บทที่ 586 จดจำหน้าของเขาเอาไว้!
เมื่อไฟในเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ถูกจุดขึ้นและทุกสิ่งทุกอย่างในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนกลับมาเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง บรรดาผู้คนที่ยังไม่ทันได้เข้าไปด้านในตำหนักก็พบว่าในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปด้านในตำหนักได้อีกแล้ว
พอเห็นภาพเช่นนี้ทุกคนต่างรู้สึกตกตะลึงและไม่ยินยอม พวกเขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงขนาดนี้แล้วพวกเขาจะยอมถอดใจได้ยังไง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนจึงเริ่มโจมตีไปยังกำแพงพลังวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลป้องกันของตำหนักหลีเทียนอย่างเต็มกำลังทันที แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีไปสักเท่าไหร่กำแพงพลังวิญญาณมันก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใด ๆ เลย
“หลบไปให้พ้นทาง! ข้าจะใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของข้าผ่าไอ้กำแพงพลังวิญญาณนี้ทิ้งซะ!”
เหล่าผู้คนได้ยินว่ากำลังจะมีใครสักคนนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาทำลายกำแพงพลังวิญญาณ พวกเขาต่างก็รีบหลบทางให้ทันที ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะถูกลูกหลงและถูกทำลายไปพร้อมกับกำแพงพลังวิญญาณก็เป็นได้
เมื่อเหล่าผู้คนแหวกทางให้และมองไปยังต้นเสียง พวกเขาก็ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วผู้ที่เอ่ยปากจะทำลายกำแพงพลังวิญญาณด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ครึ่งคนครึ่งช้างร่างยักษ์ที่สูงกว่า 300 เมตรตนหนึ่ง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือช้างที่มาจากเผ่าอสูรปีศาจ ซึ่งแน่นอนว่าช้างตนนี้คืออสูรระดับสูงของเผ่าพันธุ์มัน
เมื่อเห็นอสูรช้างร่างยักษ์ที่เดินด้วย 2 ขาตัวใหญ่ขนาดนี้กำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ เหล่าผู้คนก็รีบถอยหนีออกไปมากกว่าเดิมทันที เพราะด้วยความใหญ่โตของร่างกายมัน หากบังเอิญโดนมันเหยียบเข้าชีวิตของพวกเขาก็คงไม่เหลือเหมือนกัน
เมื่ออสูรช้างเดินเข้ามาใกล้กับกำแพงพลังวิญญาณแล้ว มันก็หยิบเอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นขวานอันยักษ์พอ ๆ กับร่างกายมันขึ้นมา และจากนั้นมันก็สับขวานลงไปที่กำแพงพลังวิญญาณทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ
ด้วยอำนาจของขวานที่เป็นถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เมื่อคมขวานกระทบเข้ากับกำแพงพลังวิญญาณ กำแพงพลังวิญญาณก็พังทลายกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ทันที
“ใครบังอาจโจมตีตำหนักของข้ากัน?” วิญญาณเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตะโกนขึ้น
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเพิ่งจะถูกทำให้ฟื้นขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวกำแพงพลังวิญญาณที่ป้องกันตำหนักกลับถูกไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ทำลายจนเป็นรูโหว่ขนาดนี้มันจะไม่โกรธได้ยังไง?
เมื่ออสูรช้างเห็นเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลอยออกมาเผชิญหน้ากับมัน มันก็รีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที “ตามที่คาดไว้จริง ๆ ว่าที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้อยู่ ฮ่าฮ่าฮ่า เอาล่ะต่อไปนี้เจ้าเป็นของข้า!”
เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “เป็นเจ้าเองสินะที่สร้างความเสียหายให้กับตำหนักของข้า? เข้ามา! ข้าจะเผาเจ้าให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูก!”
เมื่อพูดจบเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ขยายขนาดเตาเป็นกว้างกว่า 300 เมตรและปล่อยเพลิงของมันเองออกมาล้อมรอบเตาไว้ทั้งหมด
ทางด้านของอสูรช้างก็ไม่อาจประมาทเพราะมันสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ธรรมดาเลย มันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเริ่มทำการสังเวยเลือดในร่างของมันครึ่งหนึ่งไปยังขวานศักดิ์สิทธิ์ในมือ และจากนั้นมันก็โยนขวานขึ้นไปบนฟ้า
หลังจากได้รับการสังเวยเลือดมาแล้ว ขวานศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งแสงสีแดงออกมาทันทีและจู่ ๆ ก็ร่างเงามายาที่ดูคล้ายมนุษย์ร่างหนึ่งก่อตัวขึ้นจับขวานเล่มยักษ์นี้เอาไว้และพุ่งเข้าไปหาเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตะคอกเสียงด้วยความโกรธ “มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอเช่นนี้กับกล้ากำแหงต่อหน้าข้างั้นเรอะ!”
ทันทีที่พูดจบ เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์เอียงตัวมันไปมาเพื่อผสมเปลวเพลิงหนานหมิงเข้ากับประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงอาทิตย์ทั้งหก เพื่อเตรียมที่จะเทมันออกไปหาขวานศักดิ์สิทธิ์และอสูรช้าง
เพลิงที่เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์เตรียมจะเทออกไปนั้นมันคือเพลงระดับศักดิ์สิทธิ์! ถึงแม้ว่าขวานศักดิ์สิทธิ์จะไม่เป็นอะไรแต่อสูรช้างที่อยู่ด้านหลังมันนั้นไม่มีวันทนเพลิงระดับนี้ได้ และต้องถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน
แต่แล้วก่อนที่มันจะได้เทเพลิงออกจากปากเตา หลิงตู้ฉิงก็ส่งโทรจิตไปหาเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ “อย่าเผาช้างนั่นจนตาย เจ้าแค่จับตัวมันกับขวานศักดิ์สิทธิ์นั่นมาให้ข้าก็พอ”
เมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกหดหู่ใจ การที่มันจะฆ่าอสูรช้างนั้นมันก็ต้องใช้ความพยายามมากอยู่แล้ว แต่แล้วตอนนี้หลิงตู้ฉิงกลับบอกให้มันเปลี่ยนวิธีเป็นจับกุมตัวเอาไว้ ซึ่งมันยากยิ่งกว่า
ถึงต่อให้จับมาได้แล้วจริง ขวานศักดิ์สิทธิ์นั่นก็เอามาใช้ต่อไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจะเปลืองแรงจับมันไว้ทำไม?
แต่แล้วชั่วพริบตาต่อมาเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เห็นว่า จู่ ๆ ขวานศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดการโจมตีของมันลงกลางคันและก็ดึงพลังของมันกลับลงไปในด้ามขวานจนหมด ราวกับว่าหลิงตู้ฉิงเป็นผู้ที่ทำให้ขวานศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นนี้
เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์อึ้งอยู่สักพัก จากนั้นเมื่อมันได้สติ มันก็จัดการทำให้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในปากเตาของมันสงบลงและพุ่งไปดูดเอาทั้งขวานศักดิ์สิทธิ์และอสูรช้างเข้ามาอยู่ในเตา จากนั้นมันก็บินลอยกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตำหนักหลีเทียนเหมือนเดิม
หลังจากกลับมาถึงห้องโถงใหญ่ เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เททั้งอสูรช้างและขวานศักดิ์สิทธิ์ลงไปที่ด้านข้างห้องโถง จากนั้นมันจัดแจงใช้อำนาจค่ายกลป้องกันของตำหนักปิดผนึกระดับการบ่มเพาะของช้างอสูรเอาไว้และจัดตำแหน่งให้ตัวของช้างอสูรลอยอยู่เหนือคมขวานศักดิ์สิทธิ์เผื่อไว้ว่าถ้าอสูรช้างกระดุกกระดิกตัวรุนแรงเมื่อไหร่ อำนาจที่ทำให้อสูรช้างลอยตัวอยู่จะคลายออกทันทีและจะทำให้ตัวมันหล่นมาทับคมขวาน ซึ่งถ้าไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส
“นายท่าน วิธีการที่ท่านใช้เมื่อครู่มันคืออะไรกัน?” เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัยผ่านทางโทรจิต
หลิงตู้ฉิงตอบกลับผ่านทางโทรจิตว่า “ข้าใช้ทักษะสวรรค์มหาบงการของตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์ในการสยบมันเมื่อครู่ แต่ถ้าหากมันยังต่อต้านอีกรอบ เจ้าจงใช้ประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงอาทิตย์ทั้งหกในการทำลายจิตสำนึกของมันซะ แล้วเดี๋ยวข้าจะกลับไปมอบประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงอาทิตย์ทั้งหกให้เจ้าใหม่อีกรอบ”
“ขอบคุณ นายท่าน!” เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์รีบตอบกลับทันที
จากนั้นมันก็เฝ้าจับตาดูขวานศักดิ์สิทธิ์ว่าจะมีอาการต่อต้านอะไรบ้างอีกหรือไม่
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้คนที้อยู่ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนต่างก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกได้แต่มองกำแพงพลังวิญญาณค่อย ๆ ซ่อมแซมตัวเองโดยที่ไม่กล้าจะย่างกรายเข้าไปด้านในอีกแล้ว
แม้แต่อสูรช้างระดับสูงที่มีขวานศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวยังถูกสยบซะราบคาบ มันจะยังมีใครที่กล้าจะหืออืออะไรได้อีก?
ส่วนบรรดาพลพรรคของอสูรช้างในเวลานี้ต่างก็พากันบินหนีไปด้วยความตื่นตระหนกเพื่อไปแจ้งข่าวนี้ให้พรรคพวกของตัวเองได้ทราบ และอาจจะพากำลังเสริมกลับมาที่นี่อีกรอบ
ทางด้านของเหล่าผู้คนที่อยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนก็เริ่มใจคอไม่ค่อยจะดีแล้ว โดยเฉพาะเหล่าตัวตนที่พกอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาด้วยเพื่อป้องกันตัวเองจากภัยอันตรายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เมื่อเห็นภาพที่เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์สำแดงอำนาจของมันเองออกมาน่ากลัวขนาดนี้ พวกเขาก็รู้ตัวแล้วว่าต่อให้พวกเขามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว พวกเขาก็ไม่อาจปลอดภัยได้เช่นกัน
จะมีก็เพียงแค่คนเดียวที่แสดงออกต่างไปจากคนอื่น ๆ ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ เย่เจียงไห่ ที่กำลังฝึกฝนเพลิงหนานหมิงอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเขาเองก็สัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดข้างนอกได้เช่นกัน และมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่คำรามออกมาด้วยความโกรธ
เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นมันเป็นสมบัติของเขา! แต่ตอนนี้มันกลับไปมองว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเจ้านายของมันซะอย่างนั้น!
ในอีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงแสร้งทำตัวเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องราวการสู้รบข้างนอกตำหนัก เขาพูดกับคนของเขาว่า “จุดที่เราอยู่ในตอนนี้คือห้องหลอมสมบัติ ซึ่งกฎยังคงเหมือนเดิม จงเลือกชิ้นที่พวกเจ้าถูกใจที่สุดเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ส่วนสิ่งที่พวกเจ้าเลือกไปนั้นมันจะดีหรือไม่ดีมันขึ้นอยู่โชคของพวกเจ้าเอง”
ในตอนที่เดินเข้ามา หลิงตู้ฉิงได้กวาดสายตามองเหล่าสมบัติทุกชิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาเห็นว่าสมบัติที่อยู่ในนี้ที่มีระดับสูงที่สุดมันก็เป็นเพียงแค่ระดับราชัน ดังนั้นเขาจึงยังคงไม่มีความคิดที่จะหยิบอะไรไปเพราะสำหรับเขาแล้วมันไม่มีค่าอะไรเท่าไหร่
หากเขาจะเอามันไปทำประโยชน์จริง ๆ อย่างมากที่สุดก็คือเอาไปตกแต่งคฤหาสน์ของเขาก็แค่นั้น
ในเวลาเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงพูดกับคนของเขาจบ คนกลุ่มใหม่ก็ได้เดินเข้ามาในห้องหลอมสมบัติเช่นกัน ซึ่งคนกลุ่มนี้คือคนของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์และถูกนำมาโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมาหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง
เมื่อคนของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์เห็นว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงกำลังเลือกสมบัติอยู่โดยมีมู่หลงหยานร่วมกลุ่มอยู่ด้วย พวกเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจและตะโกนสั่งกับพวกของเขาเอง “เก็บพวกมันไปให้หมดเร็ว ๆ! ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่พวกเราต้องไปสำรวจ”
“สมบัติวิเศษชิ้นนี้มันเป็นของข้า!” หยุนจื่อรุ่ยตะโกนขึ้นเสียงดังทันที
นางหมายตาสมบัติชิ้นนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่ในระหว่างตอนที่นางกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ ผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์กลับคว้ามันตัดหน้านางไปก่อน
ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นเมื่อหยิบมาแล้วและสำรวจมันดี ๆ ก็พบว่าสมบัติชิ้นนี้อยู่ในระดับราชัน ดังนั้นเขาจึงรีบเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติของเขาทันที
“ของเจ้างั้นเหรอ? สาวน้อย สมบัติทุกอย่างที่อยู่ที่นี่มันเป็นของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ดังนั้นหากใครสามารถหยิบมันได้ก่อนคนผู้นั้นก็ได้ไป” ผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามหัวเราะคิกคัก
“นายท่าน…” หยุนจื่อรุ่ยหันไปมองและพูดกับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คืนสมบัติชิ้นนั้นมาให้กับคนข้า”
บรรพบุรุษของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์เอ่ยขึ้นสวนทันที “ไอ้หนุ่ม เจ้าต้องโทษที่คนของเจ้าช้าเอง”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นข้าขอเตือนพวกเจ้าเอาไว้ การขโมยบางสิ่งบางอย่างไปจากข้า ผลลัพธ์ที่พวกเจ้าต้องเผชิญมันหนักหนามากเชียวนะ”
บรรพบุรุษของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์เหล่ตามองไปที่หลิงตู้ฉิงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่สนใจและพาคนของเขาออกไปจากห้องหลอมสมบัติ
หลิงตู้ฉิงยิ้มให้กับหยุนจื่อรุ่ย และพูดว่า “จงจดจำใบหน้าคนผู้นั้นเอาไว้ อีกไม่นานเจ้าจะได้ของจากเขาคืนมายิ่งกว่าเดิมหลายเท่า”
“รับทราบนายท่าน!” หยุนจื่อรุ่ยตอบกลับ
จากนั้นนางก็เพ่งมองไปที่บุคคลที่ชิงของนางไปและทวนภาพของคนผู้นั้นในหัวของตัวเองซ้ำ ๆ
มู่หลงหยานที่อยู่ข้าง ๆ มองไปที่เหล่าคนของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ที่กำลังเดินจากไปด้วยสีหน้าเวทนาที่คนเหล่านี้ช่างไม่รู้ตัวซะเลยว่ากำลังล่วงเกินบุคคลที่มีอำนาจควบคุมตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนได้ทั้งหมด!