หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 179 ฆ่า ! ฆ่าให้เรียบ ! (ต้น)

บทที่ 179 ฆ่า ! ฆ่าให้เรียบ ! (ต้น)

เมื่อเยี่ยฉวนผละจากบริเวณหนองน้ำ เขาก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์ใหญ่จี้ได้บอกเขาก่อนจะแยกกันว่า เยี่ยหลิงอยู่ที่หุบเขาห่างออกไปราวสองร้อยลี้ เวลานี้ทั้งโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่น

อันที่จริงอาจารย์ใหญ่พยายามช่วยเยี่ยหลิงแล้ว แต่ทุกครั้งที่เขาเข้าไปใกล้เยี่ยหลิง จะถูกคนผู้หนึ่งเข้าขัดขวางทุกครั้งไป !

ซึ่งมิใช่ใครที่ไหน หลี่เสวียนซาง !

ณ ที่แห่งหนึ่งภายนอกสถานที่แห่งความลับ

หลี่เสวียนซางยืนอยู่บนยอดไม้ และกำลังจับตามองเข้าไปในสถานที่แห่งความลับในระยะห่างไกล สีหน้าเฉยเมย รายเรียบไร้ความรู้สึก คนที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องหลังคือชายสวมชุดคลุมสีดำ

เสียงของชายในชุดดำพูดขึ้นว่า “คุณชายเหมยฮวาแห่งแคว้นชูก็ถูกฆ่าตาย… และยังหลี่ไท เพชฌฆาตลมกรดสายฟ้า ซึ่งใกล้จะขึ้นทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ กลับถูกฆ่าตายอีกคน… เหตุใดท่านจึงไม่ยับยั้งอาจารย์ใหญ่จี้ตอนที่เขาลงมือเล่าขอรับ ?”

คนตอบพูดเสียงเบาแทบกระซิบ “หลี่ไทเป็นคนตระกูลใหญ่ แตกต่างจากตระกูลอื่นในแคว้นเยว่ เวลานี้พวกเขาสูญเสียคนสำคัญของตระกูล ซึ่งมิได้เป็นสุดยอดอัจฉริยะเท่านั้น ทว่าเขายังมีระดับพลังเป็นถึงระดับยอดยุทธ์ขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ เจ้าลองคิดดูก็แล้วกันว่า ตระกูลของหลี่ไทจะปล่อยให้มันรอดไปได้ง่าย ๆ หรือ ?

ผู้ฟังจึงนิ่งเงียบไป

สายตาของหลี่เสวียนซางทอดมองไปยังสถานที่แห่งความลับ เสียงพูดต่อไปว่า “ต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังและเป็นบุคคลที่มีทั้งพลังและอำนาจ ถึงอย่างนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นมันหรือใครก็ตาม เมื่อเข้าสู่สถานที่แห่งความลับแล้วก็ต้องจบชีวิตลงที่นั่น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะหรือไม่ก็ยอดคน อีกทั้งทุกคนมีทั้งพลังและอำนาจหนุนหลังทั้งใหญ่และเล็ก ยิ่งเยี่ยฉวนสังหารคนไปมากเท่าใด ศัตรูยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ข้าอยากรู้เหมือนกัน ตอนนั้นแล้วใครจะรักษาชีวิตของเขาได้อีก !”

ครานี้ชายในชุดดำพยักหน้าช้า ๆ “คนผู้นี้นับเป็นยอดฝีมือเก่งฉกาจ ถ้านับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจมีเพียงอันหลานซิ่วเท่านั้นจึงรับมือเขาได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป…”

หลี่เสวียนซางพึมพำขณะที่หลับตาลง “ณ เวลานี้ เขาก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วจริง ๆ!”

อีกด้านหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน จ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัยพูดเสียงเบาพอให้คนข้างได้ยิน “เขาสังหารคุณชายเหมยฮวาแห่งแคว้นชูและเพชฌฆาตลมกรดสายฟ้า หลี่ไทแห่งแคว้นเยว่…”

เสียงเคร่งเครียดของคนข้างเคียง เจียงเยว่เทียนตอบเบา “หลี่เสวียนซาง มันมีเจตนาไม่ซื่อ ! เขาต้องการสร้างสถานการณ์ให้คนเกลียดชังเยี่ยฉวนและสถานศึกษาฉางหลาน ! จิตใจของเขาช่างอำมหิตนัก !”

จ้าวหอพูดอย่างใจเย็น “ปล่อยให้ทำไป ปล่อยให้มันสร้างศัตรูให้กับเยี่ยฉวนและสถานศึกษาฉางหลานเข้าไป… สถานศึกษาฉางมู่ฉลาดอยู่แล้ว ฉลาดเหลือเกิน ข้าอยากหัวเราะให้ฟันร่วงจริง ๆ”

เจียงเยว่เทียน “…”

ณ สถานที่แห่งความลับ

เงื่อมเงาประหลาดเคลื่อนไหววูบวาบ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ ดูเหมือนความเร็วที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ จนบังเกิดลมดังอึกทึกในทุกที่ที่เงาวูบผ่าน

หาใช่ใครที่ไหน โม่อวิ๋นฉี !

เขาเริ่มมุ่งหน้าไปในทันทีที่รู้ตำแหน่งของเยี่ยหลิงที่ถูกจับตัวไป ความเร็วที่ใช้ในการวิ่งตอนนี้เรียกได้ว่าสุดพลังของเขาเลยก็ว่าได้

เขาต้องการหาเยี่ยหลิงให้พบโดยเร็วที่สุด ด้วยเกรงว่าหากเด็กหญิงตกอยู่ในเงื้อมมือของใครบางคน คนผู้นั้นอาจใช้เยี่ยหลิงข่มขู่เยี่ยฉวนก็เป็นได้ !

เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป โม่อวิ๋นฉีได้มาถึงที่หุบเขาแห่งหนึ่ง เขาหยุดกวาดตาสำรวจบริเวณโดยรอบ ทว่าไม่พบแม้เงาของผู้คนในหุบเขาอันเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ !

ทันใดนั้น สีหน้าของคนวูบลง ในขณะเดียวกันก็ชักเท้าถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พื้นดินที่เหยียบยืนเกิดการยุบพังทลายลงฉับพลัน

เมื่อโม่อวิ๋นฉีหยุดนิ่ง ผืนพสุธาใต้ฝ่าเท้าเริ่มมีอาการสั่นไหวน้อย ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นโม่อวิ๋นฉีดีดผลุงขึ้นไปบนอากาศ ขณะนั้นปรากฏร่างของคนอีกคน ทะยานจากพื้นดินขึ้นสู่อากาศ !

โม่อวิ๋นฉีซึ่งลอยตัวอยู่ในอากาศ เขาผลักมือออกพลันมีดบินปรากฏและฟาดลงตรงหน้า !

คนมาใหม่ที่อยู่เบื้องล่าง เคลื่อนไหวมือทั้งสองข้างรวดเร็ว

ครืนนนน !

อาวุธมีดบินของโม่อวิ๋นฉีหยุดนิ่ง !

ทว่าในเวลาเดียวกัน ร่างของโม่อวิ๋นฉีล่าถอยไปไกลหลายจั้ง !

สายตาของโม่อวิ๋นฉีจ้องเขม็งมาในระยะไกล เบื้องหน้าปรากฏชายผิวคล้ำ ร่างกายผอมแห้งและเตี้ย… ที่จริงต้องบอกว่าแคระแกร็นจึงนับว่าถูกต้อง

สายตาเยือกเย็นมองตรงมายังโม่อวิ๋นฉี “เจ้าไม่ใช่เยี่ยฉวน !”

โม่อวิ๋นฉีไม่ได้ใส่ใจฟัง กลับถามกลับไปว่า “เด็กอยู่ที่ไหน ?” ชายเตี้ยแคระจึงชี้มือไปทางไหล่เขาด้านหนึ่ง

โม่อวิ๋นฉีกวาดสายตาไปทางที่ไหล่เขาห่างออกไปตามมือชี้ ในช่องว่างของรอยหินแตกบนไหล่เขา มีต้นไม้ขึ้นไปเจริญเติบโตแทรกตามร่องรอย และที่นั่นเด็กหญิงคนหนึ่งถูกแขวนห้อยต่องแต่งอยู่กับกิ่งไม้ เยี่ยหลิง !

เมื่อเห็นถนัดตาว่าเป็นเยี่ยหลิงที่แขวนอยู่บนนั้น จิตใจที่กำลังร้อนรุ่มของโม่อวิ๋นฉีค่อยสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางชายเตี้ยแคระ ส่งเสียงตวาดดังลั่น “ไอ้ฉิบ… หมาแคระ พวกเจ้ายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ?”

สิ้นเสียงพูด เขาถลันพรวดตรงเข้าหาชายร่างเตี้ยแคระทันที อีกฝ่ายเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงหรี่ตานิดหนึ่ง ก่อนพลันกระแทกฝ่าเท้าข้างขวาลงบนพื้นดิน แล้วร่างทั้งร่างของเขาก็มุดจมลงใต้ดินหายไปอย่างรวดเร็ว

โม่อวิ๋นฉีแม้เคลื่อนไหวรวดเร็วทว่ายังพลาดเป้าหมาย เขาจึงละทิ้งความคิดที่จะไล่ตามเจ้าคนเตี้ยแคระ แต่กลับกระโจนออกจากที่ไปทางไหล่เขาที่เยี่ยหลิงถูกมัดแขวนอยู่ เขาเคลื่อนที่รวดเร็วปานสวมวิญญาณเห้งเจีย ดังนั้นชั่วไม่กี่อึดใจ เขาก็มาถึงต้นไม้ที่มีเยี่ยหลิง ทว่าจู่ ๆ ดาบหนาเล่มใหญ่กลับฟันฉับลงข้างลำตัว !

โม่อวิ๋นฉีกำหมัดขวาเกร็งแน่นจนสั่นระริก จากนั้นผลักฝ่ามือออกรุนแรง พลันลำแสงสีฟ้าพุ่งวาบออกจากกลางฝ่ามือกระแทกเข้ากับดาบกว้าง

ผัวะ !

ดาบกว้างปะทะพลังแห่งลำแสงจนสั่นสะท้านรุนแรง ยังผลให้ร่างคนถือดาบถอยกรูดออกไปไกลหลายจั้ง !

โม่อวิ๋นฉีตั้งท่าจะเข้าปะทะต่อเนื่อง พลันเงาหนึ่งวูบเข้าขวางหน้า ขณะเดียวกันลำแสงพุ่งวาบเข้าที่ลำคอ !

เขาสีหน้าเผือดเล็กน้อย ก่อนกดปลายเท้าลงบนพื้น ดันร่างทะยานถอยห่างออกไปกว่าสี่จั้ง ทันใดนั้น เกิดเสียงลมพัดหวีดดังไล่ตามระยะทางมาในลานกว้าง !!!

ครานี้โม่อวิ๋นฉีตาเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนสิ้นเชิง ขณะเดียวกันก็เร่งหันพลิกกลับอีกหลายตลบกระถดถอยต่อเนื่อง…

ฟ้าว !

ลูกธนูสีดำสนิทดอกหนึ่งพุ่งตรงเข้าหาหัวไหล่ของโม่อวิ๋นฉี เขาหันขวับตามทิศทางของลูกธนูที่พุ่งเข้าหา ชายในชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนโขดหินใหญ่บนหน้าผาไม่ห่างเท่าใด ในมือของคนนั้นมีธนูคันยาวและเบื้องหลังสะพายกระบอกใส่ลูกธนู !!!

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset