หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “สวรรค์ช่างมีตาจริงๆ ข้ากำลังกลัดกลุ้มอยู่ทีเดียวว่าจะบำรุงร่างกายของเจ้าอย่างไรดี”
ซินหรู “พี่สาว ท่านพูดอะไรเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงแล้วหันไปมองซินหรู “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยงนกพิราบเหล่านี้?”
ซินหรูส่ายหน้าอย่างซื่อสัตย์ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนพวกมันจะบินมาทางนี้ในเวลาพลบค่ำของทุกวัน น่าจะเป็นเจ้านายในวังหลวงเลี้ยงเอาไว้เจ้าค่ะ”
ดังนั้นค่ำวันนั้น หลินชิงเวยจึงเริ่มทำหน้าไม้อย่างไม่ยอมหลับยอมนอน หน้าไม้ในยุคสมัยโบราณนั้นทำมิง่ายดายเช่นหนังสติ๊กในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะขาดชิ้นส่วนของอุปกรณ์ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นหนังยาง ดังนั้นนางจึงได้แต่ทำหน้าไม้ด้วยวัตถุดิบในยุคก่อน ลำดับแรกเลือกใช้ไม้ไผ่ที่มีความยืดหยุ่นมาทำเป็นคันธนู กึ่งกลางของคันธนูนั้นมัดปลอกลูกกระสุนไว้เพื่อสะดวกแก่การยิงออกไป รอกระทั่งทำเสร็จก็เป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน ได้ยินเสียงร้องของนกและแมลงจากด้านนอกดังขึ้นเป็นพักๆ
วันรุ่งขึ้น เรื่องสำคัญที่หลินชิงเวยต้องทำก็คือการฝึกซ้อมยิงหน้าไม้ หน้าไม้ที่ทำเสร็จถูกนางนำมาฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อถึงยามบ่ายนางยิงหน้าไม้ได้อย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว ลูกหินเล็กๆ ที่ถูกนางยิงออกไปนั้นขึ้นสู่กลางอากาศได้มากกว่าสามจั้ง[1] ส่วนนกพิราบที่บินผ่านมาในเวลาพลบค่ำเหล่านั้นล้วนบินสูงเพียงความสูงของชายคาเรือนเท่านั้น ซึ่งมีความสูงราวๆ สองจั้งเล็กน้อย ขอเพียงสายตาของนางมีความแม่นยำเพียงพอ ย่อมต้องยิงนกพิราบได้แน่นอน
สองวันแรกหลินชิงเวยกลับคว้าน้ำเหลว กระทั่งถึงวันที่สาม นางจึงยิงนกพิราบได้ตัวหนึ่งในที่สุด
นกพิราบตัวนั้นขาวราวกับหิมะ มันตกลงมาบนพื้นและกระพือปีกพึ่บพั่บ ดูแล้วช่างเป็นนกพิราบที่สวยงามตัวหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่มันถูกหลินชิงเวยถอนขนและทำความสะอาดอวัยวะภายในแล้วโยนลงไปตุ๋นในหม้อ
เมื่อแรกนั้นซินหรูยังเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัวอยู่บ้าง “พี่สาว นกพิราบนี้เป็นสัตว์ที่ผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้ หากเจ้าของ…มาตามหาถึงเรือนจะทำอย่างไรเล่า?”
หลินชิงเวยสูดดมกลิ่นหอมนั้นพลางกล่าวว่า “ข้ายังกลัวว่าเขาจะไม่มาหามากกว่า”
สุดท้ายแล้วซินหรูก็มิอาจต้านทานกลิ่นหอมน่ากินของเนื้อพิราบตุ๋นหม้อนี้ได้ จึงได้แต่กินลงไปอย่างใจกล้า ซ้ำยังแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะนำกระดูกที่ตนเคี้ยวไปแล้วกลับมาเคี้ยวใหม่อีกครั้ง
การกระทำครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องแปลกใหม่ การกระทำครั้งที่สองเริ่มเกิดความชำนาญ หลินชิงเวยจะยิงนกพิราบหนึ่งตัวในเวลาพลบค่ำทุกๆ วัน ในขณะที่ซินหรูเองก็กินนกพิราบเหล่านี้อย่างเอร็ดอร่อยด้วยความรู้สึกผิดในระยะแรกจนกลายเป็นความเคยชินเช่นกัน
เดิมทีฝูงนกพิราบที่บินผ่านชายคาของเรือนนั้นเป็นฝูงใหญ่ แต่เมื่อถูกยิงลงมาวันละตัวๆ เพียงเวลาไม่นานนกพิราบฝูงใหญ่นั้นกลายเป็นฝูงเล็ก ไม่นานต่อมาที่บินผ่านมาทุกวันเหลือเพียงนกพิราบไม่กี่ตัว…
รูปร่างของซินหรูเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดให้เห็น อีกทั้งเริ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้น นางยังคงกังวลเสมอว่าเจ้าของนกพิราบเหล่านั้นจะตามมาคิดบัญชีกับพวกนาง…
ทว่าหลินชิงเวยกลับสุขุมเยือกเย็น นางยังถือหน้าไม้นั้นราวกับคิดที่จะยิงนกพิราบที่เหลือไม่กี่ตัวนั้นให้หมดสิ้น
ส่วนนกพิราบที่สูญหายไปมากมายนั้น เจ้าของนกพิราบก็ได้รู้ว่านกพิราบของตนน้อยลงไปในที่สุด
วันนี้เซ่อเจิ้งอ๋อง เซียวเยี่ยน กำลังปรึกษาหารือราชกิจร่วมกับเซียวจิ่นและเหล่าขุนนาง เขาได้พบกับองครักษ์คนสนิทของเขา องครักษ์ทำท่าจะพูดแล้วกลับอึกอัก ราวกับไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
เซียวเยี่ยนถาม “มีเรื่องอะไร?”
องครักษ์มุ่นคิ้วกล่าวว่า “เรียนท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ข้าน้อยพบว่ามีสิ่งผิดปกติ นกพิราบสื่อสารที่ได้เลี้ยงไว้นั้นทั้งหมดมีสามสิบหกตัว แต่เวลานี้จำนวนกลับลดลงทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเยี่ยนมีสีหน้าไร้ความรู้สึก “มันบินหลงไปจากฝูงหรือไม่?”
องครักษ์กล่าว “ เมื่อแรกข้าน้อยก็คิดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่พวกมันล้วนเป็นพิราบสื่อสารอันดับหนึ่งในร้อยลี้[2] ความเป็นไปได้ที่มันจะบินหลงทางสูญหายไปนั้นมีน้อยยิ่งนัก เวลานี้มีพิราบสื่อสารเหลือเพียง…”
“เท่าใด?”
“มีเพียงเจ็ดตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลือเพียงเจ็ดตัวแล้ว?” ดวงตาหงส์ของเซียวเยี่ยนหรี่ลง สายตาที่ตวัดผ่านองครักษ์นั้นเย็นเยียบ
[1] จั้ง คือมาตรวัดของจีนในสมัยโบราณ 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ (ประมาณ 2.5 เมตร)
[2] ลี้ หรือ หลี่ 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร