หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 184 พี่จะพาน้องกลับ ! (ปลาย)

บทที่ 184 พี่จะพาน้องกลับ ! (ปลาย)

ทันใดนั้น มีคนระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ไกลจากสถานที่

“ฮ่าฮ่า… แถวนี้คึกคักดีจริง !” ทันทีที่สิ้นเสียงหัวเราะ เงาของคนวูบวาบจากในระยะไกลและขยับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน

เป็นคนรุ่นหนุ่ม อายุราวยี่สิบ คิ้วดกดำพาดเฉียงเหนือดวงตาทั้งคู่คมเป็นประกาย ท่าทางองอาจผ่าเผย ในมือถือสร้อยยาวร้อยลูกประคำสีดำ

เจี้ยนเสี่ยวหวางจับตามองผู้ที่เพิ่งเข้ามาอย่างสนใจ และเมื่อเลื่อนสายตาลงมองเห็นสร้อยลูกประคำในมือของคนหนุ่มที่มาใหม่ จึงเกิดเสียงอุทาน “กงชิงเฉิง !”

ราวกับคำพูดนั้นดึงความสนใจของผู้มาใหม่ เขาหันมามองเจิ้นเสี่ยวหวางด้วยสายตาแสดงความประหลาดใจ พลันเหยียดยิ้มมุมปาก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คือเจี้ยนเสี่ยวหวางสินะ คนจากตระกูลผู้ฝึกกระบี่ทว่ากลับสนใจการฝึกดาบแทนที่จะฝึกกระบี่เหมือนคนอื่น นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็โผล่มาที่นี่เช่นกัน !”

เจี้ยนเสี่ยวหวางกลับตอบโต้ด้วยท่าทีเฉยเมย “ข้าจะมาหรือไม่มันก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกเหลี่ยมจัด คนอย่างเจ้ามาที่นี่ก็มีแต่จะใช้เล่ห์เพทุบายทั้งปีทั้งชาติ !”

กงชิงเฉิงกลับไม่แสดงท่าทีขึ้งโกรธต่อวาจานั่น กลับยิ้มเยื้อนอยู่เช่นเดิม จากนั้นจึงละสายตาไปทางเยี่ยฉวน “หึหึ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าในแคว้นเจียงนอกจากอันหลานซิ่วแล้ว ยังมีเจ้าที่เป็นยอดคนด้วยอีกคน เช่นนี้หายากจริง ๆ”

เยี่ยฉวนจ้องหน้ากงชิงเฉิงพลางร้องถาม “จะมาล่าค่าหัวหรือไง ?”

กงชิงเฉิงส่ายหน้าปฏิเสธ ตอบมาว่า “สู้กันเฉย ๆ น่าเบื่อเกินไป !” เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ข้ามีข้อเสนอ เยี่ยฉวน เจ้าเข้ามาในสถานที่แห่งความลับนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตน้องของเจ้า เรื่องนี้ถูกต้องไหม ? วันนี้ ข้าจะเหลือช่วยน้องของเจ้า และถ้าวันนี้เจ้ารอดชีวิต ในอนาคตเจ้าจะต้องช่วยเหลือข้าสามเรื่อง ซึ่งทั้งสามเรื่องมิใช่เรื่องยาก ขอให้มั่นใจได้”

เยี่ยฉวนมองหน้าคนพูดตรง ๆ “ตกลง !”

แน่นอน เขาไม่ปฏิเสธ !

ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเยี่ยหลิง !

กงชิงเฉิงได้ยินเช่นนั้น เขายกนิ้วให้เยี่ยฉวน “เด็ดขาด ดี !” พูดจบ หันไปกวาดตามองคนอื่นที่ยืนรวมกลุ่ม “ทุกท่าน พวกเจ้ามาเพื่อค้นหาสิ่งล้ำค่า ขณะที่ข้าเองก็ตั้งใจมาค้นหาเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นข้าอยากจะขอร้องพวกเจ้าสักหน่อย เลิกยุ่งกับเด็กน้อยคนนั้นเสีย”

“เฮ้ย คิดว่าตัวเองเป็นใคร ?” ขณะนั้น ชายผู้หนึ่งซึ่งยืนข้างคนสวมเกราะเงินคำรามลั่น “เรื่องอะไรพวกเราต้องทำตามคำสั่งเจ้าแล้วปล่อยเด็กไปด้วย ?”

กงชิงเฉิงหันขวับมาจ้องตาคนพูด ทันใดนั้น ลูกประคำสีดำลูกหนึ่งพลันถูกดีดออกจากนิ้วมือของเขาอย่างรวดเร็ว

ผัวะ !

ร่างของชายคนที่พูดเมื่อสักครู่แตกกระจายโดยไม่ทันตั้งตัว !

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างนิ่งขึงด้วยตกตะลึง ใบหน้าเผือดซีด !

ยอดยุทธ์แห่งขั้นสันโดษ !

เมื่อชายสวมเกราะเงินหันมามองหน้ากงชิงเฉิงอีกครั้ง คราวนี้แววตาของเขาฉายความหวาดกลัวชัดแจ้ง !

กงชิงเฉิงมองตรงไปที่ทุกคนสีหน้าราบเรียบ “พวกเจ้าเป็นใครบ้าง อัจฉริยะ ? ยอดคน ? ขอโทษนะ ถ้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา พวกเจ้าเป็นอัจฉริยะและยอดคนแล้วไง ถ้าไม่ถูกจารึกชื่อไว้ในทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ งั้นทุกอย่างที่พวกเจ้าเป็นก็ล้วนแต่เป็นน้ำลาย !”

จากนั้นเขาก้าวตรงไปข้างเยี่ยหลิง ยืนมองหน้าเด็กหญิงก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “คนพวกนี้ต้องการสังหารพี่ของเจ้า เหตุใดเจ้าจะไม่อยากช่วยพี่ชาย จริงไหม ?” กงชิงเฉิงคลี่ยิ้ม

“ค่าหัวของพี่ชายเจ้าสูงนัก แต่เงินทองมาแล้วก็ไป ถึงกระนั้น ถ้าอีกหน่อยพี่ชายของเจ้ากลายเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้า ข้าก็จะเป็นคนที่มีโชคมหาศาล เข้าใจที่พูดไหม ?”

เยี่ยหลิงนิ่งคิดชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า “ท่านพี่ของข้าเป็นหนี้ท่าน ก็เหมือนกับข้าเป็นด้วย อีกหน่อยถ้าท่านมีเรื่องเดือดร้อน ข้าจะช่วยท่านเหมือนกับที่ท่านพี่ช่วย !” เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง !

กงชิงเฉิงเหยียดมุมปากยิ้มน้อย ๆ ทว่าไม่กล่าวตอบแต่อย่างใด ในความเป็นจริง เขาไม่ได้เฉลียวใจสักนิด ว่าวันนี้เด็กน้อยตรงหน้าคือผลตอบแทนที่มีค่ายิ่ง…

ขณะนั้นเยี่ยฉวนเดินก้าวเข้าหาชายสวมเกราะเงินและกลุ่มคนด้านหลังช้า ๆ เมื่อเห็นคนที่กำลังตรงเข้าหา ชายสวมเกราะเงินรวมทั้งคนอื่นเริ่มขยับเคลื่อนไหว !

เยี่ยฉวนยกนิ้วจิ้มไปที่ศีรษะของตนเองพลางพูดว่า “เข้ามาสิ มาเด็ดหัวของของข้า มัวรออะไร ?!” ชายสวมเกราะแสยะมุมปากยิ้มโหดเหี้ยม “ข้ามาแล้ว !” ฉับพลันร่างคนทะยานเข้าหาเยี่ยฉวนอย่างรวดเร็ว !

เบื้องหลังคนที่พุ่งเข้ามา ตามมาด้วยกลุ่มคนทั้งหมดที่ต่างก็มุ่งหน้าเข้าหาเยี่ยฉวน !

กลุ่มคนนับสิบ !

ทุกคนล้วนเป็นยอดอัจฉริยะ !

แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนสวมเกราะเงินหรือคนอื่น ต่างก็ไม่น่าเกรงกลัวทั้งสิ้น ลำพังพวกเขาคนหนึ่งคนใดไม่มีใครสามารถเอาชนะเยี่ยฉวนได้ !

แต่ตอนนี้ พวกเขามีมากกว่า !

น้ำน้อย ย่อมแพ้ไฟฉันใด คนน้อยย่อมพ่ายคนมากฉันนั้น !

อีกอย่างในแง่ผิวเผิน พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นผู้กล้าแกร่ง ไม่มีใครอ่อนด้อย เยี่ยฉวนต้องต้านทางคนมากกว่าสิบเพียงลำพัง ถ้านี่เป็นความฝันก็ไม่น่าแปลก !

“ข้ามาแล้วโว๊ย !” ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงแหกปากตะโกนโหวกเหวกของใครคนหนึ่งดังมาจากระยะไกล โม่อวิ๋นฉีหันขวับตามไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน คนที่โผล่เข้ามาคือไป๋เจ๋อ !

เมื่อเห็นว่าเป็นไป๋เจ๋อ โม่อวิ๋นฉีราวกับจะสะกดกั้นอารมณ์โกรธไม่ได้อีกต่อไป จึงต่อว่าเสียงดังลั่น “ฉิบ… มัวไปหลงอยู่ที่ไหนหา ? เหตุใดจึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ !”

ไป๋เจ๋อเร่งรีบวิ่งตรงมา เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเจื่อนสนิท “ข้าวิ่งมานะ แต่วิ่งไปผิดทาง…”

โม่อวิ๋นฉี “…”

ไป๋เจ๋อเคลื่อนไหวว่องไว เขาทั้งผลักทั้งดัน ไม่ว่าใครหน้าไหนที่เข้ามาขวางทางในเวลานี้เขาพร้อมที่จะเหวี่ยงมันจนกระเด็นไปได้ ดังนั้น ตลอดเส้นทางที่เขากำลังวิ่งเข้ามาจึงโปร่งโล่งหาได้มีใครกล้าขวางทางแม้แต่คนเดียว เขารีบเข้ามาหาเยี่ยฉวนด้วยท่าทางรู้สึกผิด พลางฉีกยิ้มกว้าง “ข้ามาแล้ว สายไปหน่อย !”

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ “เจ้ามาทันเวลาต่างหาก !”  จากนั้น เยี่ยฉวนมองกลับไปที่ชายสวมเกราะเงินและกลุ่มคนด้านหลังที่กำลังดาหน้าตรงเข้ามา เอ่ยถามคนตัวใหญ่เสียงเข้ม

“คิดว่าจะรับไหวสักกี่คน ?”

ไป๋เจ๋อหันไปมองพลางหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนชูนิ้วชี้ขึ้น ชายหนุ่มเห็นดังนั้น รีบพยักหน้าพลางใช้มือตบป้าบลงบนบ่าคนตัวใหญ่ “นับว่ากล้าหาญมาก ได้ เจ้ารับไปจัดการสิบคน !”

ฝ่ายคนตัวใหญ่ได้ยินเท่านั้น กำลังก้าวออกไปก็แทบสะดุดหน้าทิ่ม

ขณะนั้นทั้งเจี้ยนเสี่ยวหวางและกงชิงเฉิง ต่างหันไปมองซากขอนไม้ล้มอีกด้านหนึ่ง ด้วยปรากฏว่ามีคนผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง มองนิ่งตรงมา… และเมื่อคนทั้งคู่เห็นคนที่ยืนบนขอนไม้ล้ม  พวกเขาต่างก็ต้องย่นหัวคิ้วไปตามกัน

เจี้ยนเสี่ยวหวางเบนสายตากลับมา เสียงพึมพำลอดไรฟัน “เขาก็มาด้วยหรือนี่…” ด้านกงชิงเฉิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “หรือเห็นทีข้าจะหมดโอกาสเสียแล้ว ?”

ณ ที่แห่งหนึ่งภายนอกสถานที่แห่งความลับ หลี่ซ่วนชางซึ่งจับตามองความเคลื่อนไหวในสถานที่นั้นมาโดยตลอด แหงนหน้าส่งเสียหัวเราะอย่างพึงพอใจ “ฮ่าฮ่า… เขามาแล้ว ! ฮ่าฮ่า…”

จากนั้น เสียงหัวเราะก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่องราวกับพึงพอใจนัก !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset