บทที่ 397 ความช่วยเหลือมาถึงแล้ว
นางกอดเอวของหลิงหลัวเอาไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ราวกับเห็นเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของตน
หลิงหลัวเลื่อนสายตาลงมองริมฝีปากที่ขบกันแน่นของเซียวจื่อเซวียน เขากำลังชั่งใจ ดูเหมือนนางกำลังปิดบังบางสิ่งไว้ไม่ให้เขารู้จริงๆ
ทว่าเซียวจื่อเซวียนที่ถูกปลอบใจอยู่ในขณะนี้กลับไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่ตัวเองกอดอยู่นั้นกำลังสงสัยตัวเองอยู่ นางไม่รู้เลยว่าในอนาคตนั้นตนจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันแสนเลวร้ายเพราะชายผู้นี้
ในเวลากลางคืนจวนตระกูลเซียวนั้นสงบเงียบ นานๆ ครั้งจึงจะมีเสียงแมลงร้องขึ้นมาให้ได้ยินบ้าง ทว่าในเวลานั้นเอง กลุ่มคนในชุดสีดำกลับปรากฏขึ้นเหนือจวนตระกูลเซียว พวกเขากำลังวิ่งตรงไปที่ไหนสักแห่ง
เซียวอี้หลินที่หลับอยู่พลันลืมตาตื่นขึ้น เขาหยัดกายลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หลี่หลินเอ๋อร์ถูกขังเอาไว้
เมื่อเขามาถึงที่แห่งนั้น เขาได้กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงตั้งแต่บริเวณทางเข้า
สีหน้าของเซียวอี้หลินเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขารีบสาวเท้าเข้าไปด้านใน ตามทางมีซากศพให้เห็นเป็นระยะ
พอไปถึงห้องที่ขังหลี่หลินเอ๋อร์เอาไว้ ดูเหมือนว่าจะยังมีคนอยู่ด้านใน
“บ้าเอ๊ย จัดการค้นซะ”
ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่หลินเอ๋อร์ก็ถูกช่วยเหลือออกไปเป็นที่เรียบร้อย ก่อนพวกเขาทั้งหมดจะรีบหลบออกไปจากเมือง
พวกเขาเพิ่งออกจากเมืองมาได้ไม่นานนัก ทว่ายังไม่ทันจะได้โล่งใจ สรรพสิ่งรอบตัวพลันสว่างขึ้น จากนั้นพวกเขาจึงเห็นร่างของคนผู้หนึ่งสาวเท้าออกมาจากด้านหลังของเปลวไฟ
เซียวฉีเทียนและพรรคพวกยืนอยู่ตรงนั้น รวมถึงเฉียวเทียนช่างที่ควรจะอยู่ข้างกายหนิงเมิ่งเหยาด้วยเช่นกัน
“พวกเรารอเจ้าอยู่นานแล้ว ในที่สุดก็มาเสียที” เซียวฉีเทียนขยับคอ เขาดูมีท่าทางตื่นเต้น
หลินจือโยวเตะเซียวฉีเทียน “อย่ามาเป็นภาระที่นี่ล่ะ”
“เจ้าว่าใครเป็นภาระกัน”
เฉียวเทียนช่างมองทั้งสองคนด้วยสายตาเย็นชา ทั้งสองรีบหุบปากลงทันที
ชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดีเท่าใดนักเพราะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ดังนั้นคงจะดีกว่าหากไม่ไปยั่วโมโหเขาเข้า มิฉะนั้นพวกเขาทั้งคู่คงเหมือนหาเรื่องโดนซ้อมเป็นแน่
“ฆ่าทิ้ง”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเริ่มเข้าโรมรันกัน หลี่หลินเอ๋อร์ที่อยู่ในกลุ่มคนชุดดำกลับกระโจนออกมาและปลิดชีพคนชุดดำสองคนไปอย่างรวดเร็ว
นางเก็บดาบที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาและเข้าจู่โจมผู้ที่อยู่รอบตัวนาง
หลายคนจากกลุ่มชายชุดดำต่างงงงันเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเอ่ยขึ้นว่า “ถอนตัว”
ดูเหมือนพวกเขาจะพลัดเข้ามาอยู่ในกับดักของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเทียนช่างเยาะยิ้มขณะมองกลุ่มคนที่กำลังหลบหนีไป เขาหยิบธนูของลูกน้องคนหนึ่งขึ้นมาก่อนยิงลูกธนูออกไปห้าดอก สองสามคนในกลุ่มคนเหล่านั้นกลายเป็นศพในทันที
“จับคนที่รอดชีวิตอยู่ให้หมด อย่าปล่อยให้พวกมันฆ่าตัวตายได้” เฉียวเทียนช่างโยนคันธนูให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างกายตนขณะออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
เดิมทีคนในชุดดำตั้งใจจะกัดฟันด้านหลังเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำเช่นนั้น กรามของพวกเขาก็ถูกง้างออกและฟันที่ซ่อนยาพิษเอาไว้ก็ถูกถอนออกไปพร้อมกัน
“ดูท่าพวกมันจะเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี” เมื่อเห็นฟันที่ซ่อนยาพิษในมือ ใครๆ ก็รู้ได้ทันทีว่ามีพิษซ่อนอยู่ข้างในเป็นแน่ ดูเหมือนว่าคนพวกนี้เตรียมใจตายกันมาเป็นอย่างดี
“พาตัวพวกมันกลับมา ฉีเทียน บอกชวี่เฟิงให้สอบปากคำพวกมันด้วยตัวเอง แล้วก็ให้ชิงซวงใช้ยากับพวกมันด้วย พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินชื่อชิงซวง เซียวฉีเทียนก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นั้นช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนักที่สามารถคิดค้นยาพิลึกๆ พรรค์นั้นขึ้นมาได้
เฉียวเทียนช่างกระโดดขึ้นม้ามุ่งหน้าสู่เมืองหลวงและกลับไปที่จวนแม่ทัพ หนิงเมิ่งเหยายังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เฉียวเทียนช่างล้างกลิ่นคาวเลือดออกจากตัวแล้วก้าวขึ้นเตียง เขากอดนางไว้ในอ้อมอกก่อนหลับตาลง
หลังการจับกุมกลุ่มคนชุดดำ ในตอนแรกเซียวชวี่เฟิงคิดจะสอบปากคำคนพวกนั้นด้วยตัวเอง แต่เพราะผลลัพธ์ที่ได้ออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าใดนัก เขาจึงวางแผนส่งต่อให้กับชิงซวงและพรรคพวกของนาง
เฉียวเทียนช่างไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของเซียวชวี่เฟิง เขาส่งเรื่องต่อให้กับหนานอวี่และชิงซวงในทันที
ส่วนหนานชี หลังจากงานแต่งงานของหนานอวี่ เขาก็กลับไปเหมียวเจียงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาได้รับภารกิจเพิ่มไปด้วย และภารกิจนั้นคือการสืบหาจุดประสงค์ว่าเหมียวเจียงส่งคนมาเพื่ออะไร
เพียงวันเดียว ชิงซวงและหนานอวี่ก็ได้ข้อมูลที่เฉียวเทียนช่างต้องการ
“ชิงซวง เจ้าเป็นผู้หญิง เจ้าช่วยอ่อนโยนกว่านี้ได้หรือไม่” เซียวฉีเทียนที่รู้ว่าชิงซวงสอบปากคำคนพวกนั้นอย่างไรตัวสั่น ในดวงตาของเขามีความหวาดกลัวปรากฏอยู่ยามมองชิงซวง
ชิงซวงกะพริบตา นางมองหนานอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ข้าน่ากลัวมากหรือ”
บทที่ 398 ราชครูแห่งเหมียวเจียง
“ไม่เลย เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว” หนานอวี่ส่ายศีรรษะ เขาไม่คิดว่านางน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเซียวฉีเทียนแข็งทื่อ เขามองคนทั้งสองอย่างเงียบๆระหว่างทั้งคู่ดูมีความเข้ากันอย่างประหลาดอันไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้ลอยวนอยู่
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าสองคนเป็นคู่ที่ฟ้าประทานมาให้กันและกันจริง ๆ” เซียวฉีเทียนถอนหายใจออกมาแรงๆ เขามองทั้งสองด้วยสายตาซับซ้อนพลางเอ่ยขึ้นเช่นนั้น
หนานอวี่เลิกคิ้ว “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” แน่ล่ะว่าภรรยาของเขาต้องเหมาะสมกับเขาที่สุด
เซียวฉีเทียนพลันรู้สึกว่าหลังจากแต่งงานแล้วบุรุษผู้เคยเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งกลับกลายไปเป็นถ่านอันคุกรุ่นแทน
“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้กับพวกเจ้าแล้ว ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ที่สุดในเวลานี้ ส่วนเรื่องอันยืดยาวไม่รู้จบเช่นนั้น เอาไว้พวกเขาค่อยไปคุยกันทีหลังก็ยังได้
หนานอวี่มองเซียวชวี่เฟิง เขามีสีหน้าเคร่งเครียด “คนพวกนี้ไม่รู้อะไรมาก พวกเขารู้แค่ว่าหลี่หลินเอ๋อร์เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ราชครูวางเอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในเมืองเซียวมีหมากเช่นนี้อยู่กี่ตัวกันแน่”
“ราชครูหรือ” เซียวชวี่เฟิงนิ่วหน้า เขาจำไม่ได้ว่าเมืองนั้นมีราชครูด้วย
“ราชครูแห่งเหมียวเจียงขอรับ” หนานอวี่เอ่ยด้วยสีหน้ายากที่จะเข้าใจ
“ราชครูแห่งเหมียวเจียงงั้นหรือ เหมียวเจียงมีราชครูตั้งแต่เมื่อใด”
หนานอวี่รู้สึกสงสัยเช่นกัน เหมียวเจียงไม่เคยมีราชครูมาก่อน และตอนที่พวกเขาออกจากเหมียวเจียงมา ที่แห่งนั้นก็ไม่มีราชครูเช่นนั้นอยู่เลย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้ขอรับ อาจเป็นไปได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เหมียวเจียงในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ก็ได้ขอรับ ส่วนรายละเอียดจะเป็นเช่นใดนั้น ข้าเกรงว่าเราคงต้องรอจนกว่าเสี่ยวชีจะกลับมาก่อนจึงจะรู้” หนานอวี่รู้สึกเป็นกังวล หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่รู้ว่าหนานชีจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า “มีข้อมูลมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือเปล่า”
“มีขอรับ เซียวเฉิงหย่าผู้เป็นมารดาของพี่สะใภ้ก็อาจจะอยู่ในเหมียวเจียงขอรับ” หนานอวี่บอกข้อมูลสำคัญออกมา
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“ขอรับ ครั้งนี้นอกเหนือจากการช่วยชีวิตหลี่หลินเอ๋อร์แล้ว จุดประสงค์อื่นของพวกมันคือการค้นหาของบางอย่างขอรับ แต่พวกมันก็ไม่แน่ใจว่าของสิ่งนั้นคืออะไร พวกมันจำได้เพียงว่าเป็นของใช้ส่วนพระองค์ขององค์หญิงใหญ่ในเวลานั้นขอรับ” หนานอวี่ส่ายศีรษะ เขาไม่รู้เรื่องนี้มากนัก
เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า “หลังจากเจ้ากลับไป รายงานให้เทียนช่างและคนอื่นๆ ฟังเสีย แต่บอกพวกเขาด้วยว่าอย่าวู่วาม บอกให้รอฟังข่าวจากเสี่ยวชีก่อน”
“ขอรับ”
หลังจากรายงานทุกอย่างที่ตนสามารถรายงานได้เป็นที่เรียบร้อย หนานอวี่และชิงซวงจึงกลับไปยังจวนแม่ทัพ
“เป็นเช่นใดบ้าง”
“พวกข้าได้ข้อมูลมาแล้วขอรับ ข้าคิดว่ามันคงเป็นข่าวดีสำหรับพี่สะใภ้และท่านผู้สำเร็จราชการ” หนานอวี่มองหนิงเมิ่งเหยาและหนานกงเยี่ยนขณะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หนิงเมิ่งเหยามองหนานอวี่อย่างงุนงง นางกำลังสับสน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“พี่สะใภ้ ท่านแม่ของท่านอาจจะอยู่ที่เหมียวเจียงขอรับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ยังไม่ทันที่หนิงเมิ่งเหยาจะได้พูดอะไร หนานกงเยี่ยนกลับผุดลุกขึ้นในทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
หนานอวี่พยักหน้า “หัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาขอรับ น่าจะมีความเป็นไปได้มากอยู่”
ในเมื่อตอนนี้มีข่าวคราวเรื่องเซียวเฉิงหย่าบ้างแล้ว หนานกงเยี่ยนจึงรู้สึกดีใจมาก แต่เขาก็รเป็นกังวลมากเช่นกัน เพราะกลัวว่านางอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในที่แห่งนั้น
“ข้าต้องไปหานาง”
“ท่านพ่อตา อย่าวู่วามขอรับ” เฉียวเทียนช่างรีบหยุดเขาเอาไว้
“ใช่แล้วท่านพ่อ เหมียวเจียงเป็นดินแดนที่ยังเป็นปริศนาสำหรับพวกเราอยู่ ถึงแม้ว่าเสี่ยวชีจะอยู่ที่นั่น แต่เขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนั้นดีนัก และยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ของที่นั่นเป็นเช่นใด ข้าคิดว่าเราควรรอให้เสี่ยวชีคุ้นเคยกับภูมิประเทศและสถานการณ์ของที่นั่นให้มากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง” หนิงเมิ่งเหยาไตร่ตรองก่อนได้ข้อสรุปของตนออกมา
หนานอวี่และหนานชีเป็นศัตรูกับเหมียวเจียงเพราะตระกูลของเขาถูกสังหารที่นั่น ในไม่ช้าเขาทั้งสองต้องหาทางแก้แค้นแน่ ดังนั้นก่อนออกเดินทาง พวกเขาจำเป็นจะต้องรอจนกว่าจะมั่นใจว่าสถานการณ์ทั้งหมดของที่แห่งนั้นเป็นเช่นใดกันแน่ ขณะที่กำลังตามหาเซียวเฉิงหย่า พวกเขาก็จะได้ล้างแค้นให้กับหนานอวี่และหนานชีไปด้วย
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในเหมียวเจียงบ้าง ดังนั้นคงดีกว่าที่จะรอให้เสี่ยวชีตรวจสอบสถานการณ์ของที่นั่นจนมั่นใจก่อนแล้วค่อยออกเดินทางขอรับ” หนานอวี่กัดริมฝีปากอันเย็นเฉียบของตนแล้วเอ่ยขึ้น ในดวงตาของเขามีเพลิงแห่งความโกรธปะทุอยู่
ผู้สำเร็จราชการพยักหน้าเมื่อเห็นหนานอวี่มีท่าทางเช่นนั้น “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราจะมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยกัน เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะได้ล้างแค้นและคืนความแค้นนี้กลับไปให้พวกมันอย่างสาสมเสีย”
หนานอวี่อ้าปากขึ้นคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับทำเพียงพยักหน้าเบาๆ
การปล่อยให้หนานชีอยู่ในเหมียวเจียงเพียงลำพังทำให้เฉียวเทียนช่างรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“เอาล่ะ ข้าจะส่งคนไปที่นั่น” อวี้เฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของพวกเขา
“ท่านพี่เขย…”
“เจ้าคงลืมไปแล้วว่าในทงเป่าไจก็มีคนที่รู้เรื่องกู่พิษอยู่เช่นกัน”