หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 173 พี่จะไปพาเจ้ากลับบ้าน ! (ต้น)

บทที่ 173 พี่จะไปพาเจ้ากลับบ้าน ! (ต้น)

ใครก็ต่างเห็นได้ชัด ว่าเวลานี้จิตใจของเยี่ยฉวนผิดเพี้ยนไปจากเดิม ชาวเมืองที่เข้ามาร่วมมุงในตอนแรก ถึงตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ทุกคนแตกตื่นพากันเผ่นหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง

ขณะเดียวกันสหายของเยี่ยฉวน จี้อันซื่อ โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อต่างก็รีบตามมาข้างหลัง เมื่อเห็นเขากำลังทำท่าจะเข้าจู่โจมฝ่ายคู่ต่อสู้ โม่อวิ๋นฉีก็พลันพุ่งเข้ารวบตัวเยี่ยฉวนจับยึดแน่นไว้ก่อน “พี่ใหญ่ ใจเย็น ช่วยใจเย็นลงสักนิดก่อน…”

เยี่ยฉวนหันมามองคนพูด แววตาว่างเปล่า สีหน้างงงวย กลับถามโม่อวิ๋นฉีผู้ที่เข้ามาฉุดจากด้านหลัง “เจ้าจะทำอะไร ?”

“ขะ…ข้า” โม่อวิ๋นฉีสะอึก และเป็นฝ่ายฉงนเสียเอง “เจ้า จำไม่ได้เหรอว่าเมื่อตะกี้เกิดอะไรขึ้น ?”

เยี่ยฉวนหน้างงหนัก ย่นหัวคิ้วจนแทบจะติดกัน “เกิดอะไรขึ้น ?”

โม่อวิ๋นฉี “…”

จังหวะนั้นเอง ไป๋เจ๋อชี้ให้เยี่ยฉวนดูร่างไร้วิญญาณ ที่กระจัดกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้นไม่ห่างออกไป

เยี่ยฉวนหันตามไปที่ร่างคนตาย จากนั้นก็หันขวับมองถามโม่อวิ๋นฉีเสียงเข้ม สีหน้าสงสัยยิ่งนัก “ฝีมือเจ้าหรือ ?”

คนฟังถึงกับสะดุ้งเฮือก “เฮ้ย พูดม้า ๆ ได้ไง นี่เจ้าจำไม่ได้จริงหรือแกล้งหลอกพวกเราเล่นกันแน่ ?”

บริเวณหัวคิ้วของคนฟังปรากฏร่องลึกมากขึ้น “ข้า… เหรอ ?” เยี่ยฉวนจิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าอกตนเอง

โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นหันมองหน้ากัน ต่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูก “…”

เยี่ยฉวนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ช่างเหอะ ถ้างั้นพวกเรารีบไปสถานที่แห่งความลับกัน !” ว่าแล้วคนพูดพร้อมด้วยกระบี่ในมือพลันออกเดินทิ้งระยะห่างออกไป

ทางเบื้องหลัง เสียงโม่อวิ๋นฉีพึมพำ “ดูท่า เจ้านั่นเหมือนไม่ได้แกล้ง !” ทั้งไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อพยักพร้อมกันอย่างเห็นคล้อยตาม

โม่อวิ๋นฉีถอนใจเฮือก “ความผูกพันธ์ของพี่น้อง… ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับน้องของเขา ข้าไม่อยากคิดเลยจริง ๆ ว่าเจ้านั่นจะเป็นยังไง อนิจจา ไป รีบตามไปเร็ว !” จากนั้นคนทั้งสามก็รีบจ้ำอ้าวออกตามเยี่ยฉวน

เยี่ยฉวนเวลานี้ ผิดแผกไปจริง ๆ!

ข่าวลือเหตุการณ์ที่เยี่ยฉวนสังหารศิษย์ฉางมู่แห่งแคว้นหนิงตายกว่าสิบคนแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เพียงหลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์ฉางมู่นับสิบต่างพากันแล่นออกนอกสถานศึกษามุ่งหน้าไปทางที่พวกเยี่ยฉวนเดินลับไป

ณ กึ่งกลางจุดตัดบนถนน เยี่ยฉวนและพวกพลันชะงักฝีเท้าหยุด ด้วยปรากฏว่ามีกลุ่มศิษย์ฉางมู่ถลันออกมาขวางทางเบื้องหน้า

ในบรรดากลุ่มศิษย์ คนท่าทางเป็นหัวหน้าก้าวออกมาด้านหน้าพลางชี้หน้าเยี่ยฉวน ส่งเสียงตวาดดังลั่น สีหน้าดุร้าย “ที่นี่เป็นแคว้นหนิง ไม่ใช่แคว้นเจียงของเจ้า เจ้า…”

ทันใดนั้น เยี่ยฉวนหายวับจากจุดที่อยู่ไปต่อหน้าต่อตา หลังเห็นเช่นนั้น สีหน้าของคนพูดไม่ทันจบประโยคพลันแปรเปลี่ยนสิ้นเชิง ขณะเดียวกันสาวเท้ากระถดถอย ทว่าทันใดนั้น แสงกระบี่ก็ได้พุ่งวาบตรงเข้ามาที่ตัวฉับไวปานสายฟ้าแล่บ !

กระบี่เคลื่อนไหวว่องไวสุดประมาณ !

ฉัวะ !

มิทันที่คนจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ ศีรษะก็ได้กระเด็นหลุดจากบ่าเจ้าของไปอย่างรวดเร็ว

แต่เยี่ยฉวนไม่หยุดยั้ง เมื่อความคิดยังเลื่อนไหลภายในหัวกระบี่หลิงซิ่วพลันทะยานออกอีกคราหมายคร่าดวงวิญญาณ มิทันไรร่างของศิษย์ฉางมู่เคราะห์ร้ายคนที่สองก็ได้ขาดสะบั้นกว่าครึ่งท่อนจรดเอว…”

ภาพของศิษย์ร่วมสถานศึกษาล้มตายลงต่อหน้า คนที่เหลือนัยน์ตาเหลือกแทบถลน ตอนนั้นศิษย์ฉางมู่ต่างพากันถอยหลังตั้งจะใจหนีออกไปให้เร็วที่สุด ถึงกระนั้น เยี่ยฉวนกลับไม่ลังเล เขาทะยานไล่ตามกลุ่มคนที่กำลังล่าถอยอย่างไม่ลดละ

“เฮ้ย เจ้ากล้าดียังไง ?!” สิ้นเสียงคำรามดังสนั่น ร่างของคนผู้หนึ่งทะยานมาในอากาศ ฉับพลันนั้นเองกระแสพลังที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่งผลักออกปะทะเข้าที่เยี่ยฉวน

ยอดยุทธ์ขั้นสันโดษ ! เยี่ยฉวนเหลือบมองผู้ที่ปรากฏตัวมาทางด้านบน ที่นั่น ชายชราผู้หนึ่งลอยตัวกลางอากาศเขม้นมองเยี่ยฉวน แววตามุ่งร้ายหมายเอาชีวิตอย่างไม่ปิดบัง

ผู้ที่ปรากฏตัวทำท่าอ้าปากจะพูดบางสิ่ง เยี่ยฉวนพลันกระทืบเท้าขวาลงบนพื้นรุนแรง ผลักส่งให้ร่างทะยานขึ้นสูงสู่เบื้องบนเป้าหมายคือชายชราที่ในอากาศ ! “หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !”

คนที่ลอยตัวกลางอากาศสีหน้าเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ตวัดม้วนฝ่ามือและผลักออกอย่างรุนแรง

เปรี้ยง !

คลื่นพลังที่มองไม่เห็นเอียงวูบลงมาจากท้องฟ้า ถึงกระนั้นลำแสงกระบี่กลับตวัดกวาดจากเบื้องล่างขึ้นสู่เบื้องบน ฉีกคลื่นพลังซึ่งพุ่งลงจนละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่ชั่วขณะหนึ่งต่อมา…

ฉับ !

ศีรษะคนแดงฉานชุ่มโชกด้วยโลหิต ตกลงมาจากท้องฟ้า !

ทุกคนที่อยู่บนพื้นล่างตกตะลึงไปตามกัน โดยเฉพาะกลุ่มศิษย์ฉางมู่ซึ่งถอยห่างออกไปไม่ไกล พวกมันตะลึงลานนิ่งขึงตัวแข็งทื่อ !

ชายชราผู้นั้นที่แท้คือผู้อาวุโสแห่งสถานศึกษาฉางมู่จากสาขาอื่น !

อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นยอดยุทธ์ขั้นสันโดษ !

อย่างไรก็ตาม เยี่ยฉวนสังหารยอดยุทธ์ผู้นี้ได้ด้วยกระบี่เดียวเท่านั้นหรือ ?

พวกของเยี่ยฉวน ไม่ว่าจะเป็นโม่อวิ๋นฉีหรือคนอื่นต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน ทั้งก็รู้ว่าระดับพลังของเยี่ยฉวนนั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก จึงไม่แปลกถ้าความกล้าแกร่งนั้นสามารถจู่โจมคนที่เป็นยอดยุทธ์ขั้นสันโดษจนพ่ายแพ้ ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย ที่เยี่ยฉวนสามารถสังหารยอดยุทธ์ขั้นสันโดษได้อย่างฉับพลันทันใด !

เยี่ยฉวนปลิดชีพคนผู้นั้นอย่างฉับพลัน !

ขณะที่เยี่ยฉวนซึ่งลอยตัวบนอากาศ ภายหลังจากที่จัดการเก็บกระบี่แล้วจึงทะยานลงมายืนอย่างมั่นคง จากนั้นเขาเหลือบตาไปทางกลุ่มศิษย์ฉางมู่ที่ยืนรวมกันไม่ห่างไปนัก พลันพวกนั้นคงจะเพิ่งหายจากอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นคนที่ลงมายืนเบื้องหน้าพวกเขาสีหน้าซีดเผือดในทันที ต่างเตรียมหันหลังวิ่งหนี…

เยี่ยฉวนทำท่าจะไล่ติดตาม โม่อวิ๋นฉีที่เห็นท่าไม่ดี เขาจึงปรี่เข้าขวางหน้าเยี่ยฉวนพลางฉวยดึงแขนของอีกฝ่ายและจับไว้อย่างแน่นหนา “พี่ใหญ่ หยุด หยุดไล่ตามพวกนั้นก่อน ข้าว่าพวกเรารีบออกตามหาน้องของเจ้าก่อนดีกว่า ช่วยนางกลับมาได้เมื่อไร เรื่องอื่นค่อยว่ากัน…”

โม่อวิ๋นฉีเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างเช่นกัน เยี่ยฉวนผิดปกติไปจริง ๆ หรือไม่ภายในจิตใจของเขาอาจมีบางสิ่งผิดแผกไปจากเดิม !

เวลานี้เยี่ยฉวนต้องการสังหารคู่ต่อสู้ทุกคนที่พบเจอ ยิ่งสังหารมากเท่าไร ก็กลายเป็นไอสังหารยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

“พวกเราต้องตามหาเยี่ยหลิงให้พบโดยเร็ว ยิ่งช้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านั่นจะทำเรื่องน่าสยดสยองอะไรมากกว่านี้หรือไม่ !” โม่อวิ๋นฉีเร่งฝีเท้าตามไปเงียบ ๆ ขณะเดียวกันท่าที่รั้งแขนเยี่ยฉวนไว้ก็ยังไม่ยอมปล่อย ทันใดเยี่ยฉวนหันมามองหน้าคนเดินข้าง “นี่เจ้าจอมกะล่อน ยื้อแขนข้าเอาไว้ทำไม ?”

โม่อวิ๋นฉีได้แต่นิ่งเงียบ “…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset