เวลาผ่านไปราวกับติดปีกบิน พริบตาก็ถึงวันประลอง
จินเฟยเหยาพาพั่งจื่อไปลานประลองแต่เช้า เพราะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่มาเข้าร่วมมีถึงสองหมื่นกว่าคน ถ้าคนทั้งหมดเบียดเสียดอยู่ในสถานที่เดียวกัน ก็จะประลองไม่ได้ ดังนั้นตำหนักลั่วเซียนจึงแบ่งนอกเมืองออกเป็นสิบแห่งตามตัวเลขสุดท้ายของหมายเลขที่สมัคร ให้ผู้บำเพ็ญเซียนไปหาลานประลองที่สอดคล้องเอง
จินเฟยเหยาพบว่าตนเองมีวาสนากับหมายเลขสี่ ทำอะไรก็ต้องมีเลขสี่ เดิมทีคิดจะไปกับหลิ่วฉี่ปอ คิดไม่ถึงว่านางกับติงเทียนเฉิงต่างได้เลขหนึ่ง ไม่ได้ไปทางเดียวกันกับนาง นางจึงต้องไปสถานที่ประลองคนเดียว
ลานประลองหมายเลขสี่ที่นางตามหาอยู่ที่เชิงเขาเซียนซู่ ศิษย์ของแต่ละสำนักบนภูเขาเซียนซู่ ถือโอกาสที่อยู่ใกล้ จึงมีคนมามากมายนานแล้ว
จัดวางแท่นศิลาทั้งสิบเรียบร้อย ก็ต่อแถวอยู่บนสนามหญ้าอย่างเป็นระเบียบ ตามการนับถอยหลังของหมายเลขสองตำแหน่งด้านท้าย ตนเองหาแท่นประลองที่สอดคล้องกัน คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะมองเห็นคนผู้หนึ่งในฝูงชน ชูป้ายในมือขึ้นตะโกนเสียงดัง “หมายเลขของข้ามีอักษรสี่เพียงตัวเดียว ข้าต้องไปแท่นไหน?” จากนั้นก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานใช้มือผลักเขาไปเบื้องหน้าแท่นหมายเลขสี่
สองพันกว่าคนไม่ถือว่ามาก แต่ถ้าทั้งหมดประลองกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เช่นนั้นก็มีคนมากเกินไป ยืนอยู่หน้าเวทีหมายเลขเจ็ดอย่างเบื่อหน่าย รอบกายมีผู้บำเพ็ญเซียนยืนเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมด ในสายตาของทุกคนที่มองไปรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู มองพินิจกันและกัน ว่าผู้ใดรังแกได้ง่าย ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลายและมีร่างกายกำยำเช่นจินเฟยเหยาทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากไม่ยอมสบตากับนาง
เห็นสายตาของพวกเขากวาดมองผ่านร่างของตนเองอย่างเร่งรีบ จินเฟยเหยาก็กระหยิ่มยินดี ยังไม่ขึ้นเวทีประลองก็กลัวนางก่อนเสียแล้ว อีกครู่หนึ่งตอนประลอง ตนเองน่าจะได้เปรียบด้านจิตวิทยา
แต่ละเวทีล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานยืนอยู่หนึ่งคน ทั้งหมดเป็นผู้ที่สำนักใหญ่แต่ละแห่งเลือกมาเป็นผู้ตัดสิน ยามนี้ทุกคนต่างยืนอยู่บนเวที เมื่อถึงเวลาก็จะเรียกหมายเลขขึ้นเวที
รอบด้านมีรถม้ามาอย่างต่อเนื่องตามจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนที่มากขึ้น คนธรรมดาจำนวนมากยกสิ่งของนานาชนิดลงมา เริ่มตั้งแผงขายของบนพื้นที่ว่าง และมีคนที่อยู่ว่างๆ จำนวนไม่น้อยพาครอบครัวมาเลือกทำเลสูงๆ ตั้งเพิงเล็กๆ เตรียมพาบรรดาบุตรภรรยามาดูการประลองทำราวกับออกไปท่องเที่ยว
“ตูม…”
กลางอากาศพลันปรากฏไฟสามดวง เตือนสติบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนว่าการประลองเริ่มขึ้นแล้ว
ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่บนเวทีหยิบกระจกทองแดงชิ้นหนึ่งออกมา ส่องไปกลางอากาศ หมายเลขขนาดใหญ่ครึ่งจั้งก็ปรากฏ ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดจัดทำขึ้น เพื่อให้เด่นสะดุดตาจึงทำให้หมายเลขเป็นสีแดงโลหิต พอปรากฏกลางอากาศเช่นนั้นดูแล้วไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
“หมายเลขเจ็ดพันเจ็ดสิบสี่ หมายเลขเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่”
มีสองหมายเลขปรากฏขึ้นแบบมีโลหิตหยาดหยดบนเวที ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานก็ตะโกนไปด้านล่าง มีคนสองคนกระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที
ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้น ยืนอยู่บนเวทีอย่างมั่นคง หลังจากผู้ตัดสินมีคำสั่ง ก็เริ่มต่อสู้กันทันที
เวทอัคคีต่อกรกับเวทอัคคี เวทม้วนวายุต่อกรกับเวทม้วนวายุ รอจนใช้พลังวิญญาณไปเกือบหมด เจ้าโยนยันต์อัคคีใบหนึ่ง ข้าก็โยนยันต์อัคคีใบหนึ่ง หลังจากโยนกระดาษยันต์จนหมดเกลี้ยง ทั้งสองคนก็หยิบอาวุธเวทเข้าฟาดฟันกันแบบประชิดตัว วิธีการลงมือและการใช้เวทมนตร์ของคนทั้งสองล้วนเหมือนกันเปี๊ยบ ถ้าหากรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน ยังนึกว่าคนที่อยู่บนเวทีมีเพียงคนเดียว แล้วส่องกระจกสู้กับตนเอง
เวทีอื่นต่อสู้กันไปหลายรอบแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นสองคนบนเวทีหมายเลขเจ็ดยังสู้กันอยู่ เพียงแต่อาวุธเวทเสียหายไปนานแล้ว พลังวิญญาณก็หมดเกลี้ยง คนทั้งสองยังใช้กำปั้นลุ่นๆ ผลัดกันต่อยคนละทีอย่างน่าเบื่อหน่าย
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างเวทีหมายเลขเจ็ดดูจนหมดความอดทน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าสู้กันอย่างจืดชืดไร้รสชาติ ยังถ่วงเวลานาน ใบหน้าทั้งสองฝ่ายต่างบวมและเขียวช้ำ แขนขาไร้เรี่ยวแรง ยังต่อสู้กันอยู่อีก ใช้ออกด้วยหมัดที่ไร้พลัง ขนาดยุงก็ยังตีไม่ตาย ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้ ยืนหยัดอย่างดื้อด้าน
“ไสหัวลงมา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นอัดกันจะไปสนุกอะไร ได้ยาสร้างฐานไปรอจนยาหมดอายุพวกเจ้าก็ยังไม่บรรลุขั้นสร้างฐานช่วงปลาย” ในที่สุดด้านล่างเวททีก็มีผู้บำเพ็ญเซียนตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน
มีคนนำ ทุกคนก็เริ่มโวยวาย ด่าทอคำหยาบคายต่างๆ นานาออกมา ทั้งสองคนบนเวทีอาจจะสู้กันจนไม่รู้ตัว จึงแสร้งไขสือไม่ได้ยินเสียงโวยวายด่าทอด้านล่าง ปล่อยหมัดเข้าใส่กันโดยไร้สติ ไม่ตายไม่เลิกรา
จินเฟยเหยาไม่ใส่ใจสายตาของคนรอบข้าง หยิบถังหูลู่[1] ไม้หนึ่งมากิน มองคนทั้งสองบนเวทีแล้วเอ่ยกับพั่งจื่อว่า “ช่างน่าประทับใจจริงๆ อีกนิดเดียวก็จะเสี่ยงตายเผาจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว”
“อ๊บๆ” พั่งจื่อเองก็กินถังหูลู่ และเห็นด้วยกับคำพูดของจินเฟยเหยาอย่างหาได้ยาก
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างตกตะลึง “เจ้าถึงกับบอกว่าพวกเขาสองคนโง่เขลา ทั้งยังบอกว่าพวกเขาสองคนไม่แข็งแกร่ง ทว่ากลับมาเสี่ยงชีวิตที่นี่ ต่อให้ชนะรอบนี้ รอบต่อไปก็ไม่ผ่านแน่ และอาจจะเสียชีวิต มิสู้กลับไปฝึกบำเพ็ญดีกว่า เจ้าพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร นี่คือพลังความมุ่งมั่นของผู้อื่นเหนือกว่าความแข็งแกร่ง”
พั่งจื่อหุบปากทันที ไม่ส่งเสียงสักแอะ ก้มหน้ากินถังหูลู่ไม่สนใจจินเฟยเหยาอีก
น่าไม่อายเกินไปแล้ว ตนเองคิดจะพูดเช่นนี้ชัดๆ กลับใส่ร้ายสัตว์ภูติของตนเอง ร้องอ๊บสองครั้งจะมีความหมายมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร สู้พวกเราไม่ได้ อยากด่าทอก็ด่าตรงๆ อย่างเปิดเผย มีฐานะเป็นบุรุษ คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ จอมปลอมจริงๆ
ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านมองจินเฟยเหยาอย่างดูแคลน ไม่เคยเห็นบุรุษที่หน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน ตัวก็ใหญ่โต คิดไม่ถึงว่าจะกล้ากินขนมของเด็กและสตรี ตั้งแต่ยืนตรงนี้เป็นต้นมา ถังหูลู่ เมล็ดแตง และน้ำตาลปั้นในมือก็ไม่ขาดมือ
คนเช่นไรก็เลี้ยงสัตว์เช่นนั้น กบตัวนั้นก็เช่นเดียวกัน ยังไม่หยุดปากเลย ไม่รู้ว่ากระเป๋าผ้านั่นมันอะไรกัน ดูเหมือนจะหยิบของกินด้านในออกมาได้ไม่หมดสิ้น
ที่จริงกระเป๋าผ้าใบนั้นใหญ่กว่าที่พวกเขาคิด กระเป๋าใบเล็กบนนั้นทั้งหมดล้วนเป็นกระเป๋าเก็บของ ส่วนในกระเป๋าใบใหญ่ก็เย็บกระเป๋าเก็บของไว้หลายใบ อีกทั้งด้านในนอกจากอาหารแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น
พวกผลไม้ เนื้อสัตว์ ยังมีลูกกวาดและขนม ล้วนแบ่งใส่กระเป๋าเก็บของจนเต็ม อาหารเหล่านี้ ให้คนหลายสิบคนกินหนึ่งเดือนก็ยังเพียงพอ ทว่าให้จอมตะกละทั้งสองกิน แค่พอกินไม่กี่วัน
ทันใดนั้น ฝูงชนก็ส่งเสียงฮือฮา ทั้งสองคนบนเวทีล้มลงในเวลาเดียวกัน ผู้ตัดสินเดินไปมองข้างหน้า แล้วเช็ดกระจกทองแดงในมือ ชื่อของคนทั้งสองก็ถูกลบทิ้งไป จากนั้นก็โยนเวทออกมานำคนทั้งสองลงจากเวที
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสุภาพอย่างยิ่ง ทำให้คนทั้งสองลอยลงไป พอร่อนลงถึงพื้น ในฝูงชนก็มีคนธรรมดาหลายคนแทรกเข้ามา พวกเขายกคนทั้งสองขึ้นแคร่หามอย่างว่องไว ยกไปอยู่ในเพิงไกลๆ
บนเพิงมีอักษรคำว่ายาตัวใหญ่ มีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีลักษณะเหมือนหมอยืนอยู่นอกเพิง มองทุกคนด้วยรอยยิ้มแจ่มใส คนจำนวนสองพันกว่าคนที่แน่นขนัด หวังว่ายิ่งบาดเจ็บหนักยิ่งดี แต่ว่าอย่าถึงตายหลงเหลือลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ก็พอ
“หมายเลขหกพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่ หมายเลขสามพันแปดร้อยเจ็ดสิบสี่” บนเวทีเรียกถึงหมายเลขของจินเฟยเหยา
“พั่งจื่อ ขึ้นเวที” คิดไม่ถึงว่ารอบที่สองคือตนเอง จินเฟยเหยาโยนไม้ถังหูลู่ในมือทิ้ง นำพั่งจื่อกระโดดเหินกายขึ้นบนเวที
“งดงามยิ่ง!”
ไม่รอให้จินเฟยเหยายืนมั่น ก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างเวทีส่งเสียงเอะอะ อาวุธเวทรูปดอกหมู่ตาน[2]ค่อยๆ ลอยขึ้นท่ามกลางฝูงชน กลางเกสรดอกไม้มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณช่วงปลายยืนอยู่ นางสวมชุดเปิดเผยอย่างยิ่ง ทรวงอกขาวเนียนเผยออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง เสื้อตัวบนทั้งแนบตัวทั้งสั้นเต่อ แทบจะเผยให้เห็นเอวอ้อนแอ้นทั้งหมด ในสะดือยังมีอัญมณีแวววับเม็ดหนึ่งติดอยู่ ผ้าไหมสีสันสดใสบนร่างลอยพลิ้ว มองเห็นเรือนร่างภายใต้ผ้าโปร่งบางได้รางๆ
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีในดอกไม้มีหน้าตางดงามราวบุปผชาติ ใช้สองมือขยับเส้นผมที่ปักปิ่นดอกไม้ไว้ เชิดอกและบั้นท้ายอวดเรือนร่างอันยั่วยวน ดึงดูดสายตาอันร้อนแรงของผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษจำนวนมาก
ดอกหมู่ตานล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ให้นางโอ้อวดจนเพียงพอ จึงค่อยๆ ร่อนลงบนเวที
“สหายเซียนท่านนี้ ผู้อื่นต่อสู้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก เจ้าช่วยยั้งมือไว้ไมตรีด้วยนะ” นางเดินลงมาจากดอกหมู่ตาน บิดเอวอ้อนแอ้นยิ้มแย้มแล้วเอ่ยออดอ้อนจินเฟยเหยา และจงใจเบียดหน้าอกแนบชิดคิดจะให้บุรุษร่างกำยำที่ด้านตรงข้ามมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฮึ บุรุษขั้นฝึกปราณ ยังไม่เคยมีใครต้านทานการโจมตีด้วยเวทเสน่ห์ของข้าได้ เจ้าจงรอรับความตายเสียดีๆ เห็นอีกฝ่ายตัวใหญ่โตท่าทางโง่งม อีกทั้งด้านข้างยังมีกบปัญญาอ่อน นางคิดว่าตนเองต้องชนะแน่นอน
จินเฟยเหยามองนางอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ตอบรับด้วยฟันสีขาวหิมะ “ได้ ข้ารักหยกถนอมบุปผาที่สุด คนงามน้อยของข้า”
ผู้ตัดสินเองก็ไม่รีบร้อนให้เริ่มประลอง เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขึ้นมา ก็ล้วงกระดาษใบหนึ่งมาพินิจมองดูนางอย่างละเอียด
สาวงามเห็นเช่นนี้ ก็รีบแสดงท่วงท่าที่ตนเองคิดว่าน่าดึงดูดที่สุดออกมา พยายามยั่วยวนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้อย่างหนัก ทว่าหลังจากผู้ตัดสินหยิบกระดาษมาพินิจนางรอบหนึ่ง ก็เก็บสายตากลับมาอย่างดูแคลน เอ่ยปากอย่างเย็นชา
“เป็นตายอยู่ที่ฟ้าลิขิต การประลองครั้งนี้ ถ้าอีกฝ่ายยอมแพ้หรือเสียชีวิตจะได้รับชัยชนะ ถ้าอีกฝ่ายร่วงลงจากเวทีหรือสลบไป ห้ามโจมตีต่อ ฝ่ายที่ร่วงจากเวทีหรือสลบไปถือว่าพ่ายแพ้” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานขี่อาวุธเวทบินขึ้นเหนือลานประลอง อธิบายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นึกถึงว่าตนเองยังต้องพูดประโยคนี้อีกสองร้อยกว่าครั้ง เขาก็ไม่รู้สึกยินดีสักนิด
ตั้งแต่เขาหยิบกระดาษออกมาพินิจชื่อของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ จินเฟยเหยาก็ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ถึงใช้เท้าชี้นางก็ดูออก คนเหล่านี้น่าจะกำลังค้นหาตนเอง นางยิ่งมายิ่งทนหอชิงซวีไม่ได้ เรื่องใหญ่แค่ไหนกัน คิดไม่ถึงว่าจะกระตุ้นให้ผู้ตัดสินตรวจสอบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตอนตัดสินการประลอง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้จำจินเฟยเหยาไม่ได้ ไม่ได้มองนางมาก คนที่จดจำนางได้ย่อมต้องเบิกเนตรสวรรค์[3]แล้ว
“เริ่มได้!” ผู้ตัดสินเห็นว่าไม่มีปัญหา จึงสั่งเริ่มประลอง
สาวงามผู้นั้นก็บิดเอวอ้อนแอ้น เคลื่อนไหวร่างกายด้วยรอยยิ้มปริ่ม เตรียมใช้ท่าไม้ตายที่ตนเองเชี่ยวชาญเตรียมโจมตีสังหารเจ้าโง่ฝั่งตรงข้าม
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ หยิบก้อนหินขนาดเท่าแตงโมจากในกระเป๋าเก็บของทุ่มใส่สาวงาม
“ก้อนหิน? หรือว่าหลงใหลข้าจนเลอะเลือน คิดไม่ถึงว่าจะใช้ก้อนหินเป็นอาวุธเวท?” สาวงามมองก้อนหินที่ลอยมา ใช้มือดึงแถบผ้าไหมบนร่างคิดจะกระแทกก้อนหินเบาๆ ให้ลอยไป
กลับคิดไม่ถึงว่า ก้อนหินจะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านเขตป้องกันของนาง ทับแถบผ้าของนางและกระแทกลงบนใบหน้าของนางอย่างหนักหน่วงจนหน้าตายับเยิน ณ ที่นั้น สาวงามถูกก้อนหินกระแทกจนคว่ำลงพื้น ศีรษะบวมจนเหมือนหัวสุกร สลบไปทันที
จินเฟยเหยาใช้ก้อนหินก้อนเดียวทุบสาวงามจนล้มคว่ำ สู้ชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายได้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านตื่นตระหนกตกใจ หลังจากเงียบไปหลายอึดใจ ฝูงชนก็เริ่มโห่ร้องประณาม
“ไร้คุณธรรมเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนที่งดงามปานนี้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ก้อนหินทุบอย่างป่าเถื่อน เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
“ลงมือหนักปานนี้ เกรงว่าต้องเสียโฉมแน่”
“สาวน้อยที่น่าสงสาร คิดไม่ถึงว่าจะเจอเจ้าพวกป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม”
และยิ่งทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจำนวนมาก ด่าทอจินเฟยเหยาอย่างบ้าคลั่ง บุรุษที่ลงมือไม่เหมาะสม และไม่รักหยกถนอมบุปผาเช่นนี้ ก็คือศัตรูโดยรวมของสตรีทั้งหมด
[1] ถังหูลู่ คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาล สมัยก่อนใช้พุทรา สมัยนี้มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือก
[2] หมู่ตาน คือ ดอกไม้สกุลโบตั๋น
[3] เนตรสวรรค์ ในทางพุทธและลัทธิเต๋าคือความสามารถเห็นได้ทุกปรากฏการณ์ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งที่มีขนาดเล็กมากๆ สิ่งที่อยู่ไกล สิ่งที่อยู่อดีต และอนาคต