวสมิงร้ายหมายมาดตะครุบเหยื่อ !

บุรุษชุดคลุมกระชับทวนยาวในมือเกร็งจนข้อนิ้วซีดขาว ในเวลานั้นลำทวนในมือสั่นสะเทือนรุนแรง ทำให้ทันใดนั้นพื้นดินค่อย ๆ ปริแยกแตกออกทีละนิด !

ครู่ต่อมา เขากระแทกลำทวนยาวออกมาข้างหน้า ก่อนที่ปลายทวนจะบังเกิดแสงสว่าง และพลันมีลำแสงชนิดหนึ่งพุ่งปลาบจากปลายทวน ! ช่วงเวลาเดียวกันผนังกำแพงหนาทั้งซ้ายขวาก็ได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆทันที !

ทันใดนั้นแสงแห่งกระบี่ฟาดควับ พลันสรรพสำเนียงทั้งลานเงียบกริบ ! ร่างของเยี่ยฉวนยืนสงบนิ่งห่างออกไปไม่มากนักจากบุรุษชุดยาว ที่ปลายกระบี่หลิงซิ่ว หยาดโลหิตค่อย ๆ หยาดรินตามคมกระบี่ !

เหตุการณ์ทางด้านอีกฝั่งหนึ่ง ขณะนั้นไป๋เจ๋อกำลังต่อสู้กับชายร่างยักษ์อย่างดุเดือด ด้วยทั้งคู่เป็นผู้ฝึกด้านกายเนื้อ ดังนั้นการต่อสู้ของทั้งสองจึงเป็นการแลกหมัดเข้าใส่กันไม่ลดละ แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอจะดูออกว่าไป๋เจ๋อฝีมือเหนือกว่าคู่ต่อสู้ !

และเป็นชายร่างยักษ์ที่ถูกจู่โจมจนล่าถอย บาดแผลจากการต่อสู้ปรากฏบนร่าง…

ในฝั่งกลับกัน ไป๋เจ๋อยิ่งต่อสู้กลับยิ่งเพิ่มความดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ!

เยี่ยฉวนทะยานเข้าไปยืนข้าง เขาเองยังอดประหลาดใจไม่ได้หรือจะต้องพูดว่าตกตะลึงจึงจะถูก ด้วยหากดูในด้านสมรรถนะความกล้าแกร่งทางร่างกาย ชายหนุ่มไม่มีทางเทียบกับไป๋เจ๋อได้เลยต่อให้มีกายาทองคำก็เถอะ !

หากเยี่ยฉวนไม่มีกายาทองคำ เห็นทีเขาคงไม่สามารถต้านพลังหมัดหนึ่งของไป๋เจ๋อภายใต้สมรรถนะทางกายระดับนี้อย่างแน่นอน !

ผัวะ !

ทันใดนั้นร่างมโหฬารของศัตรูกระเด็นหวือออกไปหลายจั้ง ต่อมาร่างยักษ์ตกกระแทกกับพื้นดินเต็มแรง คนที่ตกแอ้กขยับทำท่าจะลุกขึ้นทว่าไม่ทันไรไป๋เจ๋อก็ได้ทะยานจากที่สูง เข้ากระแทกฝ่าเท้าเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่ายรุนแรงหนักหน่วง !!

ผลัวะ ! ศีรษะของชายร่างใหญ่หงายเงิบ ขณะที่ร่างกายบิดหมุนหนึ่งรอบและหงายตึงลงบนพื้นดิน ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย !

ไปเจ๋อก้มลงปลดถุงมือเหล็กสีดำจากร่างไร้วิญญาณ จากนั้นจึงหันไปคว้าถุงที่เหน็บเอว ก่อนจะเดินตรงไปหาเยี่ยฉวน เขาชูถุงมือสีดำให้ดูพลางยิ้มน้อย ๆ “ศาสตราวุธจิตวิญญาณ !”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “ชิ้นนี้ราคาสองล้านเหรียญทองเชียวนะ !”

คราวนี้คนฟังยิ้มกว้างยิงฟันขาว “ข้าเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมเจ้าถึงชอบวิวาทนัก ! คราวหน้าคราวหลังเวลาเจ้าจะไปวิวาทที่ไหน อย่าลืมชวนข้าไปด้วยก็แล้วกัน !”

เยี่ยฉวนได้ยิน ถึงกับอึ้งพูดไม่ออกได้แต่ตีหน้าเก้อ “…”

ผัวะ !

เสียงตีวัตถุบางอย่างดังสนั่นไม่ไกลออกไป ทั้งเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อหันขวับไปตามเสียงพร้อมกัน ไม่ห่างไกลเท่าใดนัก ร่างของหนุ่มโม่อวิ๋นฉีกระเด็นไปหล่นกระแทกพื้น นอนแอ้งแม้งอยู่ที่นั่น !

เยี่ยฉวนมองภาพที่ปรากฏ เขาย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ทั้งเขาและไป๋เจ๋อทำท่าจะเข้าไปช่วยเพื่อนร่วมสำนัก ทว่ามีเสียงห้ามเชิงปฏิเสธจากคนบนพื้น “พวกเจ้าคอยดูอยู่เฉยเถอะน่า ข้าจะจัดการมันเอง !”

ทั้งสองหันมองหน้ากัน ที่สุดจึงชะงักหยุดความตั้งใจเข้าช่วยเหลือไว้ ณ ตรงนั้น ! เพราะต่างเชื่อมั่นในตัวของโม่อวิ๋นฉี …ว่าเมื่อใดก็ตามที่ออกไปต่อยตี คนผู้นี้ย่อมสามารถหนีได้เร็วกว่าใครเพื่อน !

ขณะนั้นเอง โม่อวิ๋นฉีผุดลุกขึ้นมายืนได้แล้ว เขาผลักฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า ปากขมุบขมิบไปมา เพียงพริบตาร่างหนึ่งปรากฏออกเบื้องหลังบุรุษผู้ถือดาบสั้นโค้งที่อยู่ห่างออกไป…

ร่างนั้นดูอย่างไรก็คือโม่อวิ๋นฉี ทั้งที่โม่อวิ๋นฉียังยืนอยู่ที่เดิมปากพึมพำร่ายอะไรบางอย่างอยู่ในขณะนี้

“มีโม่อวิ๋นฉีสองคน ?” ทั้งเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อนิ่งขึงตะลึงลาน ! ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เฉพาะคนทั้งสอง ชายที่ใช้ดาบสั้นเองก็ตะลึงด้วยเช่นกัน !

ทันใดนั้น แสงวาบสาดกระจายในทั่วลาน !

มีดบินคู่ ! ฉับพลันมีดบินสองเล่มแหวกอากาศเรียงหน้าพุ่งเข้าหาคนถือดาบสั้นโค้งรวดเร็วยิ่ง แม้แต่สายตาของเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อยังไม่อาจจับทิศทางการเคลื่อนไหวที่แน่ชัดของมีดบินสองเล่มนั้นได้ !

ชายถือดาบสั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย ด้วยสายตาซึ่งมองเห็นมีดบินที่กำลังพุ่งเข้าตนเอง

ทว่ากว่าจะเจอ ก็ได้มีวัตถุพุ่งเข้าหาระยะใกล้แล้ว !

จึงไม่มีเวลาจะคิดสิ่งใดได้อีกต่อไป มือกระชับดาบสั้นและยกขึ้นกวาดออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรง !!!

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset