หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 169 เคล็ดวิชาเพลงกระบี่เป็นเช่นนี้หรือ ? (ต้น)

บทที่ 169 เคล็ดวิชาเพลงกระบี่เป็นเช่นนี้หรือ ? (ต้น)

ณ เชิงเขาฉางหลาน

เยี่ยฉวนที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าพลันยั้งฝีเท้าหยุดกึก

เบื้องหน้ามีคนสามคนยืนเรียงกันทั้งหมดคือโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อ และจี้อันซื่อ

เยี่ยฉวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่เกี่ยว”

โม่อวิ๋นฉีหน้าเสีย ทำท่าทางฮึดฮัด “เจ้าบ้า พูดแบบนี้ได้ยังไง… เหมือนไม่ได้เห็นพวกเราเป็นพี่เป็นน้องอย่างนั้นแหละ !”

ชายหนุ่มอ้าปากจะพูด ทว่าโม่อวิ๋นฉีกลับเอ่ยขัดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องมากความ น้องเยี่ยหลิงไม่ใช่น้องของเจ้าคนเดียว แต่ถือเป็นน้องของพวกเราด้วยเหมือนกัน…” จากนั้นก็เอื้อมมือมาตบบ่าของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบใจ

“ข้าจะไม่ถือสาคำพูดของเจ้าหรอกนะ ไปกันเถอะ !”

เยี่ยฉวนมองหน้าคนทั้งสาม ก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา คนทั้งสี่ขึ้นไปบนเรือเหาะ มุ่งหน้าสู่ปลายทางที่แคว้นหนิง !

กลุ่มของเยี่ยฉวนเพิ่งขึ้นมาบนเรือเหาะ ไม่นานก็มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เมื่อเห็นเยี่ยฉวนผู้มาใหม่ อีกฝ่ายพลันกระแทกกำปั้นแสดงคารวะ

“ขอต้อนรับคุณชายเยี่ย ข้าเป็นหัวหน้าดูแลเรือเหาะลำนี้ โปรดเรียกข้าว่าหัวหน้าหลีเถิดขอรับ”

ชายชรากวาดตามอง ก่อนกล่าวว่า “บนเรือเหาะลำนี้ผู้โดยสารมีเพียงพวกท่านสี่คนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย พวกท่านวางใจได้ เราได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัวที่กำชับให้ดูแลพวกท่านให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย บนเรือเหาะลำนี้ได้จัดคนอารักขาที่กล้าแกร่งไว้ตามจุดต่าง ๆ อีกทั้งจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัยยังติดตามให้การอารักขาแก่ท่านเป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าพวกสถานศึกษาฉางมู่คิดจู่โจมในทางลับ สำนักอัปสรเมรัยจะสกัดพวกมันก่อนทันที !”

หลังได้ยินสิ่งที่หัวหน้าหลีพูดชัดเจน โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นพลันมีสีหน้าตกตะลึง เหตุเพราะความโอหังและมั่นใจในตัวเองของสำนักอัปสรเมรัยไม่ได้ด้อยกว่าสถานศึกษาฉางมู่เลย ! ทว่าปฏิกิริยาที่สำนักอัปสรเมรัยต่อเยี่ยฉวนนั้น…

เรียกได้ว่าประจบประแจง !

เยี่ยฉวนห่อกำปั้นแสดงคารวะขอบใจหัวหน้าหลีผู้นั้น “ขอบใจพวกท่านมาก ข้าจะจดจำความกรุณานี้ไว้ !”

เมื่อได้ยินผู้อ่อนอาวุโสกว่าตอบรับ ชายชราจึงเหยียดมุมปากยิ้มด้วยยินดี “คุณชายเยี่ย ท่านจ้าวหอสั่งการให้ข้าส่งคนไปสืบแผนการจากทางฉางมู่แล้ว หากมีความคืบหน้าข้าจะรีบแจ้งให้พวกท่านทั้งสี่ทราบก่อนถึงแคว้นหนิงแน่นอนขอรับ !”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “ขอบใจมาก !”

คนที่ชื่อหัวหน้าหลียังคงยิ้มแย้ม “ตอนนี้พวกท่านเชิญพักผ่อนตามสบาย หากประสงค์สิ่งใดแจ้งข้าได้ทุกเวลา” หลังจากคารวะอำลาแล้วคนพูดจึงกลับออกไป

ทันทีที่ลับหลังชายชรา โม่อวิ๋นฉีพลันหันมามองเยี่ยฉวน สายตาแสดงออกว่าทึ่งไม่น้อย “ถามจริง ๆ เถอะ เจ้าเป็นลูกชายที่แอบไปไข่ทิ้งของอีตาจ้าวหอแห่งสำนักอัปสรเมรัยหรือไง ?”

เยี่ยฉวนส่ายหน้า พลางพ่นลมออกจมูก ลูกชายบ้าอะไร ? แน่นอน มีแต่เยี่ยฉวนคนเดียวที่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมสำนักอัปสรเมรัยจึงมาทำดีกับเขา เพราะสตรีลึกลับผู้นั้นต่างหาก ! จากนั้นจึงหันไปพูดกับพรรคพวก “พวกเจ้าแยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ !”

ก่อนจะหันหลังเดินกลับห้องพักส่วนตัว โดยมีสายตาครุ่นคิดของจี้อันซื่อมองตาม นางหันหลังกลับและเดินตามออกไป

เยี่ยฉวนออกไปแล้ว เสียงโม่อวิ๋นฉีพึมพำ “คนผู้นี้… เคราะห์ดีจริง ๆ ที่ข้าไม่ได้เป็นศิษย์สถานศึกษาฉางมู่ไร้ยางอายนั่น !

ไป๋เจ๋อพยักเพยิดมาจากอีกด้าน “ไร้ยางอายสิ้นดี !”

โม่อวิ๋นฉีจึงบหันมาพูดกับเขาว่า “จริง ๆ นะ ไอ้ยักษ์ ไม่งั้นป่านนี้มีหวังพวกเราตายแหง”

ไป๋เจ๋อ สีหน้าไม่แน่ใจ “ตายพร้อมเจ้า… หรือบ้างทีข้าอาจต้องคิดใหม่ทำใหม่กัน… ?”

“ไอ้บ้า…” โม่อวิ๋นฉีค้อนประหลับประเหลือก

เยี่ยฉวนเดินเข้ามาในห้องพัก ทว่าเขาหมุนตัวกลับในพลัน พร้อมทั้งยังใช้สายตาปะทะเข้ากับคนที่ยืนตรงช่องประตูเป็นจี้อันซื่อ !

นางเดินตามเข้ามาเงียบ ๆ และเข้าหยุดเบื้องหน้า “ข้าเชื่อว่าฉางมู่ไม่กล้าทำอันตรายต่อน้องของเจ้า”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “ข้ารู้” สถานศึกษาฉางมู่ไม่กล้ากระทำรุนแรงต่อเยี่ยหลิงอย่างแน่นอน เพราะหากเยี่ยหลิงเป็นอะไรไป พวกมันจะขาดตัวประกันที่สามารถใช้ต่อรอง ทั้งอาจถูกอาจารย์ใหญ่จี้ล้างแค้นกลับอย่างน่ากลัว

พวกฉางมู่ไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของศัตรู !

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยเยี่ยฉวน เพราะถ้าปล่อยให้เยี่ยฉวนเติบใหญ่แกร่งกล้าขึ้นเรื่อย ๆ อนาคตของสถานศึกษาฉางมู่คงมีแต่จะดับมืดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน

จี้อันซื่อมองหน้าเยี่ยฉวนก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็ควรพักได้แล้ว พวกเรารับปากว่าจะช่วยพาน้องของเจ้ากลับมาให้ได้”

เยี่ยฉวนมองหญิงสาว สายตาฉายแววขอบคุณอย่างซึ้งใจ “พวกเจ้าก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้มีแต่อันตราย !”

หญิงสาวจ้องลึกลงในแววตาของอีกฝ่าย “ถ้าไม่อันตราย พวกเราก็ไม่มาด้วยน่ะซี !” พูดจบล้วงมือลงไปในห่อสัมภาระของตน จากนั้นจึงหยิบซาละเปาอุ่นสองลูกขึ้นมาส่งให้เยี่ยฉวน “กองทัพเดินด้วยท้อง !”

เยี่ยฉวน “…”

จากนั้นจี้อันซื่อก็หันหลังเดินกลับออกไปเงียบ ๆ

ภายในห้องพัก เยี่ยฉวนนั่งอยู่บนม้านั่งเพียงตัวเดียวในห้องนั้น ก่อนจะล้วงหยิบเอาหุ่นไม้แกะสลักตัวเล็กที่เคยแกะเป็นรูปเยี่ยหลิงออกมา สายตาแน่วแน่ของเยี่ยฉวน จ้องมองหุ่นไม้แกะสลักในมือนิ่งนาน !

อ่อนแอ !

หลายวันก่อน เขาเคยคิดว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน จนตอนนี้ อาจมีเพียงอันหลานซิ่วเท่านั้นที่สามารถรับมือเขาได้

ทว่าไม่เป็นความจริงสักนิด และถ้าจะให้พูด ก็คือเขาหาได้รู้สึกภาคภูมิใจแม้สักน้อย !

ด้วยเวลานี้ โลกแห่งความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดได้เตือนให้รู้ว่าที่จริงแล้วเขามีแต่ความอ่อนแอ !

เหตุการณ์ที่เยี่ยหลิงถูกหลี่ซ่วนชางและชายในชุดดำลักพาตัวไป เขาในฐานะพี่ชายทำอะไรได้บ้าง ?

สิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้แต่มองดูเฉย ๆ หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ใหญ่จี้ห้ามไว้ เขาคงกลายเป็นศพไปแล้วแน่ !

ทว่าชายหนุ่มไม่นึกโทษใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่จี้หรือคนอื่น ! และถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษความอ่อนแอของตนเอง !

“ข้าเป็นคนอ่อนแอ !”

เยี่ยฉวนหลับตาลงช้า ๆ!

เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงไม่มีสิทธิร้องขอ !

เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงเป็นได้เพียงผู้ที่ถูกรังแก !

เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงต้องจำทนกับความอยุติธรรม !

เยี่ยฉวนประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าหากันบีบจนแน่น ทำให้ภายในฝ่ามือเกิดกระแสโลหิตพลุ่งพล่าน !

เช่นเดียวกับที่ภายในร่างกาย กระบี่หลิงซิ่วกำลังสะท้านสะเทือนหนักหน่วงขึ้นทุกที ๆ ก่อนที่ในที่สุดร่างทั้งร่างของเยี่ยฉวนจะสั่นสะท้าน !

โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานอีกเท่าใด บังเกิดกระแสคลุมเครือแห่งเคล็ดวิชาหลั่งไหลซึมซาบออกมานอก… ทันใดนั้น กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวลอยละล่องเรื่อยลงมาจากชั้นที่สอง บนกระดาษคือภาพของกระบี่เล่มหนึ่งล้อมรอบด้วยกระแสแห่งเคล็ดวิชากระบี่ !!

เบื้องหลังกระแสแห่งเคล็ดวิชานั้นคือกระบี่ขนาดใหญ่ จึงเห็นได้ชัดว่า เยี่ยฉวนกำลังถามหาความเข้าใจในเคล็ดวิชากระบี่ที่ได้มาจากชั้นที่สอง… !!

ณ เมืองหลวง

ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ใครปล่อยข่าวที่สถานศึกษาฉางมู่บุกไปลักพาตัวเยี่ยหลิง ดังนั้นเพียงชั่วข้ามคืนข่าวจึงแพร่สะพัดออกไปทั่วเขตเมืองหลวง

เมื่อชาวเมืองรับรู้ข่าว ความเดือดดาลของชาวเมืองจึงเริ่มปะทุ ! พวกเขาต่างโกรธขึ้งยิ่งนัก !

เดิมทีคนส่วนใหญ่ไม่ใคร่ชอบใจกับสถานศึกษาฉางหลานอยู่มาก ด้วยธรรมชาติของคนที่มักเข้าข้างฝ่ายที่แข็งกว่า แกร่งกว่า ซึ่งสถานศึกษาฉางหลานมักเป็นฝ่ายที่แสดงความอ่อนแอและพ่ายแพ้ให้กับสถานศึกษาฉางมู่มาโดยตลอด จึงเป็นเหตุผลที่ชาวเมืองจึงเลือกที่อยู่ข้างเดียวกับฉางมู่ !

ในโลกความจริง ทุกคนล้วนปรารถนาความเข้มแข็ง !

แต่ถึงกระนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะในวันที่ฉางมู่เรียกร้องให้ผู้คนจากแคว้นถังมายังแคว้นเจียง มันก็ได้สร้างความจงเกลียดจงชังขึ้นในใจของชาวเมืองหลวง เพราะต่างย่อมรู้ดีว่าแคว้นเจียงและแคว้นถังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ต่อสู้กันมาช้านาน ผู้คนมากมายเท่าไรของแคว้นเจียงต้องสูญเสียเลือดเนื้อด้วยน้ำมือของกองทหารม้าแห่งแคว้นถัง ?

โดยเฉพาะคนยากจน ซึ่งส่วนใหญ่มีคนที่รักต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือทหารแคว้นถัง

…เช่นเดียวกับทหารที่อยู่ในเมืองหลวง ด้วยมีเพื่อนสนิทมิตรสหายของพวกเขามากมายเท่าใดที่ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดจากฝีมือทหารแคว้นถัง ?!

กระนั้น สถานศึกษาฉางมู่ยังอุตส่าห์เชื้อเชิญให้คนของแคว้นถังเข้ามากำจัดเยี่ยฉวน ซึ่งเป็นคนของแคว้นเจียง จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายต่อหลายคนไม่ลังเลที่จะเลือกเข้าข้างเยี่ยฉวน

ทว่านอกจากความกลัว ผู้คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเก็บกักความโกรธเคืองไม่พอใจต่อฉางมู่ไว้ภายในจิตใจของพวกเขา !

แต่ตอนนี้เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายในการกำจัด สถานศึกษาฉางมู่ถึงกับลักพาตัวน้องสาวของเยี่ยฉวน จับตัวเยี่ยหลิงมาเป็นตัวประกัน !

ทั้งที่นางเป็นเด็กน้อยธรรมดา ๆ!

การกระทำของสถานศึกษาฉางมู่ในครั้งนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ชาวเมืองหลวงโกรธจัดและในที่สุดพวกเขาก็กล้าแสดงความโกรธขึ้งออกมา

ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ตามถนนหนทาง ผู้คนมีแต่พูดคุยเกี่ยวกับการกระทำของสถานศึกษาฉางมู่ แต่เป็นไปในทำนองดูถูกเหยียดหยามทั้งสิ้น

กล่าวให้ถูก สถานศึกษาฉางมู่ยังคงมีชื่อเสียง หากเป็นชื่อเสียงไปในทางเหม็นเน่าฉาวโฉ่เสียมากกว่า !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset