ช่างเถิด อย่างไรบุรุษผู้นี้ก็ดีกว่าคนก่อนเป็นร้อยเป็นพันเท่า
สีหน้าและแววตาของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างเตียงเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เขาโน้มกายลงมาราวกับคิดจะอุ้มหลินชิงเวยขึ้นมา ดูจากปฏิกิริยาของนางแล้วน่าจะถูกวางยา ยามนี้ต้องคิดหาทางถอนพิษให้กับนางก่อน เรื่องอื่นค่อยมาถามไถ่กันภายหลัง
ทว่าเมื่อมือของเขาสัมผัสถูกผิวอันร้อนระอุของหลินชิงเวย ความร้อนลวกนั้นทำให้เขาหดปลายนิ้วกลับมา ยังไม่ทันได้รอให้เขาดึงมือกลับมาไม่รู้ว่าหลินชิงเวยเอาพละกำลังจากที่ใดจับข้อมือของเขาโดยพลัน ใช้ร่างกายอ่อนปวกเปียกของตนลากเขาขึ้นมาบนเตียง
ชายหนุ่มคาดไม่ถึงอย่างยิ่งจึงถูกลากให้ล้มลงไปโดยไม่ได้ทันได้ป้องกันระวังตัว
หลินชิงเวยชื่นชอบกลิ่นกายเย็นๆ และความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ร่างกายที่อ่อนยวบราวกับไร้กระดูกของนางจึงพลิกขึ้นไปทาบทับอยู่บนร่างนั้น…
ม่านสัตตบรรณค่ำคืนวสันต์ ค่อยๆ ขยับปลิวขึ้นพะเยิบพะยาบสองครั้งแล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลงมา แสงสว่างจากโคมไฟผ้าไหมในห้องนอนบังเกิดแสงแห่งความอบอุ่นและแสงสลัวสีเหลืองนวล ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดับอยู่ในห้องบรรทมนั้นดูหรูหราและเหมาะสมอย่างหาใดเปรียบ
กระโปรงของหลินชิงเวยเลื่อนลงสู่เบื้องล่าง ผ้าไหมสีเขียวที่คลุมพาดไหล่ มือเท้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้กระทั่งจะปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษก็ทำไม่ได้
ต่อมา ภาพเบื้องหน้าของนางกลับตาลปัตรพลิกคว่ำ ร่างของนางถูกผู้อื่นทาบทับ…
ความเจ็บปวดจากภาวะฉีกขาดทำให้นางเจ็บจนชาพร้อมกับเสียงสะดุ้งเฮือก
หยดเหงื่อชุ่มชื้นผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าอาภรณ์กลาดเกลื่อนไปทั่วเตียงนอน ทุกสิ่งทุกอย่างยุ่งเหยิง เสียงหอบหายใจของชายและหญิงดังลอดออกมาจากห้องนอนด้านใน มนต์แห่งแสงวสันต์ได้ผ่านพ้นไป
หลินชิงเวยราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
ในความฝันนั้นทั้งเหมือนจริงและเร่าร้อน
นางรู้สึกได้ถึงร่างกายแข็งแรงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของบุรุษ นางรับรู้ได้ถึงเสียงหอบหายใจของบุรุษที่ดังอยู่ริมหู
กล่าวโดยรวมแล้วนับว่ายังสร้างความพึงพอใจให้กับนางได้ ทว่าเวลานี้กลับมีเรื่องราวมากมายที่รอให้นางต้องเผชิญหน้า
เมื่อหลินชิงเวยลืมตาขึ้น บนศีรษะของนางมิใช่มุ้งลายดอกพุดตานของนาง เตียงนอนก็มิใช่เตียงผ้าไหม ห้องนอนที่จัดให้นางในเวลานี้ไร้ซึ่งความหรูหราที่เคยมีมาก่อน เปลี่ยนเป็นความเรียบง่ายอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ด้านบนของเตียงนอนคือเตียงไม้หลังหนึ่ง มองขึ้นไปอีกคือเสาคานของห้องที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นละอองหนาเขรอะ สิ่งของภายในห้องมีน้อยชิ้นเสียจนน่าเวทนา แม้กระทั่งกระจกสำริดที่หญิงสาวใช้บนโต๊ะเครื่องแป้งล้วนไม่มี
หลินชิงเวยค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่ง บนร่างของนางสวมเสื้อกันหนาวบางๆ เพียงตัวเดียว ทำให้มองเห็นผิวพรรณใต้เสื้อผ้าอาภรณ์รางๆ บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้าของนางยังคงทิ้งร่องรอยบางๆ มิได้เลือนหายไปทั้งหมด นั่นเป็นร่องรอยที่เหลือไว้จากค่ำคืนพิศวาสในคืนนั้นของนาง ต่อมาในวันรุ่งขึ้นไทเฮาได้ทราบข่าวนี้จึงรีบรุดมายังตำหนักของนาง น่าเสียดายที่มาไม่ทันการณ์ ยามนั้นในห้องนอนมีนางเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าชายชู้หายตัวไปที่ใด และไม่รู้ว่าผู้ใดคือชายชู้คนนั้น
จับชู้ต้องจับคนให้ได้ทั้งคู่ ดังนั้นชัดเจนยิ่งนักว่าเงื่อนไขไม่พร้อมมูล
ทว่าไทเฮาเห็นสภาพการแต่งกายและผมเผ้าไม่เรียบร้อยของหลินชิงเวย เสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบจึงโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง ไม่สอบสวนถามไถ่อันใดก็มีพระเสาวนีย์ให้คนลากตัวหลินชิงเวยออกไปโบยให้ตายแต่ต่อมาคนข้างกายไทเฮากล่าวว่าฮ่องเต้เพิ่งจะแต่งนางเข้ามา อาการประชวรของพระองค์เพิ่งจะดีขึ้น ตรองดูแล้วเห็นว่าการแต่งนางมาเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลนั้นบังเกิดผล เวลานี้จึงไม่เหมาะสมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โต อีกทั้งนางเป็นถึงบุตรีคนโตของจวนอัครมหาเสนาบดี หากโบยนางจนตายเช่นนี้ย่อมมิอาจให้เหตุผลอันสมควรได้ ไทเฮาจึงเสด็จไปปรึกษากับเซ่อเจิ้งอ๋องเพื่อคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง
ด้วยเหตุนี้หลินชิงเวยจึงต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้—ถูกส่งตัวมายังตำหนักเย็น