หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 168 ข้าโง่เอง ! (ปลาย)

บทที่ 168 ข้าโง่เอง ! (ปลาย)

อาจารย์ใหญ่จี้พลันโถมพรวดเข้ามายืนหน้าเยี่ยฉวน เขายื่นมือขวาพร้อมดึงมือกลับปลดปล่อยจากกระบี่ จากนั้นเขากวาดมือข้างขวา กระบี่หลิงซิ่วจึงปรากฏออกเบื้องหน้าเยี่ยฉวน

เยี่ยฉวนทำท่าบุกซ้ำ ทว่าอาจารย์ใหญ่จี้กลับยกมือเป็นเชิงห้ามปราม แต่ตาจ้องเขม็งไปที่หลี่เสวียนชางซึ่งทะยานอยู่ในอากาศ “ดูท่าว่าสถานศึกษาฉางมู่ยอมสละทุกหยาดหยดแห่งเกียรติและศักดิ์ศรี เพื่อแลกกับชีวิตของเยี่ยฉวนคนนี้ ! เจ้าสองคนเป็นถึงขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ ถึงขนาดลงทุนจับเด็กน้อยที่ไม่มีทางสู้เช่นนี้ !”

“เกียรติงั้นหรือ ?” หลี่เสวียนชางเหยียดมุมปาก น้ำเสียงมีร่องรอยถากถาง

“ถ้าหลายปีก่อนสถานศึกษาฉางมู่มุ่งมั่นสังหารอาจารย์ใหญ่จี้มากกว่านี้สักหน่อย เจ้าจะมีสถานะเช่นวันนี้หรือ ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ใช้มือทั้งสองไพล่หลัง “ถ้าเจ้ากล้าทำอันตรายต่อเด็กน้อยคนนั้น ข้าจะฆ่าศิษย์ฉางมู่ให้หมด !”

คนฟังตอบยิ้ม ๆ “ถ้าเจ้ากล้าทำ เด็กตาย !” จากนั้นเขาหันไปทางเยี่ยฉวน “ส่วนเจ้า ข้ามั่นใจว่าอาจารย์จะไม่ปล่อยให้เจ้าทำแน่ ใช่ไหม ?”

เยี่ยฉวนจ้องเขม็งที่หลี่เสวียนชาง “ไอ้สุนัขเฒ่า เจ้าเป็นอาจารย์ใหญ่ประสาอะไรจึงไม่รู้จักแยกแยะ ถ้ามีเรื่องไม่พอใจพวกเรา ช่วยทำแต่กับพวกเราจะได้ไหม ?”

หลี่เสวียนชางส่ายหน้าช้า ๆ “เกียรติงั้นหรือ ? เกียรติยศจะมีความหมายอะไร ? ข้ารู้เพียงว่าตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ สถานศึกษาฉางมู่ไม่เพียงเสื่อมเสียเกียรติยศ แต่พวกเราจะต้องสูญสิ้นความมั่นคงที่มีมายาวนานนานนับพันปีด้วย”

จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางอาจารย์ใหญ่จี้ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ทำอันตรายเด็ก แค่จะพานางไปไว้ที่สถานที่แห่งความลับ แต่ถ้าเจ้ากล้าทำอย่างที่เจ้าพูด นางตาย !” ขาดคำ เขาหันหลังกลับ ร่างเลือนหายไปจากขอบฟ้าพร้อมด้วยบุรุษชุดดำ

เยี่ยฉวนเห็นเช่นนั้น เขาทำท่าจะผละออกตามไป ทว่าอาจารย์ใหญ่จี้ออกห้ามปราม ชายหนุ่มหันไปมองหน้าอาจารย์ใหญ่ นัยน์ตาแดงก่ำดุจสายโลหิต

คนเป็นผู้อาวุโสสั่นหน้าน้อย ๆ “ข้าเสียใจ ไม่คิดมาก่อนว่าพวกมันจะกล้าอุกอาจเช่นนี้”

ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ อย่างพยายามที่สุดในการข่มสติ ! เขานิ่งไปอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นเยี่ยฉวนหันหลังกลับพร้อมกระบี่ในมือ “ข้าไม่โทษใครทั้งนั้น ข้ามันโง่เอง !”

ทั้งลานเงียบกริบ มีเพียงเสียงถอนหายใจของอาจารย์ใหญ่จี้ ในตอนนั้น โม่อวิ๋นฉี จี้อันซื่อ และไป๋เจ๋อ พวกเขาต่างเดินเข้าไปหาอาจารย์ใหญ่จี้ โดยเฉพาะโม่อวิ๋นฉีที่เงยหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มมองอาจารย์ใหญ่ “อาจารย์ ข้าว่าการที่สถานศึกษาฉางมู่มันทำถึงขนาดนี้ นับว่าไร้ยางอายสิ้นดี !”

เสียงคนเป็นอาจารย์ตอบแผ่วเบา “ไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ ? ความกล้าแกร่งและยอดคนเช่นชายแซ่เยี่ยคนนี้ทำให้พวกเขาหวาดผวาเสียแล้ว ! ถ้าไม่ดิ้นรนสู้จนสุดใจขาดดิ้นเวลานี้ล่ะก็ บางทีอาจจะไม่มีโอกาสกำจัดเขาได้อีกเลย เพราะสำนักใหญ่แห่งฉางหลานคงยอมรับเยี่ยฉวนคนนี้เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมาในวันใดวันหนึ่งเป็นแน่ !”

เสียงโม่อวิ๋นฉีถามอีกว่า “ท่านจะขอความช่วยเหลือจากสำนักใหญ่หรือไม่ขอรับ ?”

อาจารย์ใหญ่ส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังทำไม่ได้… อย่างน้อยเยี่ยฉวนควรสำเร็จเป็นเซียนกระบี่ก่อนอายุครบยี่สิบ เมื่อถึงตอนนั้น บางทีสำนักใหญ่แห่งฉางหลานอาจจะหันมาให้ความสนใจบ้างกระมัง…”

คนฟังทอดถอนใจ “ไอ้พวกฉางมู่ หน้าด้านไร้ยางอาย !” ทันใดนั้นเสียงของจี้อันซื่อดังขึ้นอย่างร้อนรน “เยี่ยฉวนลงจากเขาไปแล้ว ! เขาคงจะมุ่งไปที่แคว้นหนิงแน่ !”

เสียงของโม่อวิ๋นฉีพูดรวดเร็ว “ข้าจะไปกับเขาด้วย !”

ไป๋เจ๋อที่อยู่อีกข้างพยักหน้าหงึก “ข้าก็ด้วย !” จากนั้นคนทั้งสองพลันหันหลังกลับรีบรุดตามหลังเยี่ยฉวนไปทันที

อาจารย์ใหญ่จี้ตะโกนไล่หลัง “ระวังด้วยมันเป็นกับดัก กับดักที่หลอกล่อให้เยี่ยฉวนเข้าสู่สถานที่แห่งความลับซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย ! ต่อให้มีพวกเจ้าไปด้วย ที่นั่นก็ยังนับว่าอันตรายมากอยู่ดี !”

โม่อวิ๋นฉีชะงักพรื่ด เขาหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนเหยียดมุมปาก “ข้ารู้ว่าสถานที่แห่งความลับมีอันตรายรออยู่… และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าต้องไปกับเขา !”

จากนั้นเขาจึงเดินกลับออกไปและหายลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว โดยมีไป๋เจ๋อเร่งติดตามไปอย่างกระชั้นชิด

ณ ที่นั่น อาจารย์ใหญ่หันไปมองจี้อันซื่อ นางจึงเอ่ยเรียบ ๆ “ท่านปู่ โปรดรักษาตัว !” ครู่ต่อมาจี้อันซื่อพร้อมด้วยถุงสัมภาระและเร่งรีบลงจากเขาไป

ท่ามกลางกองซากหักพัง ร่างของอาจารย์ใหญ่จี้ยืนสงบนิ่งงัน ต่อมาจึงปรากฏกายขึ้นที่อาคารหอขนาดเล็กหลังหนึ่งด้านหลังภูเขา ที่ภายในแน่นขนัดด้วยแผ่นจารึกจิตวิญญาณจำนวนมากมายนับพันชิ้น !

เขากวาดตามองแผ่นจารึกจิตวิญญาณเงียบ ๆ ในตอนนี้ดูท่าว่าจะหายเมาเป็นปลิดทิ้งแล้ว

อาจารย์ใหญ่จี้ยืนดูอยู่นานเท่าใดไม่แน่ชัด จากนั้นจึงทรุดลงนั่งเหยียดขาไปกับพื้น เอื้อมมือปลดน้ำเต้าบรรจุสุราที่เหน็บเอว ยกขึ้นซดอั้ก ๆ เมื่อลดไหน้ำเต้าในมือลง มีเสียงรำพึงกับตนเองว่า “ข้ามันไร้ความสามารถ ไม่สามารถปกป้องเจ้า…” หนึ่งก้านธูปถัดมา มีชายชรากำลังเดินลงจากภูเขาฉางหลาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจุดหมายของเขาคือที่ไหน

ภายในพระราชวังหลวงแห่งแคว้นเจียง

ณ ที่แห่งหนึ่งในยามค่ำคืน ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ท่าทางกำลังหยอกเล่นกับสัตว์เลี้ยงขนสีดำ ขณะนั้น บุรุษวัยกลางคนปรากฏกายขึ้นที่ประตูห้องโถง เขาค้อมตัวลงแสดงคารวะต่อชายชราจากนั้นเดินตรงเข้าไปพูดจาด้วย

ครู่ต่อมา เสียงของชายชราภายในหอโถงพลันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดยิ่ง “สถานศึกษาฉางมู่… นับวันพวกมันมีแต่ความอัปยศอดสู…”

บุรุษวัยกลางคนตอบเสียงต่ำ “หนุ่มคนนั้นคงกำลังเดินทางไปยังแคว้นหนิง !”

ชายชรานิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ส่งคนออกตามชายที่สวมผ้าคลุมสีดำภายในวันนี้ พร้อมทั้งจัดส่งองครักษ์เงาให้ตามไปช่วยเด็กหนุ่มคนนั้น… อือม ช่างเถอะ ข้าจะไปด้วยตนเอง เพราะเขาเป็นคนที่กล้าต่อสู้เพื่อแคว้นเจียง…” เมื่อกล่าวจบ คนพูดหายวาบไปจากที่

ภายในห้องพักของสำนักอัปสรเมรัย

บุรุษสวมชุดสีดำเดินเข้าไปภายในห้องพัก เมื่อสายตามองเห็นว่าเป็นชายชรา เขาตรงเข้าคารวะอย่างนอบน้อม…

ชายชราเหยียดมุมปากอย่างเยาะหยัน “สถานศึกษาฉางมู่ที่ยิ่งใหญ่ ! พวกมันกำลังเดินเข้าหาความพินาศโดยแท้ สั่งการออกไป ตามหาตัวชายในชุดคลุมสีดำ อีกอย่างส่งคนคอยช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่แคว้นหนิง… อือม ช่างเถอะ ข้าจะไปด้วยตนเอง !”

บุรุษผู้สวมชุดดำพูดขึ้นว่า “ท่านจ้าวหอ ดูเหมือนว่าท่านเลือกข้างแล้วนะขอรับ ?”

ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพเทียมกัน “ถูกของเจ้า ข้าเลือกแล้ว เลือกที่จะยืนข้างสถานศึกษาฉางหลาน ให้ความช่วยเหลือฉางหลานในวันที่ย่ำแย่ ดีกว่าให้ในวันที่เขาเพียบพร้อม ข้าพูดถูกไหม ?”

พลันทั้งเสียงพูดและคนหายวับออกไป

ณ เทือกเขาชายแดน

ชายคนหนึ่งก้าวเข้าไปในกระท่อมหลังคามุงจาก ทันใดเขาทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “คารวะนายหญิง เด็กหญิงคนนั้นถูกพวกคนของสถานศึกษาฉางมู่ลักพาตัวขอรับ…”

ฉับพลันนั้น กระท่อมน้อยพังพาบลงทันที

โครม !

เด็กหญิงผู้หนึ่งเดินออกมาจากซากกระท่อม ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธ “สถานศึกษาฉางมู่งั้นหรือ ? ไอ้พวกเศษสวะ ! ถ้าเด็กคนนั้นเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะไปฆ่าศิษย์ฉางมู่ให้หมดทุกคน !”

“…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset