หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 174 พี่จะไปพาเจ้ากลับบ้าน ! (ปลาย)

บทที่ 174 พี่จะไปพาเจ้ากลับบ้าน ! (ปลาย)

อีกราวครึ่งชั่วยามต่อมา กลุ่มของเยี่ยฉวนก็ได้เดินทางมาถึงเทือกเขาหยก ความสูงใหญ่ของภูเขาที่ตั้งตระหง่าน มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา

หลังจากนั้นเยี่ยฉวนและคนทั้งสามเริ่มเดินเข้าสู่ทางขึ้นเขาใหญ่โต ไป๋เจ๋อพลันมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษด้วยหัวคิ้วของคนร่างใหญ่ย่นเข้าหากันตลอดเวลา “ข้ารู้สึกแปลก ๆ!”

คนทั้งสี่จึงหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนไป๋เจ๋อจะย่อตัวลงจนเกือบชิดพื้น พลางก้มลงสูดจมูกไปตามพื้นดิน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองเยี่ยฉวนและคนอื่น “ที่นี่มีกลิ่นมนุษย์แรงทีเดียว และมีมากกว่าหนึ่งคน !”

มีหลายคน ! โม่อวิ๋นฉีได้ยินเช่นนั้น เขาหันมาทางเยี่ยฉวนอ้าปากจะพูด แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นเดินนำออกห่างไปไกลแล้ว

“ข้าไม่กลัว ข้าจะจัดการศัตรู ส่วนพวกเจ้าคอยช่วยฝังพวกมันแทนข้าให้ทีก็แล้วกัน !” เสียงเยี่ยฉวนร้องดังมาจากด้านหน้า กล่าวจบเขาเร่งฝีเท้าเดินลิ่วไม่เหลียวหลัง !

คนทั้งสามมองตามหลังเยี่ยฉวน แต่ละคนล้วนมีสีหน้าแปลกไป และโม่อวิ๋นฉีพลันรีบแจ้นตามหลังไปก่อนคนอื่น ปากร้องเรียกเยี่ยฉวนดังลั่น “หัวโขมยที่เยี่ย เดี๋ยวสิช้าก่อน ๆ…”

เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าวิ่งเต็มสปีด โดยมีโม่อวิ๋นฉีและคนอื่นไล่ตามมาติด ๆ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เยี่ยฉวนชะงักฝีเท้าหยุดทันที และเมื่อเขาหยุดเช่นนั้น โม่หยุนและคนอื่นที่รีบตามมาก็พลันทำท่าจะเอ่ยปากพูด ทว่าเยี่ยฉวนกลับชี้ลงไปที่พื้นดินเบื้องหน้า ทำให้โม่อวิ๋นฉีเบนสายตามองตามที่มือชี้แต่กลับไม่พบร่องรอยผิดปกติแต่อย่างใด จะยกเว้นก็แต่กองใบไม้ทับถมจนเต็มพื้นดินเท่านั้น

ในตอนนั้นเอง เยี่ยฉวนใช้ปลายเท้าข้างขวาเตะไปเบา ๆ ที่กองใบไม้ ทันใดนั้นก้อนหินใหญ่พลันถูกเหวี่ยงลงมาบนพื้นดินไม่ไกลจากเบื้องหน้าของทุกคน

เปรี้ยง ! เสียงดังสนั่นราวพื้นดินถล่ม ในเวลาเดียวกันลูกธนูนับไม่ถ้วนพลันถูกยิงจากท้องฟ้าลงสู่พื้นดิน ลูกธนูนับร้อยถูกยิงต่อเนื่องออกมาเรื่อย ๆ นับร้อยดอก ที่ส่วนปลายธนูเคลือบด้วยของเหลวชนิดหนึ่งมีสีเขียว เป็นยาพิษที่มีอานุภาพร้ายแรง

เมื่อเห็นเช่นนั้น โม่อวิ๋นฉีสีหน้าแปรเปลี่ยน มองภาพที่เห็นด้วยความตื่นตะลึง ถ้าพวกเขาคนใดพลาดเดินเข้าไป ไม่แคล้วถูกยิงด้วยลูกธนูอาบยาพิษนับร้อยปักเต็มแผ่นหลังเหมือนตัวเม่นแน่ !

ต่อมาเยี่ยฉวนแตะปลายเท้าลงบนพื้นเบา ๆ ฉับพลันร่างทะยานขึ้นสู่อากาศเยื้องไปทางขวาซึ่งเขาสังเกตเห็นคนสามคนที่ซ่อนบนกิ่งไม้ใช้ความหนาแน่นของพุ่มใบปกปิดมิดชิด !

เมื่อคนทั้งสามเห็นว่าเยี่ยฉวนเปิดเผยที่ซ่อนของมัน ทั้งหมดสีหน้าเปลี่ยนสิ้นเชิง มันหันมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจออกพลังปะทะ แต่ทว่าช้าไปเสียแล้วด้วยกระบี่ของเยี่ยฉวนหายวาบออกจากอุ้งมือ และหลังจากนั้น…

ฉัวะ ! ฉัวะ ! ฉัวะ !

ศีรษะของคนทั้งสามขาดสะบั้น กระเด็นหลุดจากบ่าแทบจะในเวลาเดียวกัน !

เยี่ยฉวนลดตัวลงบนพื้นดินอย่างนิ่มนวล ฉับพลันเขาเหินออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเร่งความเร็วขึ้นทุกขณะ ดังนั้นเพียงระยะเวลาอันสั้น เขาก็มาถึงยังโคนต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง ด้วยสายตาสังเกตเห็นรอยเท้าขนาดเล็กปรากฏบริเวณช่วงกลางลำต้น

สรรพเสียงรอบข้างพลันสงบเงียบ

ชิ้งงงง ! กระบี่หนึ่งทะยานสู่ฟากฟ้า พลันกระบี่หลิงซิ่วหวนกลับคืนสู่อุ้งมือ

ทว่าที่ปลายเท้า ปรากฏศีรษะคนตกลงบนพื้น ! เยี่ยฉวนยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นทิ้งน้ำหนักที่ฝ่าเท้ากดกระแทกลงบนศีรษะที่ตกอยู่บนพื้นครั้งเดียวแหลกละเอียด

“น่าประทับใจยิ่งนัก !” เสียงของคนดังก้องขึ้นไม่ห่างออกไป

เยี่ยฉวนเงยหน้ามอง ที่เบื้องหน้าสายตาปะทะกับชายผู้มีผมยาวที่ยืนห่างออกไปกว่าสามจั้งเศษ ใบหน้านั้นนับได้ว่าอัปลักษณ์น่าเกลียด โดยเฉพาะส่วนริมฝีปากซึ่งแหว่งหายไป นอกจากนั้น นัยน์ตาทั้งคู่ก็มีขนาดเล็กราวกับตาหนู คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าเป็นคนที่มีใบหน้าอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัวมากคนหนึ่ง

ชายผู้มาใหม่แสยะยิ้ม “เจ้าเป็นคนที่มีค่าหัวสูงยิ่งนัก นึกอยู่แล้วว่าฝีมือย่อมไม่ธรรมดา แต่… นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ข้าได้ยินว่าน้องของเจ้าถูกจับไปไว้ในสถานที่แห่งความลับ พวกข้าจะคอยเจ้าที่นั่นก็แล้วกัน แต่อย่าช้านักล่ะ หึหึ…” หลังจากนั้น ร่างของคนสะท้านสั่น ก่อนหายวับไปปรากฏในระยะไกล

เยี่ยฉวนหายวับไปในเวลาปานกัน ทว่าความเร็วของเขาเทียบไม่ได้กับชายผมยาว ดังนั้นระยะห่างระหว่างเยี่ยฉวนกับคนผมยาวที่นำลิ่วจึงทิ้งห่างออกไปทุกที ๆ

ชายผมยาวหันมามองจากระยะไกล เหลือบตามองเยี่ยฉวนเย้ยหยัน “เร่งหน่อย ๆ  ชักช้านักน้องของเจ้ากลายเป็นผีเฝ้าสถานที่แห่งความลับแน่ ฮ่าฮ่า…”

แต่แล้ว จู่ ๆ มีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏออกเบื้องหน้าชายผมยาว ที่แท้คือโม่อวิ๋นฉี

โม่อวิ๋นฉีเหยียดมุมปาก พูดกับชายผมยาว “คิดว่ามีเจ้าคนเดียวที่ใช้ความเร็วได้ หรือยังไง ?”

ทันทีที่จบคำของโม่อวิ๋นฉี เขาหายออกจากที่ไปบัดดล ขณะนั้นปรากฏภาพขึ้นในลานกว้างอย่างปัจจุบันทันด่วน !

เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ชายผมยาวสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาตัดสินใจลอยตัวถอยห่างและขณะเดียวกันผลักออกฝ่ามือข้างขวา ก่อนพลันเกิดแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าพุ่งออกจากกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว !

จากที่สายตาเห็น โม่อวิ๋นฉีทะยานพร้อมเบี่ยงกายหลบอาวุธลับที่ถูกส่งออกมาวูบ ทำให้เกิดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของชายผมยาวดังมาในระยะห่างขณะที่เขากำลังจะออกพลังต้านทาน !

โม่อวิ๋นฉีพลันหันไปทางเสียงโหยหวน ไม่ไกลนักร่างของชายผมยาวนอนกองอยู่กับพื้น ด้วยเพราะเยี่ยฉวนตัดขาทั้งสองข้างของเขาเสียแล้ว !

ในเวลานี้เยี่ยฉวนยังไม่ต้องการให้คนผมยาวตายลงทันที จึงเสียบปลายกระบี่ปักลงไปที่บริเวณไหปลาร้าของคนที่พื้นดิน จากนั้นก็ลากร่างคนทั้งที่มีกระบี่เสียบคอเดินออกไป บนพื้นทิ้งรอยคราบโลหิตไหลลากยาวทางเบื้องหลัง !

เสียงดุร้ายโหยหวน “ไอ้สารเลว ฆ่าข้าเสียสิเว้ย ข้าอยากตาย ๆ…”

เยี่ยฉวนไม่ไยดีต่อเสียงที่อ้อนวอน ยังคงลากร่างคนไปเรื่อย ๆ สีหน้าเฉยเมย

ในตอนนั้นไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อเพิ่งตามมาทันกัน โม่อวิ๋นฉีพึมพำให้พอได้ยินพลางถอนใจ “ไอ้คนพวกนี้… คิดผิดเสียแล้วมั้ง ดันยั่วยุให้พี่ชายโรคจิตหวาดระแวงกลัวน้องเป็นอันตราย โกรธเคืองถึงขนาดนี้ ?!

พี่ชายโรคจิตระแวงกลัวน้องเป็นอันตราย !

จากการได้อยู่ร่วมกันกับเยี่ยฉวนมาระยะหนึ่ง พวกเขาพบว่าโดยปกติเยี่ยฉวนเป็นคนมีนิสัยขี้เล่น อีกทั้งไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่ว่าจะกับคนหรือสัตว์ อย่างไรก็ตาม น้องสาวเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียว ที่เขาจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง !

หากใครกล้ามาแตะต้องหรือทำร้ายน้องสาวของเขา คนผู้นี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ทันที โรคจิตระแวงกลัวน้องเป็นอันตราย คำคำนี้นับว่าอธิบายชายหนุ่มเยี่ยงเยี่ยฉวนได้อย่างแท้จริง !

โม่อวิ๋นฉีถอนหายใจอีกเฮือก “รีบไปกันเถอะ คนที่มาที่นี่มีทั้งพวกที่ตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็มีทั้งพวกชอบเล่นสกปรก…”

เขาเบนสายตาไปทางไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อพลางพูดว่า “เจ้าไป๋เจ๋อ เจ้ามีร่างกายใหญ่โตแข็งแรง ต่อไปคอยตามประกบเยี่ยฉวนไว้ และคอยกันลูกธนูไม่ให้ยิงโดนถูกตัวของเขา พี่สาวเจ้าช่วยแจ้งอาจารย์ใหญ่จี้ให้ตามคนมาช่วยพวกเราโดยด่วน บอกตรง ๆ ว่า ข้าชักรู้สึกไม่ค่อยดีที่พวกเรามีกันแค่สี่คน ! โดยเฉพาะพี่หัวขโมยเยี่ย เขาทำท่าแปลกขึ้นทุกที ๆ!

จี้อันซื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าติดต่ออาจารย์ใหญ่จี้แล้ว !”

ไป๋เจ๋อหันมองหน้าโม่อวิ๋นฉีพร้อมเอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ ? ทำอะไร ?”

อีกฝ่ายเหลือบมองนิดหนึ่ง “ในกระบวนพวกเราทั้งสี่คนข้านับว่ามีความเร็วที่สุด เมื่อเราเข้าสู่สถานที่แห่งความลับ ข้าจะแยกกับพวกเจ้าเพื่อกระจายกันออกตามหาน้องหลิงเอ๋อร์ และจะเร่งตามหานางให้พบก่อนคนพวกนั้น ! ไปกันเถอะ ! ตอนนี้เจ้านั่นล่วงหน้าไปเพียงลำพัง …ทำเอาข้ารู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลยที่ปล่อยให้หมอนั่นอยู่คนเดียว !”  กล่าวจบเขาจึงเร่งติดตามเยี่ยฉวนทันที

ขณะนั้นเยี่ยฉวนใช้กระบี่ลากคอชายผมยาวออกจากชายป่าและยังคงไปต่ออย่างหน้าตาเฉย ในเวลาเดียวกันคนที่ถูกลากยังคงคำราม ทั้งข่มขู่ก็แล้วทั้งอ้อนวอนก็แล้วให้เขาปลดปล่อยมันด้วยความตายอันรวดเร็ว

ทว่าเยี่ยฉวนไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับฟังคำวิงวอนแม้แต่น้อย !

ทันใดนั้นเขาหยุดฝีเท้าและหันมามองชายผมยาวซึ่งยังโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มเหลือบมองทางหางตา มุมปากเหยียดยิ้ม “เมื่อก่อนข้าเคยเป็นคนจิตใจดี แต่พวกเจ้ายังกล้ารังแกน้องของข้า งั้นต่อไป ข้าก็จะไม่รักษามารยาทอีก !!”

สิ้นเสียงคนพูด เยี่ยฉวนพลันยกขาและกระแทกฝ่าเท้าลงบนขมับของชายผมยาวเต็มแรง

ผลั่ก !

ศีรษะคนกระเด็นหวือ สายโลหิตสาดกระจายทั่วบริเวณ

ณ จุดนั้น เยี่ยฉวนกระชับกระบี่ในมือและก้าวเดินตรงไปข้างหน้า แววตาขุ่นมัวหมองหม่น “น้องพี่ อย่ากลัวเลย พี่จะไปพาน้องกลับเอง… จะไม่ปล่อยให้ใครทำอันตรายเจ้า จะไม่ยอมให้ใครมาทำกับเจ้าแบบนี้อีก…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset