หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 163 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ต้น)

บทที่ 163 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ต้น)

ทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ ! เยี่ยฉวนเคยได้ยินว่ามีทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแผ่นดินชิงแต่ไม่ปรากฏแหล่งที่มา ! ผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อขึ้นทำเนียบ ล้วนแล้วแต่สุดยอดแห่งยอดคนในแผ่นดินชิงทั้งสิ้น

ในแคว้นเจียง มีเพียงหนึ่งเดียวที่ชื่อถูกจารึกไว้ในทำเนียบ ! อันหลานซิ่ว !

เยี่ยฉวนไม่ได้คิดประมาทฝีมือของเฟิงอี้ซิ่วคนที่ยืนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัว !

ซึ่งก็ยืนยันได้จากความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับขณะพลังชี่ถ่ายเทสู่กระบี่หลิงซิ่วในมือจนสั่นรุนแรง

ฝ่ายตรงข้ามของเยี่ยฉวน เฟิงอี้ซิ่วเหยียดมุมปาก สีหน้าเครียดขรึม ไม่ประมาทฝีมือเยี่ยฉวนเช่นกัน ! สถานศึกษาฉางมู่ตั้งรางวัลค่าหัวเยี่ยฉวนเสียมากมายหวังจูงใจคนจากทั่วทุกสารทิศ เมื่อเป็นดังนี้ คนผู้นี้จึงเป็นใครที่คิดจะกำจัดโดยง่ายได้อย่างนั้นหรือ ?

ผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ในทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ นอกจากมีความกล้าแกร่งโดดเด่นแล้วสมองยังต้องเป็นเลิศ ยิ่งกว่านั้น คนผู้นั้นควรมีประสบการณ์ต่อสู้อย่างโชกโชน ดังนั้นคนที่คิดจะทำอะไรโง่เง่าด้วยการประมาทในฝีมือของคู่ต่อสู่จะติดอันดับได้อย่างไร !

จริงอยู่บางครั้งการประมาทฝีมือคู่ต่อสู้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่มันจะมีได้ก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น !

คนผู้หนึ่งก้าวมายืนข้างเฟิงอี้ซิ่ว สตรีสวมชุดแนบเนียนสีดำกำลังตั้งท่ายกคันธนู พลางวางลูกธนูก่อนจะค่อยง้างสายในท่าเตรียมยิง โดยมุ่งเป้าหมายที่ร่างของเยี่ยฉวนซึ่งทะยานเข้ามาใกล้ทุกขณะ

ทันใดนั้น เฟิงอี้ซิ่วใช้มือกดคันธนูที่กำลังง้างเต็มที่ในมือของสตรีชุดดำลง พร้อมพูดว่า “ข้าเอง !” ว่าแล้วปรายตาไปที่เยี่ยฉวนผู้กำลังพุ่งตรงเข้ามา

บัดนี้เยี่ยฉวนอยู่ห่างจากเฟิงอี้ซิ่วเพียงไม่กี่จั้ง !

ก่อนที่ทันใดนั้นเฟิงอี้ซิ่วจะรู้สึกว่ามีพลังชนิดหนึ่งเข้าห่อหุ้มคลุมครอบ !

แรงผลักดันแห่งกระบี่ !

ชั่วขณะหนึ่ง เยี่ยฉวนปรารถนาอย่างยิ่งที่จะแสดงให้คู่ต่อสู้ได้เห็นพลังกระบี่ที่สามารถทะลุทะลวงได้ถึงชั้นฟ้า !

ทว่ากลับกลายเป็นคนที่ยืนข้างเฟิงอี้ซิ่วตระหนักในพลังกระบี่แทน นางเบิ่งตามอง ในแววตาฉายความประหลาดใจชัดเจน เหตุเพราะพลังเคลื่อนไหวดั่งนี้ไม่ควรบังเกิดกับคนมีขั้นพลังหลอมรวมลมปราณเท่านั้น !

ส่วนเฟิงอี้ซิ่วจับตามองด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น ฉับพลันนั้นเขาผายมือข้างขวา ปรากฏมีควันประหลาดสีขาวพวยพุ่งและหมุนวนจากกลางฝ่ามือ ทันใดนั้นพื้นปฐพีใต้ฝ่าเท้าพลันบิดเกลียวและพร่าเลือนไป !

จังหวะนั้นเยี่ยฉวนทะยานเข้าประชิด พลันตวัดกระบี่ฟันฟาดใช้ออกด้วย ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ !

กระบี่สะบัดจากบนลงล่าง ปลดปล่อยพลังเคลื่อนไหวรุนแรงปานแผ่นดินจะถล่มในบัดดล !

เป็นเวลาเดียวกับเฟิงอี้ซิ่วที่ยกมือขวาและผลักออก บังเกิดควันสีขาวหมุนวนใจกลางฝ่ามือลอยกระจายจนปกคลุมกระบี่ของเยี่ยฉวนจนมิด

เปรี้ยง !

ทั่วบริเวณโดยรอบคนทั้งสองพื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นระยะทางไกลหลายจั้ง อีกทั้งยังมีแรงไหวโยกสั่นคลอนเป็นหลายวินาที จากนั้นจึงเผยให้เห็นร่องรอยแผ่นดินปริแยก !

ภาพที่ปรากฏคือร่างของทั้งสองเลื่อนถอยห่างออกจากกันไปคนละหลายจั้ง และที่เหนือกว่านั้นคือพื้นดินบริเวณที่เหยียบกดเกิดเป็นร่องลึกกว่า 45 ชุ่นลากเป็นทางยาว ส่วนสภาพแวดล้อมใกล้เคียงต่างก็เกิดฝุ่นคละคลุ้งเศษซากสิ่งของกระจัดกระจาย !

เยี่ยฉวนเพ่งตาเขม้นมองคนเบื้องหน้าไกลออกไป ในมือกำแน่นกระบี่หลิงซิ่ว ขั้นสันโดษ ! คนที่ยืนเบื้องหน้า หาใช่แค่ขั้นทะยานสวรรค์ หากแต่เขาเป็นขั้นสันโดษโดยแท้จริง !

มิหนำยังบรรลุพลังขั้นสันโดษในวัยเพียงยี่สิบขวบปีเท่านั้น !

ในขณะเดียวกัน เฟิงอี้ซิ่วยกหมัดข้างขวาขึ้นมองด้วยปรากฏร่องรอยบาดแผล ! ถ้าไม่ปล่อยฝีมือเต็มที่ด้วยพลังขั้นสุด มีหวังคงสิ้นชื่อหรือไม่ก็พิกลพิการด้วยพลังหนึ่งกระบี่ของเยี่ยฉวนไปเสียแน่แล้ว !

เขาเงยหน้าขึ้นมองเขม็งตรงมายังเยี่ยฉวน “ที่แท้เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ ! …การที่พลังกล้าแกร่งแม้อยู่เพียงขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้น นับว่าน่าทึ่งนัก !”

เยี่ยฉวนไม่คิดโต้คารม ตรงข้ามชายหนุ่มกลับทะยานเข้าหาเฟิงอี้ซิ่วพร้อมกับกระบี่ของตนเองอย่างไม่รอช้า !

ด้วยการต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตายหาใช่การเล่นขายของ จะมามัวพูดคุยได้อย่างไรกัน ?!

สำหรับเขาการกระทำนั้นไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย !

ที่สุดของการต่อสู้คือชัยชนะต่างหาก ! คิดดังนั้นเขายิ่งเพิ่มความเร็ว เร็วขึ้นและเร็วขึ้น กระบี่หลิงซิ่วยามนี้สั่นสะท้านทั้งยังบังเกิดพลังแทรกซึมปลดปล่อยแสงกระบี่เรืองรองโดยรอบ !

เมื่อเห็นเช่นนั้น เฟิงอี้ซิ่วค่อยหลับตาลง ก่อนที่แรงผลักดันไม่รู้ที่มาจะกระจายวาบครอบคลุมทั้งร่าง !

ที่แท้บุรุษผู้มีพลังสันโดษกล้าแกร่งกำลังปลดปล่อยแรงผลักดันออกมา !

ในเวลาเดียวกัน พื้นดินที่เขายืนเกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ก้อนอิฐก้อนหินจับกลุ่มรวบรัดรวมตัวอยู่เบื้องหน้า พลันพลิกฝ่ามือคว่ำลง เสียงพึมพำเล็ดลอดริมฝีปาก “ธรณีลือลั่น”

ก่อนที่เสียงคนจะจางหายไป…

เปรี้ยง !

ฉับพลันพื้นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวรุนแรง ชั่วเสี้ยววินาทีพื้นหน้าดินยกตัวลอยสูงขึ้น ต่อมากระพือสะบัดพุ่งเข้าหาเยี่ยฉวนราวกับพายุทอร์นาโด !

คนที่อยู่ในบริเวณ ทั้งไป๋เจ๋อและคนอื่นนิ่งขึงตะลึงลานกับภาพที่ปรากฏ !

ด้วยพลังต้านปะทะของเฟิงอี้ซิ่วที่ได้เห็นกับตานับเป็นพลังแห่งสวรรค์และโลก ทักษะยุทธ์ของเฟิงอี้ซิ่วต้องอย่างน้อยขั้นปฐพีเป็นแน่ !

ผู้ที่พลังกล้าแกร่งในขั้นสันโดษ ทั้งใช้ทักษะยุทธ์ขั้นปฐพี ถือว่าน่าเกรงขามยิ่ง !

ทันใดนั้นปรากฏพลังแห่งกระบี่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทั่วลานโล่ง ลำแสงกระบี่วับวาบตัดข้ามมาจากระยะไกล

เปรี้ยง !

ลำแสงวูบหาย วินาทีถัดมาเกิดเสียงกัมปนาทสนั่นป่า ร่างคนทั้งสองผละถอยห่างโดยในระหว่างทางปรากฏกลุ่มก้อนหินน้อยใหญ่ไหลถล่มเกลื่อนเป็นทาง !

คนทั้งสองหาใช่ใครอื่นคือเยี่ยฉวนและเฟิงอี้ซิ่ว !

ในระหว่างร่างผละถอย เยี่ยฉวนไม่ละเลยโอกาส เขาคลายมือที่กำกระบี่หลิงซิ่ว พลันลำแสงแห่งกระบี่ตวัดฟาดผ่านชั้นอากาศที่กั้นกลางตรงเข้าที่ร่างของเฟิงอี้ซิ่ว !

ฝ่ายตรงข้าม เฟิงอี้ซิ่วพลิกฝ่ามือโดยพลัน จากนั้นจึงสะบัดยกขึ้นอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง !

ก้อนอิฐหินจำนวนมหาศาลลอยจากพื้นสู่อากาศ พลันแผ่ออกเป็นแผ่นกางกั้นเพื่อป้องกันอิทธิฤทธิ์แห่งพลังแสงจากกระบี่ของเยี่ยฉวน !

ผลการต้านรับครั้งนี้เป็นเหตุให้ร่างของเขาผงะล่าถอยกรูดห่างออกไปหลายจั้ง !

และทันทีที่ร่างของเฟิงอี้ซิ่วหยุดชะงักอยู่กับที่ เยี่ยฉวนพลันถลันเข้าขวางหน้าโดยอีกฝ่ายมิทันตั้งตัว !!

หลังเห็นดังนั้นเฟิงอี้ซิ่วจึงไม่กล้าชักช้า กระแทกปลายเท้ากับพื้นเต็มแรง ก่อนจะทะยานขึ้นสู่อากาศเบื้องบนอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง !

ทั้งนี้โดยที่ทั้งสองไม่ได้เข้าถึงตัวหลังปะทะ พวกเขาต่างผละแยกออกจากกันและย้อนคืนสู่ที่มั่นในจุดเดิมของตนในเวลาต่อมา !

ซึ่งในทันทีที่เยี่ยฉวนลงสู่พื้นเบื้องล่าง พื้นใต้ฝ่าเท้าของเขาพลันระเบิดออกโดยแรง แต่สายตาของชายหนุ่มก็ยังแน่วแน่ที่ร่างของคนตรงกันข้าม ทั้งยังมีท่าทางสงบเยือกเย็น

ขั้นสันโดษ !

ข้อแตกต่างระหว่างขั้นสันโดษและขั้นทะยานสวรรค์ ถ้าบรรลุในขั้นสันโดษแล้วไซร้ พวกเขาไม่เพียงสามารถเหินเวหาแต่ยังสามารถควบคุมพลังในบรรยากาศได้ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนได้อย่างมหาศาล !

สิ่งที่เห็นได้เด่นชัด คือเมื่อใดที่เฟิงอี้ซิ่วออกอาวุธทักษะยุทธ์ เขาสามารถผลักออกพลังรุนแรงแห่งทักษะยุทธ์ขั้นปฐพีได้ด้วย !

ด้วยผู้ใช้พลังแห่งทักษะยุทธ์ต้องมีสมรรถนะทางกายแข็งแกร่งรองรับ โดยเฉพาะทักษะยุทธ์ขั้นปฐพี หากความแข็งแกร่งของร่างกายไม่ได้ระดับที่พอเหมาะพอดีกับพลังแห่งทักษะยุทธ์ การฝืนใช้พลังเช่นนี้กลับจะยิ่งเป็นอันตรายแก่ตนเองด้วยผลข้างเคียงที่ตามมา

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset