บทที่ 169 เคล็ดวิชาเพลงกระบี่เป็นเช่นนี้หรือ ? (ต้น)
ณ เชิงเขาฉางหลาน
เยี่ยฉวนที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าพลันยั้งฝีเท้าหยุดกึก
เบื้องหน้ามีคนสามคนยืนเรียงกันทั้งหมดคือโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อ และจี้อันซื่อ
เยี่ยฉวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่เกี่ยว”
โม่อวิ๋นฉีหน้าเสีย ทำท่าทางฮึดฮัด “เจ้าบ้า พูดแบบนี้ได้ยังไง… เหมือนไม่ได้เห็นพวกเราเป็นพี่เป็นน้องอย่างนั้นแหละ !”
ชายหนุ่มอ้าปากจะพูด ทว่าโม่อวิ๋นฉีกลับเอ่ยขัดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องมากความ น้องเยี่ยหลิงไม่ใช่น้องของเจ้าคนเดียว แต่ถือเป็นน้องของพวกเราด้วยเหมือนกัน…” จากนั้นก็เอื้อมมือมาตบบ่าของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบใจ
“ข้าจะไม่ถือสาคำพูดของเจ้าหรอกนะ ไปกันเถอะ !”
เยี่ยฉวนมองหน้าคนทั้งสาม ก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา คนทั้งสี่ขึ้นไปบนเรือเหาะ มุ่งหน้าสู่ปลายทางที่แคว้นหนิง !
กลุ่มของเยี่ยฉวนเพิ่งขึ้นมาบนเรือเหาะ ไม่นานก็มีชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เมื่อเห็นเยี่ยฉวนผู้มาใหม่ อีกฝ่ายพลันกระแทกกำปั้นแสดงคารวะ
“ขอต้อนรับคุณชายเยี่ย ข้าเป็นหัวหน้าดูแลเรือเหาะลำนี้ โปรดเรียกข้าว่าหัวหน้าหลีเถิดขอรับ”
ชายชรากวาดตามอง ก่อนกล่าวว่า “บนเรือเหาะลำนี้ผู้โดยสารมีเพียงพวกท่านสี่คนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย พวกท่านวางใจได้ เราได้รับคำสั่งจากนายเหนือหัวที่กำชับให้ดูแลพวกท่านให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย บนเรือเหาะลำนี้ได้จัดคนอารักขาที่กล้าแกร่งไว้ตามจุดต่าง ๆ อีกทั้งจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัยยังติดตามให้การอารักขาแก่ท่านเป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าพวกสถานศึกษาฉางมู่คิดจู่โจมในทางลับ สำนักอัปสรเมรัยจะสกัดพวกมันก่อนทันที !”
หลังได้ยินสิ่งที่หัวหน้าหลีพูดชัดเจน โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นพลันมีสีหน้าตกตะลึง เหตุเพราะความโอหังและมั่นใจในตัวเองของสำนักอัปสรเมรัยไม่ได้ด้อยกว่าสถานศึกษาฉางมู่เลย ! ทว่าปฏิกิริยาที่สำนักอัปสรเมรัยต่อเยี่ยฉวนนั้น…
เรียกได้ว่าประจบประแจง !
เยี่ยฉวนห่อกำปั้นแสดงคารวะขอบใจหัวหน้าหลีผู้นั้น “ขอบใจพวกท่านมาก ข้าจะจดจำความกรุณานี้ไว้ !”
เมื่อได้ยินผู้อ่อนอาวุโสกว่าตอบรับ ชายชราจึงเหยียดมุมปากยิ้มด้วยยินดี “คุณชายเยี่ย ท่านจ้าวหอสั่งการให้ข้าส่งคนไปสืบแผนการจากทางฉางมู่แล้ว หากมีความคืบหน้าข้าจะรีบแจ้งให้พวกท่านทั้งสี่ทราบก่อนถึงแคว้นหนิงแน่นอนขอรับ !”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ขอบใจมาก !”
คนที่ชื่อหัวหน้าหลียังคงยิ้มแย้ม “ตอนนี้พวกท่านเชิญพักผ่อนตามสบาย หากประสงค์สิ่งใดแจ้งข้าได้ทุกเวลา” หลังจากคารวะอำลาแล้วคนพูดจึงกลับออกไป
ทันทีที่ลับหลังชายชรา โม่อวิ๋นฉีพลันหันมามองเยี่ยฉวน สายตาแสดงออกว่าทึ่งไม่น้อย “ถามจริง ๆ เถอะ เจ้าเป็นลูกชายที่แอบไปไข่ทิ้งของอีตาจ้าวหอแห่งสำนักอัปสรเมรัยหรือไง ?”
เยี่ยฉวนส่ายหน้า พลางพ่นลมออกจมูก ลูกชายบ้าอะไร ? แน่นอน มีแต่เยี่ยฉวนคนเดียวที่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมสำนักอัปสรเมรัยจึงมาทำดีกับเขา เพราะสตรีลึกลับผู้นั้นต่างหาก ! จากนั้นจึงหันไปพูดกับพรรคพวก “พวกเจ้าแยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ !”
ก่อนจะหันหลังเดินกลับห้องพักส่วนตัว โดยมีสายตาครุ่นคิดของจี้อันซื่อมองตาม นางหันหลังกลับและเดินตามออกไป
เยี่ยฉวนออกไปแล้ว เสียงโม่อวิ๋นฉีพึมพำ “คนผู้นี้… เคราะห์ดีจริง ๆ ที่ข้าไม่ได้เป็นศิษย์สถานศึกษาฉางมู่ไร้ยางอายนั่น !
ไป๋เจ๋อพยักเพยิดมาจากอีกด้าน “ไร้ยางอายสิ้นดี !”
โม่อวิ๋นฉีจึงบหันมาพูดกับเขาว่า “จริง ๆ นะ ไอ้ยักษ์ ไม่งั้นป่านนี้มีหวังพวกเราตายแหง”
ไป๋เจ๋อ สีหน้าไม่แน่ใจ “ตายพร้อมเจ้า… หรือบ้างทีข้าอาจต้องคิดใหม่ทำใหม่กัน… ?”
“ไอ้บ้า…” โม่อวิ๋นฉีค้อนประหลับประเหลือก
…
เยี่ยฉวนเดินเข้ามาในห้องพัก ทว่าเขาหมุนตัวกลับในพลัน พร้อมทั้งยังใช้สายตาปะทะเข้ากับคนที่ยืนตรงช่องประตูเป็นจี้อันซื่อ !
นางเดินตามเข้ามาเงียบ ๆ และเข้าหยุดเบื้องหน้า “ข้าเชื่อว่าฉางมู่ไม่กล้าทำอันตรายต่อน้องของเจ้า”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ข้ารู้” สถานศึกษาฉางมู่ไม่กล้ากระทำรุนแรงต่อเยี่ยหลิงอย่างแน่นอน เพราะหากเยี่ยหลิงเป็นอะไรไป พวกมันจะขาดตัวประกันที่สามารถใช้ต่อรอง ทั้งอาจถูกอาจารย์ใหญ่จี้ล้างแค้นกลับอย่างน่ากลัว
พวกฉางมู่ไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของศัตรู !
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยเยี่ยฉวน เพราะถ้าปล่อยให้เยี่ยฉวนเติบใหญ่แกร่งกล้าขึ้นเรื่อย ๆ อนาคตของสถานศึกษาฉางมู่คงมีแต่จะดับมืดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
จี้อันซื่อมองหน้าเยี่ยฉวนก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็ควรพักได้แล้ว พวกเรารับปากว่าจะช่วยพาน้องของเจ้ากลับมาให้ได้”
เยี่ยฉวนมองหญิงสาว สายตาฉายแววขอบคุณอย่างซึ้งใจ “พวกเจ้าก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้มีแต่อันตราย !”
หญิงสาวจ้องลึกลงในแววตาของอีกฝ่าย “ถ้าไม่อันตราย พวกเราก็ไม่มาด้วยน่ะซี !” พูดจบล้วงมือลงไปในห่อสัมภาระของตน จากนั้นจึงหยิบซาละเปาอุ่นสองลูกขึ้นมาส่งให้เยี่ยฉวน “กองทัพเดินด้วยท้อง !”
เยี่ยฉวน “…”
จากนั้นจี้อันซื่อก็หันหลังเดินกลับออกไปเงียบ ๆ
ภายในห้องพัก เยี่ยฉวนนั่งอยู่บนม้านั่งเพียงตัวเดียวในห้องนั้น ก่อนจะล้วงหยิบเอาหุ่นไม้แกะสลักตัวเล็กที่เคยแกะเป็นรูปเยี่ยหลิงออกมา สายตาแน่วแน่ของเยี่ยฉวน จ้องมองหุ่นไม้แกะสลักในมือนิ่งนาน !
อ่อนแอ !
หลายวันก่อน เขาเคยคิดว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน จนตอนนี้ อาจมีเพียงอันหลานซิ่วเท่านั้นที่สามารถรับมือเขาได้
ทว่าไม่เป็นความจริงสักนิด และถ้าจะให้พูด ก็คือเขาหาได้รู้สึกภาคภูมิใจแม้สักน้อย !
ด้วยเวลานี้ โลกแห่งความเป็นจริงอันแสนเจ็บปวดได้เตือนให้รู้ว่าที่จริงแล้วเขามีแต่ความอ่อนแอ !
เหตุการณ์ที่เยี่ยหลิงถูกหลี่ซ่วนชางและชายในชุดดำลักพาตัวไป เขาในฐานะพี่ชายทำอะไรได้บ้าง ?
สิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้แต่มองดูเฉย ๆ หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ใหญ่จี้ห้ามไว้ เขาคงกลายเป็นศพไปแล้วแน่ !
ทว่าชายหนุ่มไม่นึกโทษใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่จี้หรือคนอื่น ! และถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษความอ่อนแอของตนเอง !
“ข้าเป็นคนอ่อนแอ !”
เยี่ยฉวนหลับตาลงช้า ๆ!
เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงไม่มีสิทธิร้องขอ !
เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงเป็นได้เพียงผู้ที่ถูกรังแก !
เพราะความเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงต้องจำทนกับความอยุติธรรม !
เยี่ยฉวนประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าหากันบีบจนแน่น ทำให้ภายในฝ่ามือเกิดกระแสโลหิตพลุ่งพล่าน !
เช่นเดียวกับที่ภายในร่างกาย กระบี่หลิงซิ่วกำลังสะท้านสะเทือนหนักหน่วงขึ้นทุกที ๆ ก่อนที่ในที่สุดร่างทั้งร่างของเยี่ยฉวนจะสั่นสะท้าน !
โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานอีกเท่าใด บังเกิดกระแสคลุมเครือแห่งเคล็ดวิชาหลั่งไหลซึมซาบออกมานอก… ทันใดนั้น กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวลอยละล่องเรื่อยลงมาจากชั้นที่สอง บนกระดาษคือภาพของกระบี่เล่มหนึ่งล้อมรอบด้วยกระแสแห่งเคล็ดวิชากระบี่ !!
เบื้องหลังกระแสแห่งเคล็ดวิชานั้นคือกระบี่ขนาดใหญ่ จึงเห็นได้ชัดว่า เยี่ยฉวนกำลังถามหาความเข้าใจในเคล็ดวิชากระบี่ที่ได้มาจากชั้นที่สอง… !!
ณ เมืองหลวง
ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า ใครปล่อยข่าวที่สถานศึกษาฉางมู่บุกไปลักพาตัวเยี่ยหลิง ดังนั้นเพียงชั่วข้ามคืนข่าวจึงแพร่สะพัดออกไปทั่วเขตเมืองหลวง
เมื่อชาวเมืองรับรู้ข่าว ความเดือดดาลของชาวเมืองจึงเริ่มปะทุ ! พวกเขาต่างโกรธขึ้งยิ่งนัก !
เดิมทีคนส่วนใหญ่ไม่ใคร่ชอบใจกับสถานศึกษาฉางหลานอยู่มาก ด้วยธรรมชาติของคนที่มักเข้าข้างฝ่ายที่แข็งกว่า แกร่งกว่า ซึ่งสถานศึกษาฉางหลานมักเป็นฝ่ายที่แสดงความอ่อนแอและพ่ายแพ้ให้กับสถานศึกษาฉางมู่มาโดยตลอด จึงเป็นเหตุผลที่ชาวเมืองจึงเลือกที่อยู่ข้างเดียวกับฉางมู่ !
ในโลกความจริง ทุกคนล้วนปรารถนาความเข้มแข็ง !
แต่ถึงกระนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังมานี้ โดยเฉพาะในวันที่ฉางมู่เรียกร้องให้ผู้คนจากแคว้นถังมายังแคว้นเจียง มันก็ได้สร้างความจงเกลียดจงชังขึ้นในใจของชาวเมืองหลวง เพราะต่างย่อมรู้ดีว่าแคว้นเจียงและแคว้นถังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ต่อสู้กันมาช้านาน ผู้คนมากมายเท่าไรของแคว้นเจียงต้องสูญเสียเลือดเนื้อด้วยน้ำมือของกองทหารม้าแห่งแคว้นถัง ?
โดยเฉพาะคนยากจน ซึ่งส่วนใหญ่มีคนที่รักต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือทหารแคว้นถัง
…เช่นเดียวกับทหารที่อยู่ในเมืองหลวง ด้วยมีเพื่อนสนิทมิตรสหายของพวกเขามากมายเท่าใดที่ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดจากฝีมือทหารแคว้นถัง ?!
กระนั้น สถานศึกษาฉางมู่ยังอุตส่าห์เชื้อเชิญให้คนของแคว้นถังเข้ามากำจัดเยี่ยฉวน ซึ่งเป็นคนของแคว้นเจียง จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายต่อหลายคนไม่ลังเลที่จะเลือกเข้าข้างเยี่ยฉวน
ทว่านอกจากความกลัว ผู้คนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเก็บกักความโกรธเคืองไม่พอใจต่อฉางมู่ไว้ภายในจิตใจของพวกเขา !
แต่ตอนนี้เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายในการกำจัด สถานศึกษาฉางมู่ถึงกับลักพาตัวน้องสาวของเยี่ยฉวน จับตัวเยี่ยหลิงมาเป็นตัวประกัน !
ทั้งที่นางเป็นเด็กน้อยธรรมดา ๆ!
การกระทำของสถานศึกษาฉางมู่ในครั้งนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ชาวเมืองหลวงโกรธจัดและในที่สุดพวกเขาก็กล้าแสดงความโกรธขึ้งออกมา
ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ตามถนนหนทาง ผู้คนมีแต่พูดคุยเกี่ยวกับการกระทำของสถานศึกษาฉางมู่ แต่เป็นไปในทำนองดูถูกเหยียดหยามทั้งสิ้น
กล่าวให้ถูก สถานศึกษาฉางมู่ยังคงมีชื่อเสียง หากเป็นชื่อเสียงไปในทางเหม็นเน่าฉาวโฉ่เสียมากกว่า !