หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 188 ช่วยมาตีข้าให้ตายด้วย ! (ปลาย)

บทที่ 188 ช่วยมาตีข้าให้ตายด้วย ! (ปลาย)

เยี่ยฉวนเงยมองตรงไปยังร่างของกานสือซาน นี่เป็นครั้งแรกที่ทักษะยุทธ์ขั้นสวรรค์ได้ประจักษ์ต่อสายตา !

ฉับพลันนั้นราวกับมีกระแสพลังทะลักไหลมากระแทกเยี่ยฉวนเต็มที่ !

เพียงกระแสพลังชี่ ก็อาจทำให้คนบางคนรู้สึกราวถูกกดทับจนยากจะหายใจ !

เยี่ยฉวนค่อยหลับตาลง บัดนี้เขาประจักษ์แจ้งแล้วว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ณ เวลานี้ได้เผยไพ่ใบสุดท้ายให้เห็นแล้ว !

เช่นนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาต้องซุกซ่อนพลังกล้าแกร่งอีกต่อไป !

ชั่วครู่เยี่ยฉวนผลักออกฝ่ามือ พลันกระบี่หลิงซิ่วค่อยปรากฏอย่างเงียบเชียบ และเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นทุกขณะ กระแสพลังเสียงแห่งกระบี่ทะยานสู่ภายนอกกระบี่หลิงซิ่ว !

ในตอนนั้น เจี้ยนเสี่ยวหวางซึ่งถือว่าอยู่ใกล้ที่สุด พูดเสียงเบา “เจ้าหมอนั่น ซ่อนไม้ตายไว้จริงเสียด้วย !”

กงชิงเฉิงเหยียดยิ้มมุมปาก “ไม่รู้จริงหรือ ? ผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่ว จะมีใจให้แก่คนธรรมดาได้อย่างไร ?”

ครานี้เจี้ยนเสี่ยงหวางหันมาถามอย่างสนใจ “นางมีอันดับเท่าใดในทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ ?”

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบตรง ๆ หากพูดเสียงเรียบเรื่อย “คราที่นางออกมาจากอาณาจักรต้าอวิ๋น ได้เอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับสามของทำเนียบเพียงแค่สามกระบวนท่ามาแล้ว…” เมื่อได้ยินคนพูดตอบเช่นนั้น เจี้ยนเสี่ยวหวางถึงกับแยกเขี้ยว เงียบไปไม่ซักถามอีก

“เป็นสตรีที่ร้ายกาจ…”

เด็กน้อยเยี่ยหลิงเองก็กำลังจับตาดูพี่ชายของนางอย่างใจจดใจจ่อ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ยกเว้นแววตาเท่านั้นที่ฉายความกังวลทุกข์ร้อน ประกอบกับความเย็นชาและโกรธขึ้ง

ทันใดนั้น เจี้ยนเสี่ยวหวางและกงชิงเฉิงหันไปทางคู่ต่อสู้ฝั่งกานสือซานและเยี่ยฉวนในระยะไกลออกไปด้วยความสนใจ !

เมื่อคนบนอากาศลืมตาขึ้นอีกครั้ง ณ วินาทีนั้น เขาพลันชี้ปลายนิ้วส่องมาทางเยี่ยฉวนที่กำลังยืนเงยมอง “ดรรชนีสยบฟ้าดิน !”

เมื่อเขากดนิ้วมือลง พลังกดอัดพุ่งวาบออกจากปลายนิ้วของกานสือซาน ขณะที่เงานิ้วมือขนาดใหญ่ทะยานลงมาจากท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่เยี่ยฉวนในเวลาเดียวกัน !

นิ้วมือยักษ์นั้นประจุด้วยพลังมหาศาล ซึ่งกำลังปะทุแตกออกดุจลาวาพวยพุ่งจากปล่องภูเขาไฟที่เคยสงบนิ่งมาชั่วกัปกัลป์รอวันที่จะระเบิดออก ด้วยอานุภาพความรุนแรงแห่งพลัง ส่งผลให้พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยฉวนปริแตกออกทีละน้อยครั้งแล้วครั้งเล่า !

ยิ่งไปกว่านั้น ความรุนแรงแห่งกระแสพลังยังได้พัดพาเอาบรรดาคู่ต่อสู้คนอื่นที่รายรอบ ลอยละลิ่วออกจากที่ขึ้นสู่อากาศด้วย !

พลังนิ้วมือของคนผู้นั้น น่าเกรงขามยิ่งนัก !

ขณะที่เป้าหมายหยุดชะงักไป เยี่ยฉวนยามนี้รู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก !

เขาหายใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !

สมแล้วที่เป็นทักษะยุทธ์ขั้นสวรรค์ ยามใช้ออกจะผลักออกพลังสยบฟ้าดิน !

ขณะที่เยี่ยฉวนยืนในจุดเบื้องต่ำลงมา ในที่สุดเขาลืมตาขึ้น เมื่อกระบี่หลิงซิ่วสะท้านสะเทือนอย่างแรง !

ยามนี้นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์ ทันใดนั้นกระบี่หลิงซิ่วแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงแห่งกระบี่พุ่งวาบขึ้นสู่ท้องฟ้า !

พลังแห่งกระบี่ ผสานเข้ากับแรงผลักดันอันเป็นกระแสพลังซึ่งยอดเยี่ยมกว่า รุนแรงกว่า ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งกายาแห่งกระบี่ยังประสานด้วยเคล็ดวิชากระบี่ !

เคล็ดวิชากระบี่ ! เจี้ยนเสี่ยวหวางจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวน สายตาเต็มไปด้วยความฉงน “เป็นเคล็ดวิชากระบี่แน่แท้… แต่เคล็ดวิชากระบี่ที่เยี่ยฉวนใช้ เป็นเคล็ดวิชาที่แปลกนัก ข้ามองเห็นไม่ค่อยถนัด มันคือเคล็ดวิชากระบี่แบบไหนกัน ?!”

กงชิงเฉิงซึ่งนั่งอยู่ฟากตรงกันข้ามกับเจี้ยนเสี่ยวหวาง คลี่ยิ้มมุมปาก “คนผู้นี้มิใช่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่เสียแล้ว ที่แท้เขาคือปรมาจารย์กระบี่ และเป็นปรมาจารย์กระบี่ทั้งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบขวบปี !

แม้แต่อาณาจักรต้าอวิ๋นยังหาผู้ที่เป็นปรมาจารย์กระบี่เช่นนี้ได้ยากเต็มที !”

ณ เวลานั้น กระบี่หลิงซิ่วทะยานสู่บรรยากาศ ทั้งแรงผลักดันแห่งกระบี่และแสงแห่งกระบี่หลั่งไหลพรั่งพรูอย่างไม่มีสิ้นสุด !

ราวกับกระบี่กำลังเจาะทะลวงท้องฟ้าก็ปาน !

ทันใดนั้นกระบี่พลันฟันไปที่ภาพมายาของนิ้วมือยักษ์ในอากาศ

เปรี้ยง !

เสียงดังสั่นประสาทสนั่นไปทั้งท้องฟ้า ครู่ต่อมานิ้วมือยักษ์แตกเป็นเศษกระจัดกระจาย เช่นเดียวกับพลังแห่งแสงกระบี่ที่แตกออกเป็นเกล็ดแสงกระจายทั่วทุกทิศทาง !

ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินซึ่งกำลังโอบล้อมจู่โจมโม่อวิ๋นฉีและพวกอีกสองคน ต่างพากันหลีกถอยให้พ้นจากละอองกระแสพลังและแสงแห่งกระบี่ !

ภายหลังจากที่กระบี่หลิงซิ่วทะยานเสียบทะลุภาพมายาของนิ้วมือยักษ์ กระบี่กลับทะยานลงสู่พื้นดินพุ่งเข้าหาร่างของกานสือซานอย่างรวดเร็ว !

คนผู้เป็นเป้ากระบี่เหลือบเห็นดังนั้น พลันหรี่ตาลงนิดหนึ่ง กานสือซานผลักฝ่ามือออกไปข้างหน้าและตะปบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ในการนั้นเขาสามารถหยุดกระบี่หลิงซิ่วได้สำเร็จ !

ทว่าในฉับพลันนั้นเยี่ยฉวนปรากฏออกหลังกระบี่ของตนเอง พลันฉวยจับยึดด้ามกระบี่หลิงซิ่วไวแน่นหนา จากนั้นก็ควงกระบี่กระแทกออกไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง !

หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !

ด้วยเพลงกระบี่เดียวแห่งหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ประสานกับเคล็ดวิชากระบี่ !

เขาจึงผลักออกพลังแห่งกระบี่ !!!

ฉึก !

คมกระบี่ตวัดฟันนิ้วมือทั้งสองของกานสือซานขาดสะบั้น !

เสี้ยววินาทีนั้น กระบี่ทั้งเล่มพุ่งปักเข้ากึ่งกลางหน้าอกของคนจนมิดด้าม !

พลันร่างของกานสือซานหายวับไปจากที่ และเมื่อโผล่ขึ้นอีกครา ร่างนั้นก็ได้ล่าถอยห่างไปหลายสิบจั้ง

ลัดวิถี !

ถึงกระนั้นเมื่อหยุดชะงัก กานสือซานก็กระอักโลหิตออกมาพรวดหนึ่ง ซ้ำร้ายหนักขึ้นเมื่อใบหน้าของคนเผือดซีดราวซากศพ !

นี่ย่อมแสดงว่าเขาได้สูญเสียพลังอย่างอุกฉกรรจ์จากการใช้ทักษะลัดวิถี !

เยี่ยฉวนมองเห็นกานสือซานโผล่ออกมาในระยะห่างไกล จึงทำท่าขยับติดตามอีกครา ทว่าทันทีนั้นชายชราสวมผ้าคลุมสีขาวพลันปรากฏกายยืนขวางเบื้องหน้ากานสือซานไว้ สายตาเย็นชามองมาทางเยี่ยฉวนพลางตวาดเสียงดัง “หลีกไป !”

ทันใดนั้น ชายชราอีกคนโผล่ขึ้นเบื้องเหนือศีรษะของเยี่ยฉวน เขาคืออาจารย์ใหญ่จี้ !

อาจารย์ใหญ่จี้ยกไหน้ำเต้าสุราขึ้นกรอกปากอึกใหญ่ เมื่อลดไหสุราลงและกำลังอ้าปากพูด ทว่ายังมิทันเอ่ยคำ เยี่ยฉวนพลันพรวดไปข้างหน้าตรงเข้าหากานสือซานในระยะไกลเสียแล้ว !

อาจารย์ใหญ่จี้ “…”

ชายชราสวมผ้าคลุมสีขาวเห็นเช่นนั้น เขาหรี่ตาลงนิดหนึ่งแววตามุ่งร้ายฉายชัดเจน “เจ้ารนมาหาที่ตายเองนะ !” สิ้นคำพูด เขาเคลื่อนไหวจากที่ ทว่าขณะนั้นกระแสพลังรุนแรงบางอย่างกลับพุ่งเข้าปะทะอย่างจัง !

ทำเอาคนชราสวมผ้าคลุมขาวชะงักงันสีหน้าตื่นตะลึงชัดเจน เขาหันไปมองอาจารย์ใหญ่จี้ แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พลังสุดยอดผนึกยุทธ์…”

บึ้ม !

ฉับพลันนั้นเองเสียงดังอื้ออึงดังมาจากระยะไกล ชายชราสวมผ้าคลุมขาวหันขวับไปตามที่มาของเสียง

ณ จุดที่ไม่ห่างไกลนั้น ร่างของกานสือชานตกกระแทกพื้นดินเต็มแรง พลันเยี่ยฉวนโผล่ขึ้นเบื้องหน้าคนที่ทรุดอยู่บนพื้นดิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้กระบี่ในมือจ่อเข้าที่หว่างคิ้วของการสือซาน !

ชายชราสวมชุดคลุมขาวจ้องมองแน่แน่วที่เยี่ยฉวน “ถ้าเจ้าทำร้ายเขาแม้เพียงนิดเดียว สถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นจะ…”

จังหวะนั้น เยี่ยฉวนพลันบิดข้อมือสะบัดกระบี่

ฉับ !

ศีรษะของกานสือซานขาดสะบั้นจากบ่าทันที !

ราวกับยังมิหนำใจ เยี่ยฉวนยกเท้าเขี่ยศีรษะจนลอยขึ้นสู่อากาศ

บึ้ม !

ศีรษะระเบิดดังสนั่น !

จากนั้นชายหนุ่มจึงเก็บกระบี่คืนสู่ฝัก !

ก่อนหันมาพูดกับชายชราสวมผ้าคลุมสีขาว มุมปากเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม “มาเลย ช่วยมาตีข้าให้ตายด้วย !”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset