หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 180 ฆ่า ! ฆ่าให้เรียบ ! (ปลาย)

บทที่ 180 ฆ่า ! ฆ่าให้เรียบ ! (ปลาย)

“มันไม่ใช่คนที่จะมาฆ่าเยี่ยฉวน !” ในตอนนี้ ชายที่มีใบหน้ารอยแผลเป็นถือดาบกว้างเขม้นมองมาทางโม่อวิ๋นฉี

“ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นคนของฉางหลาน ศิษย์ร่วมสถานศึกษาเดียวกับเยี่ยฉวน”

โม่อวิ๋นฉีมองหน้าทุกคนที่เข้ามาในบริเวณ “เฮ้ย อย่าทำเป็นเล่นน่ะพวกเจ้าทำกับพี่หัวขโมยเยี่ยข้าไม่ว่าอะไรสักคำ แต่นี่…” พลางชี้มือไปทางเยี่ยหลิงที่ถูกแขวนอยู่บนกิ่งไม้ เค้นเสียงคำรามลอดไรฟันอย่างเจ็บแค้น

“นางเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ไอ้พวกห่วยแตก ?!”

ชายที่มีรอยแผลเป็นพูดเสียงเมินเฉย “ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษพี่ชายของนาง เยี่ยฉวนนั่นล่ะ” จากนั้นคนพูดกระชับดาบสั้นในมือ

“เมื่อเป็นพวกเดียวกัน ก็จัดการเจ้านี่ก่อนแล้วกัน !” พูดจบร่างของคนพูดทะยานเข้าหา พร้อมยกดาบฟันใส่โม่อวิ๋นฉีอย่างไร้ปราณี

โม่อวิ๋นฉีกำลังจะออกต้านทาน ทว่าในตอนนั้นลูกธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งวาบมาจากด้านหลัง !

เขาสีหน้าเคร่งเครียดจึงไม่กล้าออกต้านทานทันที จึงทำได้เพียงดีดตัวทะยานสูงเลี่ยงหลบลูกธนู

อย่างไรก็ตามเท้าแทบไม่ทันแตะพื้นดิน หญิงสาวร่างบอบบางเข้าขวางด้านหน้า ทันใดนั้นลำแสงวาบเย็นเยียบพุ่งตัดกลางกระหม่อม

ไม่เพียงเท่านั้น โดยไม่คาดคิดลูกธนูสีดำถูกยิงเข้าทางหลังของโม่อวิ๋นฉีในเวลาเดียวกัน !

เป็นเหตุให้เขาแทบหมุนคว้างสกัดกั้นอันตรายรอบตัว ขณะนั้นร่างคนหายวาบจากที่ ดุจเงาปีศาจกวาดผ่านกลางทุ่งโล่ง ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าในเวลานั้นโม่อวิ๋นฉีแทบเรียกได้ว่ารวบรวมพลังความเร็วเต็มพิกัดที่สุดก็ว่าได้

ชายถือคันธนูหรี่ตามองเงาวูบวาบนิ่งอยู่อึดใจ เขาถอยหลัง แต่ทว่าจู่ ๆ มีดบินทองคำโผล่พรวดออกเบื้องหน้าขณะพุ่งเข้าหาตัวคนอย่างไม่รู้แหล่งที่มา เขาจึงพลิกสปริงตัวลอยถอยห่าง ขณะเดียวกันสองมือกำคันธนูแน่นและผลักออกปะทะกับมีดบินที่พุ่งตรงมาเต็มที่

ปัง !

เสียงคันธนูแตกหักดังสนั่นกึกก้อง ทว่าชายถือธนูกลับรอดพ้นอันตรายจากมีดบินอย่างฉิวเฉียด

โม่อวิ๋นฉีกำลังจะผลักออกพลังปะทะอีกครั้ง ขณะนั้นกระแสพลังแห่งชี่พุ่งปะทะร่างเขาอย่างรุนแรงจากเบื้องหลัง !

อีกฝ่ายคือชายที่มีรอยแผลเป็นบนหน้า !

เวลานี้ โม่อวิ๋นฉีเพิ่งชะงักจากการออกปะทะในครั้งแรก จึงไม่มีจังหวะเลี่ยงหลบได้ทันที ชายมีแผลเป็นได้เลือกเข้าจู่โจมในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลานัก !

โม่อวิ๋นฉีกำมีดบินทองคำแน่น ก่อนหมุนตัวพร้อมกับฟันฉับด้วยมีดบินออกตรง ๆ!

เปรี้ยง !

เสียงระเบิดจากการปะทะ ร่างของโม่อวิ๋นฉีกระเด็นลอยไปในอากาศขณะที่มือยังกำมีดบิน ชั่วขณะต่อมาร่างของเขาพลันละลิ่วตกลงมาจากกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้นเองเขาเพิ่งสังเกต ว่าจู่ ๆ พื้นดินเบื้องล่างมีแรงกระเพื่อมเลื่อนไหลประหลาด เมื่อเห็นเช่นนั้นโม่อวิ๋นฉีหน้าซีด !

ด้วยถ้าเมื่อไรร่างของเขาตกกระทบพื้น คงต้องดับดิ้นสิ้นชื่อเป็นแน่ !

ฉับพลันนั้นกระบี่เล่มหนึ่งทะยานมาจากระยะไกล ต่อมากระบี่บินโฉบเข้ารองรับข้างใต้ลำตัวของโม่อวิ๋นฉี ดันร่างของเขาไว้มิให้ตกกระแทกพื้น เขาถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก แต่แล้วตอนนั้นกระบี่กลับผละออกจากตัวคน พลันหันทางคมฟันลงบนพื้นดินที่กำลังกระเพื่อมนั้นอย่างรุนแรง

ฉัวะ !

เมื่อกระบี่บินฟันลงบนพื้นดิน ความเงียบเข้าครอบงำในบริเวณ ก่อนจะมีเสียงหวีดโหยหวนดังผุดขึ้นมา และในทันทีก็พลันปรากฏรอยสีแดงดุจโลหิตกระจายเป็นวงกว้าง

ชวิ้งงงง !

กระบี่ทะยานขึ้นจากพื้นดินและไปหยุดลอยตัวแน่วนิ่งทางเบื้องหน้าของคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เขามาถึงพอดี

เยี่ยฉวน!

ทันทีที่เห็นหน้าเยี่ยฉวน โม่อวิ๋นฉีถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก เขาชี้มือไปยังชายที่มีแผลเป็นและหญิงสาวผู้น้องที่ยืนเคียงข้าง “เจ้าจัดการคนพวกนั้น ส่วนข้าจะไปช่วยน้องหลิงเอ๋อร์ !

ระวังธนูของเจ้าคนทางด้านซ้ายด้วย !” ทันทีที่พูดจบ ร่างของเขาหายวาบไปจากสายตา !

ขณะนั้นเยี่ยฉวนหันไปทางชายที่มีแผลเป็นและน้องสาว ทันใดนั้น ร่างของเยี่ยฉวนหายวาบไปจากสถานที่ เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก ครั้งนี้ด้วยความเร็วสุดขีด ทว่าเบื้องหน้าเยี่ยฉวน กระบี่หลิงซิ่วกลับเร็วยิ่งกว่า ด้วยทะยานเข้าหาชายมีรอยแผลเป็นกลางอากาศเป็นอันดับแรก

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายผู้มีแผลเป็นเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าพลังของเจ้าจะกล้าแกร่งสักแค่ไหน !”

เสียงพูดขาดหายไปอย่างกระทันหัน เขาเคลื่อนที่ลงจากโขดหินและเงื้อดาบแบนกว้างในมือสับลงมาอย่างรุนแรงในคราเดียว !

พลังปะทะของชายผู้มีรอยแผลเป็นนับว่าหนักหน่วงด้วยพลังครอบงำไปทั่วบริเวณ รุนแรงขนาดว่าสามารถระเบิดภูเขาได้ก็ไม่ปาน !

ที่เบื้องล่าง กระบี่หลิงซิ่วซึ่งเคลื่อนไหวก่อนหน้ากลับหยุดนิ่งลง ขณะที่เยี่ยฉวนพรวดออกทางเบื้องหน้ากระบี่หลิงซิ่ว และเอื้อมมือออกฉวยกำด้ามกระบี่ไว้มั่น ทันใดนั้นเยี่ยฉวนกระแทกฝ่าเท้าขวาลงบนพื้นจนธรณีสะท้านสะเทือน พลันร่างคนทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกระบี่กระชับในอุ้งมือ !

ชวิ้งงง ! เสียงกระบี่สะบั้นฉีกอากาศสนั่นลานกว้าง ทันใดนั้น กระบี่พุ่งตรงปะทะกับดาบแบนกว้างของชายผู้มีรอยแผลที่หน้า ปลายกระบี่เข้าต้านทานพลังของดาบสั้นแบนกว้างนั่น !

ปัง !

ครานั้นทั้งกระบี่และดาบสั้นต่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาเดียว ดาบสั้นระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง พลันร่างของชายผู้มีรอยแผลเป็นกระดอนออกไปในอากาศราวกับมือยักษ์จับเหวี่ยงไกลหลายจั้ง ในที่สุดทั้งกระบี่และดาบสั้นก็ตกกระแทกลงบนก้อนหินใหญ่ !

พรู่ดดดด !

โลหิตสดกระอักออกจากปากของชายที่มีรอยแผลเป็น !

เขาค่อย ๆ ยกหลังมือขึ้นปาดคราบโลหิตที่ปาก ขณะสายตากวาดไปหาหญิงสาวบอบบางซึ่งยืนหน้าตื่นอยู่ไม่ไกล พลางร้องตะโกนสุดเสียง “หนี !”

เสี้ยววินาทีนั้น เขารู้แน่แก่ใจเสียแล้วว่าชายหนุ่มผู้ฝึกกระบี่เบื้องหน้าเขาผู้นี้ หาใช่คนที่ทั้งเขาและน้องสาวจะสามารถต้านทานได้ !

ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้หันหลังวิ่งหนี นางกลับพุ่งตัวมาทางชายผู้มีใบหน้าแผลเป็น จากนั้นรีบหันมาทางเยี่ยฉวน ก่อนจะร้องวิงวอนต่อชายหนุ่ม “ได้โปรดไว้ชีวิตเราสองพี่น้อง พวกเราจะกลับบ้านและข้า…”

ทันใดนั้น ลำแสงพุ่งวาบตัดข้ามลานกว้างราวสายฟ้าฟาด

ฉัวะ !

ศีรษะของหญิงสาวกระเด็นหวือหลุดออกจากร่างลอยขึ้นไปในอากาศ !

ชายผู้มีใบหน้ารอยแผลนิ่งขึงด้วยความตกตะลึงไปชั่วครู่ ทันใดนั้นเขาตัดสินใจพุ่งตัวเข้าหาเยี่ยฉวน “ข้าจะฆ่าแก…”

ฉับ !

ลำแสงตวัดผ่านเข้ากึ่งกลางหว่างคิ้วของชายใบหน้ารอยแผลเป็น ! จากนั้นร่างคนหงายหลังล้มตึงฟาดไปกับพื้นดิน

เยี่ยฉวนเหลือบมองร่างของคนทั้งสองสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าข้าแพ้ พวกเจ้าจะไม่ยอมปล่อยข้ากับน้องเช่นกัน”

ปัง !

ฉับพลันปรากฏเสียงระเบิดดังขึ้นเหนือศีรษะของเยี่ยฉวน หลังจากนั้นร่างของคนผู้หนึ่งร่วงหล่นจากอากาศลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง !

ร่างกระแทกกับพื้นเบื้องล่างเต็มที่ เขาคือโม่อวิ๋นฉี !

พรู่ดดดด !

โม่อวิ๋นฉีหมอบกับพื้น ขณะสำลักโลหิตยังไม่หยุดยั้ง…

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset