เกิ่งจื่อเจียงสีหน้าขมขื่นยิ่งกว่าเก่า ก็จะให้เขาทำยังไงได้อีกล่ะ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ที่เอาแต่ตื๊อชนิดที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ นอกจากสีหน้าขมขื่นแล้ว เขาเองก็หาสีหน้าอย่างอื่นมาเผชิญกับป้าของเขาไม่ได้
“ป้า แบบนี้ไม่ได้หรอก เพราะถึงยังไงนี่ก็คือทรัพย์สินที่พ่อแม่ของข้าส่งต่อให้ข้า”
ป้าของเกิ่งจื่อเจียงเลิกคิ้ว “ทำไม ? ตอนนั้นไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษส่งต่อให้กับสายของพวกเจ้าหรอกรึ ? ก่อนที่บรรพบุรุษจะจากไป เขาก็พูดไว้แล้วว่าขอโทษสายของอาเจ้าด้วย และตอนนี้มีโอกาสชดเชยแล้ว ทำไมยังมาบอกว่าเป็นทรัพย์สินที่พ่อแม่เจ้าส่งต่อให้เจ้าอย่างนั้นอีกล่ะ ?”
เกิ่งจื่อเจียงนอนอยู่บนเตียง หัวคิ้วของเขาแทบขมวดเข้าหากันเป็นรูปคลื่นอยู่แล้ว “ป้าพูดแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ ตอนนั้นบรรพบุรุษเป็นเพียงพ่อค้าหาบเร่ที่ขายยารักษาโรคตามตรอกซอกซอยเท่านั้น สิ่งที่ส่งต่อให้ก็แค่ไม้คานกับยาไม่กี่ชนิด… เป็นท่านปู่กับท่านย่า รวมทั้งพ่อแม่ของข้าที่ดูแลจัดการทรัพย์สินในบ้านทีละเล็กทีละน้อยจนเติบโตมาเป็นร้านยาอย่างในปัจจุบันนี้ต่างหากล่ะ”
ป้าของเกิ่งจื่อเจียงตวาดขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้ “เจ้ามันเด็กเนรคุณ! ถ้าไม่มีไม้คานของบรรพบุรุษในตอนนั้น จะมีร้านยาของเจ้าร้านนี้ได้ยังไง ?! ตอนนี้เจ้ายังมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้กับข้าอีก เจ้ามันสันดานเสีย! มิน่า ถึงได้เกือบถูกจับตัวไปเข้าคุก ข้าล่ะเจ็บใจจริง ๆ ที่สั่งสอนเจ้าไม่ดี ข้าทำให้พ่อแม่เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว”
พูดถึงช่วงสุดท้าย จู่ ๆ นางก็ทำสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว
เกิ่งจื่อเจียงถูกด่าฉอด ๆ ๆ จนตกตะลึงพูดไม่ออกไปแล้ว
ทว่าเมื่อเจียงป่าวชิงดูภาพฉากนี้จบ นางก็พอจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น นางวางผักลงบนโต๊ะข้าง ๆ แล้วพูดเอื่อย ๆ ว่า “ป้าจ๊ะ กฎของต้าหลงมีอยู่หนึ่งคำ มันเรียกว่าแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ป้าต้องการทำความเข้าใจกับคำนี้หน่อยไหมจ๊ะ ?”
สีหน้าป้าของเกิ่งจื่อเจียงเปลี่ยนไปทันที แต่นางยืดคอสู้ในทันใด “ข้าคุยกับหลานชายคนโตของบ้านข้าอยู่ เด็กสาวคนนอกอย่างเจ้าจะพูดแทรกทำไมล่ะ ไม่รู้จักมารยาทเลย”
เจียงป่าวชิงคงรอยยิ้มอ่อนโยนไว้บนใบหน้า “เพราะว่าข้าเข้าใจในกฎเกณฑ์ยังไงล่ะจ๊ะ ข้าถึงต้องการเตือนป้าสักหน่อย กฎของต้าหลงส่งเสริมให้ผู้คนรายงานการกระทำที่ผิดกฎหมาย และตอนนี้ป้ากำลังพูดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อบังคับให้หมอเกิ่งที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บมา มอบสิทธิ์ในการครอบครองโฉนดที่ดินให้ ซึ่งนี่คือการแย่งชิงทรัพย์สมบัติของเขาเห็น ๆ และถ้าหากว่าข้าฟ้องท่านขุนนางอำเภอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ป้าลองเดาดูสิจ๊ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ?”
ป้าของเกิ่งจื่อเจียงตกใจจนหน้าเขียวเพราะคำพูดข่มขู่ของเจียงป่าวชิง “เจ้าเด็กนี่ เจ้า… เจ้าอย่าพูดพล่อย ๆ ดูจากไหนกันว่าข้าตั้งใจแย่งชิงทรัพย์สมบัติของจื่อเจียง ? ข้า… ข้าแค่ทำเพื่อไม่ให้ขายหน้าบรรพบุรุษของจื่อเจียงก็เท่านั้น ถ้าไม่ได้จริง ๆ ข้าค่อยให้อาของจื่อเจียงซื้อด้วยเงินก็ได้หนิ”
เจียงป่าวชิงมองเกิ่งจื่อเจียงด้วยแววตาตั้งคำถาม “ว่าไงล่ะ หมอเกิ่งยอมหรือเปล่า ?”
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกกลุ้มใจอย่างหนัก “แม่นางเจียง เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่กิจการของข้าซบเซา ข้ายังรักษาร้านยานี้และไม่เคยคิดขายด้วยซ้ำ ตอนนี้กิจการเติบโตขึ้นแล้ว ข้าไม่ขายมันแน่นอน”
เจียงป่าวชิงมองป้าของเกิ่งจื่อเจียงอีกครั้ง “ป้าได้ยินรึยัง ? บังคับซื้อบังคับขายก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎของต้าหลงเช่นกันจ้ะป้า”
ป้าของเกิ่งจื่อเจียงโมโหสุดขีด หน้าเขียว ๆ ของนางกลายเป็นซีดแล้ว นางพูดด้วยความโกรธขึ้ง “อันนี้ก็ไม่ได้อันนั้นก็ไม่ให้เอา ทำไมถึงเรื่องเยอะขนาดนี้! งั้นเจ้าบอกมาสิว่าจะเอายังไง ?!”
เจียงป่าวชิงมองป้าของเกิ่งจื่อเจียงด้วยรอยยิ้ม “อะไรคือจะเอายังไง ? ป้าจ๊ะ ช่วยทำความเข้าใจหน่อย ท่านเป็นป้าที่จู่ ๆ ก็วิ่งมาหวังจะฮุบเอากิจการร้านยาของหมอเกิ่งเอง แต่ตอนนี้กลับมาถามเราว่าจะเอายังไงอย่างนั้นรึ ?”
ป้าของเกิ่งจื่อเจียงพูดติดอ่าง “มะ… ไม่ใช่… ไม่ใช่ว่าข้ากลัวจื่อเจียงจะทำให้กิจการของบรรพบุรุษต้องสูญเสียไปและอับอายขายหน้าชาวบ้านหรอกรึ ?”
ขณะนี้ เจียงป่าวชิงที่ยิ้มแย้มมาตลอดก็เก็บรอยยิ้มกลับไป นางขี้เกียจทนผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวแบบป้าคนนี้แล้ว
“ป้าจ๊ะ ข้าอยากพูดแก้ให้ป้าตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว แต่เห็นแก่ที่ป้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของหมอเกิ่ง ข้าจึงอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะป้าพูดอยู่ได้ ข้าจึงอยากถามว่าหมอเกิ่งทำอะไรให้ถึงทำให้ป้ารู้สึกอับอายขายหน้าขนาดนั้น ? ก็จริงที่หมอเกิ่งมีความผิดโทษฐานให้ที่ซ่อนตัวผู้ทำผิดกฎหมาย แต่ท่านขุนนางอำเภอก็ตัดสินแล้วนี่จ๊ะว่าลงโทษเขาโดยการตีแปดสิบไม้กระดานและขังเขาเป็นเวลาสามเดือน แต่ตอนหลังท่านขุนนางอำเภอได้ยินว่าเขาเป็นหมอดีที่ชอบช่วยเหลือผู้คน ท่านขุนนางอำเภอถึงได้ผ่อนปรนลดโทษหมอเกิ่งเหลือการตีแค่ห้าสิบไม้กระดาน เสร็จแล้วก็ปล่อยกลับบ้าน ท่านขุนนางอำเภอที่เพิ่งดำรงตำแหน่งใหม่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นขุนนางดีสุจริตเที่ยงธรรม แม้แต่ขุนนางที่ดีแบบนี้ยังเห็นแก่ที่หมอเกิ่งเป็นหมอช่วยเหลือผู้คนจึงผ่อนปรนโทษให้เลย นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผย ณ ที่นี่แล้ว แต่ทำไมตอนนี้ป้ายังไม่ยอมรับอีกล่ะ ? หรือว่าป้าเก่งกว่าท่านขุนนางอำเภอ ? แล้วถ้านำคำพูดนี้ไปพูดที่แท่นตัดสินล่ะ ?”
เจียงป่าวชิงพูดยาวเหยียดจนทำให้ป้าของเกิ่งจื่อเจียงหน้าซีดเผือด เถียงอะไรไม่ได้
“เจ้า… เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!” ป้าของเกิ่งจื่อเจียงมองจากประตูที่เปิดอยู่ออกไปที่ลานบ้านอย่างขลาด ๆ เพื่อดูว่ามีคนได้ยินหรือไม่ ชาวบ้านในซอยนี้ล้วนรับรู้โดยทั่วกันว่าท่านขุนนางอำเภอเป็นขุนนางที่มีอำนาจมาก การที่ใครสักคนจะมาบอกว่าตัวเองเก่งกว่าท่านขุนนางอำเภอมันออกจะย่ำแย่ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คงไม่วายถูกคนอื่น ๆ หัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตรงทางเข้า ตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้ ใช่ว่าจะมีคนว่างการว่างงานมาฟังเรื่องบ้านอื่นสักหน่อย
“พอเถอะ เจ้าพักผ่อนเยอะ ๆ แล้วกัน ข้าต้องกลับไปทำข้าวกลางวันแล้ว” ป้าของเกิ่งจื่อเจียงเจอเข้าไปแบบนี้ก็ไม่กล้าอยู่ให้อับอายขายขี้หน้าต่อ นางจึงจากไปราวกับกำลังหนีอย่างไรอย่างนั้น
เกิ่งจื่อเจียงที่นอนอยู่บนเตียงโล่งอกทันที แต่ในใจของเขายังคงรู้สึกเห็นใจป้าอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นญาติของเขานี่นะ
เจียงป่าวชิงเห็นเกิ่งจื่อเจียงมีท่าทีดีใจก็อดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกมาทางจมูก “หมอเกิ่ง เจ้าช่วยแข็งแกร่งหน่อยได้ไหมล่ะ ? ข้าช่วยขัดขวางได้ครั้งหนึ่ง ใช่ว่าจะสามารถช่วยขัดขวางครั้งที่สองได้นะ”
เกิ่งจื่อเจียงพูดเสียงเบา “เอาเถอะ ๆ ถึงยังไงถ้าข้ายืดหยัดว่าไม่ให้ก็น่าจะได้แล้วหนิ” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็มีท่าทีเหี่ยวแห้งปรากฏให้เห็น “เมื่อก่อนป้าดีกับข้ามาก มีครั้งหนึ่งนางเคยมาช่วยทำกับข้าวให้ข้า แล้วยังเคยเย็บเสื้อผ้าให้ข้าอีกด้วย”
“พอเลยพอ” เจียงป่าวชิงทำมือประมาณว่าหุบปากเดี๋ยวนี้ “ทำไมหมอเกิ่งถึงได้พอใจง่ายขนาดนี้ล่ะ ? ทำกับข้าวกับเย็บเสื้อผ้าให้ ก็คิดว่านางดีด้วยมากแล้วอย่างนั้นสิ ?”
ชายคนนี้ขาดความรักเกินไปไหม ? เห็นได้ชัดว่าป้าคนนั้นมาแย่งชิงทรัพย์สินของเขาถึงบ้าน นี่เขายังคิดว่านางดีกับเขามากอีกหรือ ?
เจียงป่าวชิงคิดว่าโชคดีที่ไม่ให้เขารู้ว่านางดูแลเขาตลอดทั้งคืน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องยกตัวเขาเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน
เจียงป่าวชิงดีใจมากจริง ๆ
เกิ่งจื่อเจียงถอนหายใจ “เฮ้อ! เดิมทีข้าคิดว่าถ้าข้าตายหรืออะไร ข้าจะยกร้านนี้ให้พวกอาของข้า”
เจียงป่าวชิงเหลือบมองเกิ่งจื่อเจียง “ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าให้คนอื่นได้ยินความคิดนี้ของเจ้าเด็ดขาด ถ้าหากว่าป้ารู้ ไม่แน่นางอาจจะคาดหวังให้เจ้าตายเร็ว ๆ ก็ได้”
อันที่จริง บอกว่าคาดหวังให้ตายยังเบาไปด้วยซ้ำ แค่ท่าทางน่าเกลียดที่ป้าของเขาแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งเมื่อสักครู่นี้ เจียงป่าวชิงก็ถึงกับต้องสงสัยแล้วว่าถ้าหากป้าของเขารู้เรื่องนี้ นางจะคิดหาวิธีทำให้เกิ่งจื่อเจียงตายจริงไหม
เกิ่งจื่อเจียงเงียบไม่พูดอะไร
“พอแล้ว พอ ๆ ๆ ข้าซื้อผักกลับมาจากข้างนอก เจ้าอยากกินอะไรล่ะ ?” เจียงป่าวชิงเอ่ยถาม
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกแปลก ๆ ทันที “หา! เจ้าจะทำกับข้าวให้ข้ากินรึ ?”
เจียงป่าวชิงนึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของเกิ่งจื่อเจียง ขนาดป้าของเขาทำอาหารให้เขาแค่ครั้งเดียว เขายังจำมาจนถึงทุกวันนี้ นางอดไม่ได้ที่จะหน้าดำคร่ำครึแล้วพูดอย่างจริงจัง “อย่าไปคิดมากเลยหมอเกิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าใช้เงินของเจ้าไปนิดหน่อย ถึงแม้จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายล่วงหน้า แต่ถึงยังไงก็ถือว่าข้าได้รับน้ำใจจากเจ้า บุญคุณต้องตอบแทนด้วยบุญคุณสิ เจ้าเข้าใจหรือเปล่า ?”
เกิ่งจื่อเจียงพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวอย่างไรอย่างนั้น “อืม เข้าใจ เข้าใจ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะหันไปมองผักบนโต๊ะ “เอาล่ะ งั้นข้าไม่ถามเจ้าแล้วว่าอยากกินอะไร เพราะถึงยังไงก็ซื้อมาแล้ว ข้าทำอะไรเจ้าก็กินอันนั้นแล้วกัน”
“ได้ ได้เลย”
เจียงป่าวชิงรู้สึกพึงพอใจมาก นางเดินยิ้มถือผักไปที่ห้องครัวเพื่อไปทำอาหารด้วยตัวเอง
.