หลินชิงเวยพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “สถานที่แห่งนี้มิใช่สถานที่สำหรับกักขังผู้ทำความผิดรึ แน่นอนว่าข้าก็มีความผิดเช่นกัน”
“เช่นนั้นพี่สาวทำผิดด้วยเรื่องอันใดเจ้าคะ?” ซินหรูถามอึกอัก น้ำเสียงนั้นดูเปราะบางอยู่บ้าง “เป็นอย่างที่พวกนางพูดใช่หรือไม่…”
หลินชิงเวยกล่าว “ถูกต้อง เพราะพี่สาวแอบคบชู้สู่ชาย”
“ท่านถูกใส่ความใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้ารู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีจึงต้องมาถูกขังที่นี่” ซินหรูถามอย่างไร้เดียงสาแต่ในขณะเดียวกันก็พอจะรู้เรื่องราวอะไรอยู่บ้าง
หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยี นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายหนุ่มในคืนนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกผิดว่า “แน่นอนว่า…ไม่ใช่ถูกใส่ร้าย ข้าไปมาหาสู่กับบุรุษจริงๆ อีกทั้งบุรุษคนนั้นรูปร่างไม่เลวเลยทีเดียว” นางเลียริมฝีปากของตน ริมฝีปากอวบอิ่มของนางเมื่ออยู่ใต้แสงเทียนแล้วงดงามหาอันใดเปรียบ “รสชาติของเขาก็ไม่เลวอย่างยิ่งเช่นกัน”
ชั่วขณะนั้นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกำแพงของหน้าต่างอย่างไร้สุ้มเสียงนั้นหายใจเข้าลึก เขาก้มหน้าลงครึ่งๆ อาศัยแสงเพียงเล็กน้อยที่ลอดออกจากหน้าต่างกระดาษ ทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างของเขา ดวงตาทั้งคู่ที่หลุบลงเย็นชาประดุจหิมะ
เหตุใดจึงมีสตรีกล้าพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้
หรือเดิมทีนางก็เป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้อยู่แล้ว
ขณะที่บุรุษผู้นั้นกำลังเตรียมตัวจะจากไป พลันได้ยินเสียงของซินหรูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอับอายว่า “พี่สาว ท่านพูดจาเช่นนี้หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้าจะต้องมีคนเข้าใจท่านผิดเป็นแน่เจ้าค่ะ…”
หลินชิงเวยกล่าว “นี่เป็นเรื่องปกติของร่างกายคนเรา บุรุษหรือสตรีล้วนเหมือนกัน ปฏิกิริยาตื่นเต้นนั้นเป็นปฏิกิริยาโดยพื้นฐานทางธรรมชาติ นี่ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอะไร รอให้เมื่อเจ้าได้เรียนรู้มากขึ้นย่อมจะกระจ่างแจ้งเอง มีความสัมพันธ์กับบุรุษแล้วก็คือมีแล้ว ร่วมหลับนอนไปแล้วก็คือร่วมหลับนอนไปแล้ว วิธีการเมื่อเริ่มต้นนั้นอาจจะแตกต่างกันไป แต่ระหว่างนั้นข้าได้ลิ้มรสและเสวยสุขไปแล้ว ไฉนยังต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นตนเองเป็นผู้เสียหายเล่า พูดออกไปแล้วจะมีใครจะเชื่อ?” ซินหรูมองนางด้วยสีหน้าปากอ้าตาค้าง หลินชิงเวยยกมือขึ้นดีดหน้าผากนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า ข้าจะช่วยให้เจ้าออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูร่างกาย”
หลินชิงเวยดับเทียนไขภายในห้องแล้วหันกายเดินกลับห้องของตนเอง นางไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียงก็สามารถเดินกลับไปนอนลงบนเตียงของตนเองได้อย่างคุ้นเคย
นางมองเพดานบนเตียงนอนอันมืดมิดอย่างเงียบๆ ผ่านไปอึดใจหนึ่งจึงทอดถอนใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง
น่าเสียดาย
น่าเสียดายจริงๆ
คืนนั้นนางไม่อาจมองเห็นใบหน้าของบุรุษที่ทาบทับอยู่บนร่างของตนเองให้ชัดเจนได้ ยามราตรีทุกครั้งที่นางหลับตาลงเพื่อพยายามนึกถึงเค้าโครงรูปหน้าของเขา ภาพที่ปรากฎในสมองของตนหากไม่ใช่ความขาวโพลนก็กลายเป็นความมืดมิด
หากจดจำรูปร่างหน้าตาของเขาได้ก็ดี รอให้นางออกจากที่นี่ไปแล้วหากมีวาสนาต่อกันอาจจะยังจดจำกันได้ ทว่าเวลานี้ต่อให้เขาปรากฏกายขึ้น เดินผ่านสวนทางกับนางไปก็มีความเป็นไปได้ว่านางจะคิดว่าเขาเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ขณะที่หลินชิงเวยกำลังคิดเช่นนี้ บุรุษที่อยู่ริมหน้าต่างเห็นแสงเทียนภายในห้องดับลงแล้วจึงเตรียมตัวจะจากไป ทว่าเขายังไม่ทันได้เดินออกจากประตูเรือนกลับต้องหยุดย่างก้าวของตน
ข้างเท้าของเขามีเสียงฟ่อๆ ดังขึ้น ได้ยินน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ขนลุกเกรียว
ชายหนุ่มก้มหน้าลงดู สายตาของเขามองทุกอย่างได้ชัดเจนยิ่งในเวลากลางคืน แต่ที่เห็นคือข้างเท้าของเขามีสิ่งของลื่นๆ มันๆ อยู่สองสามตัวกำลังส่งภาษาสื่อสารกันอยู่
ไม่ใช่งูแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
ในเรือนที่แยกออกต่างหากหลังนี้กลับมีงู?
เขาพลันกระจ่างแจ้งว่าคำพูดเมื่อสักครู่ที่หลินชิงเวยกล่าวในห้องนั้นหมายความว่าอย่างไร มาอย่างง่ายดายแต่ไม่แน่ว่าจะจากไปอย่างปลอดภัย
ที่นี่ไม่ได้มีงูเพียงตัวเดียว พวกมันไม่เลื้อยเข้าไปในเรือนแต่กลับเลื้อยอยู่ด้านนอก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงต้องตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่างเจ็ดส่วนเหลือเพียงสามส่วนแล้ว แต่บุรุษผู้นี้กลับมีสติดียิ่ง เขาเดินพลังลมปราณแล้วเหินกายขึ้นทันที
แต่ขณะที่เขากำลังจะยกปลายเท้าขึ้น เขากลับหยุดชะงักลงอีกครั้ง